บทที่ 218 ป้ายจตุลักษณ์

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 218

ป้ายจตุลักษณ์

“ข้าจะไว้ชีวิตพวกท่านก็ได้”

เมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของเย่เย่ แสงแห่งความหวังเล็กๆก็สะท้อนออกมาจากดวงตาหลายคู่ที่ยืนรอบตัวเขา รวมไปถึงตัวเจียงเยว่ด้วยเช่นกัน

“แต่! พวกท่านต้องยกป้ายจตุลักษณ์ให้ข้า” พอได้ยินคำว่า ‘แต่’ แสงแห่งความหวังนั้นก็ดับมอดลง

“หน็อย เจ้าเย่ มันจะมากเกินไปแล้วนะ! จะเรียกร้องอะไรก็ได้ แต่ป้ายจตุลักษณ์เนี่ยขอทีเถอะ!” เหล่าสมาชิกตระกูลเจียงต่างชี้หน้าก่นด่าเย่เย่ด้วยความไม่พอใจ

เนื่องจากป้ายจตุลักษณ์นี้เป็นสมบัติที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นของประมุขสกุลเจียง เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอำนาจสูงสุดในตระกูล เห็นป้ายเหมือนเห็นประมุข เป็นประกาศิตที่พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การจะยกให้คนนอกนั้นย่อมเป็นเรื่องที่รับไม่ได้

แต่เย่เย่นั้นไม่ฟังเสียงนกเสียงกา เขาเหลียวตามองผู้นำตระกูลที่ยังคงนอนราบอยู่กับพื้นด้วยสายตาเยือกเย็น

เจียงเยว่ที่สบตากับเขาโดยตรงก็หน้าถอดสีขึ้น แต่ในฐานะประมุขเขาก็พยายามประคองสติ และยังคงยืนกรานปฏิเสธเงื่อนไขของเย่เย่อย่างตรงไปตรงมา

“ดังที่ผู้อาวุโสท่านนั้นกล่าว พวกเราให้เจ้าได้ทุกอย่าง แต่ป้ายประจำตระกูลนั้นต่อให้ตายข้าก็ไม่มีวันยกให้คนนอกคอกอย่างเจ้า! ถ้าเจ้าฆ่าข้าล่ะก็ราชสำนักไม่ละเว้-”

เปรี้ยงงงงงงง!

พูดไม่ทันจบดี เย่เย่ก็เตะไปที่กลางอกของเจียงเยว่อย่างเต็มแรง แม้จะไม่ได้แฝงปราณลงไปแต่ มันก็เพียงพอที่จะทำให้เจียงเยว่ที่บาดเจ็บอยู่ก่อนแล้วกระเด็นออกไปหลายวา

“คำก็ราชสำนัก สองคำก็ราชสำนัก! คนแพ้มีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า! ถ้าเจ้าไม่ยอมยกป้ายจตุลักษณ์มาแต่โดยดีล่ะก็ ไม่ต้องถึงมือราชสำนักหรอก ข้าจะเด็ดหัวเจ้าออกมาเอง!” ตั้งแต่ที่เย่เย่เข้ามาหวางตู้ เขาก็เอือมระอากับการที่ศัตรูของเขามักอ้างชื่อราชสำนักในการข่มขู่ จนเขาเริ่มเหลืออดขึ้นทุกทีแล้ว

เจียงเยว่ กระอักเลือดออกมาท่วมหน้า ร่างกายวัย 50 ปลายๆของเขาสั่นระริกด้วยความโกรธปนความหวาดกลัว พอเห็นเย่เย่เดินตามเข้ามาด้วยจิตสังหารที่แรงกล้ากว่าเดิมสัญชาตญาณในการปกป้องตัวเองของมนุษย์ก็เริ่มทำงาน

“ชะ ชะ ชะ ช้าก่อน! ข้ายอมมอบป้ายจตุลักษณ์ให้ท่านก็ได้!” ระหว่างที่เย่เย่เงื้อหมัดขึ้น เจียงเยว่ก็ยกมือทั้งสองข้าขึ้นป้องใบหน้าเอาไว้ และพูดขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน

“ทะ ท่านประมุขเจียง?” แม้ฝูงชนจะดูมีปฏิกิริยาคัดค้านการตัดสินใจของเขา แต่เมื่อลองนึกดูดีๆแล้วชีวิตของผู้นำตระกูลเองก็สำคัญไม่แพ้กัน จึงได้แต่เงียบปากลง

นับตั้งแต่ที่เจียงเหยียนยอมถวายตัวเป็นสนมของจักรพรรดิเหิง นี่เป็นครั้งแรกที่สกุลเจียงถูกไล่ต้อนจนมาถึงจุดนี้

พอเจียงเยว่รู้ว่าเย่เย่นั้นไม่เห็นหัวใคร แม้แต่องค์จักรพรรดิ เขาจึงได้แต่ยอมรับข้อเสนอของเย่เย่ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“พวกเจ้า ไปเอาป้ายจตุลักษณ์ที่หอเทพศาสตรามาให้เขา!” เจียงเยว่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

เมื่อเย่เย่เห็นสมาชิกสกุลเจียงยอมลดราวาศอกแต่โดยดี รอยยิ้มของผู้ชนะก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา

ตัวเย่เย่นั้นรู้ผลลัพธ์ของการกระทำเช่นนี้ดี ด้วยการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของเขา ที่คนในโลกฝั่งนี้ไม่มีทางไล่ตามได้ทัน ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครแม้แต่ราชสำนักเองก็ตาม

แต่ด้วยพฤติกรรมที่เปิดเผย และระดับวรยุทธ์ที่ยังห่างชั้นกับประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์อยู่มากโข ทำให้เขาหลุดโผผู้ต้องสงสัยว่าเป็นประมุขแห่งอารามของแปดนิกายและราชสำนัก

ในระหว่างที่รอสมาชิกสกุลเจียงที่ไปอัญเชิญป้ายจตุลักษณ์อยู่นั้น เสียงล้อของราชรถก็ดังขึ้น จนเย่เย่ต้องเหลียวหันไปมอง เป็นพระมเหสีเจียงและสององครักษ์ของนางที่ดูเหมือนว่าจะมาช้า จนงานเลี้ยงเลิกรากันหมดแล้ว เมื่อนางก้าวขาลงจากราชรถ เห็นเจียงเยว่นอนหมอบอยู่กับพื้นด้วยน้ำมือของเย่เย่ หน้าก็ถอดสีลงอย่างฉับพลัน

“น่ะ นี่ข้ามาช้าไปหรือนี่?” เจียงเหยียนเหลียวมองสภาพที่ทรุดโทรมของคฤหาสน์ เข่าทรุดลงกับพื้น นางไม่เชื่อว่านี่เป็นฝีมือของเย่เย่เพียงลำพังจึงสั่งให้สององครักษ์ไปค้นจนทั่ว แต่นางก็ต้องประหลาดใจที่พวกเขาไม่พบใครที่ดูเหมือนจะเป็นศัตรูเลยแม้แต่คนเดียว

“ลูกเหยียนในที่สุดเจ้าก็กลับมา! เร็วสิ รีบไปขอความช่วยเหลือจากองค์จักรพรรดิเร็ว อย่าปล่อยให้เจ้าเย่มันกำเริบเสิบสานไปมากกว่านี้!” เจียงเยว่ที่สะบักสะบอม รวบรวมกำลังเท่าที่มีพูดขึ้นกับธิดาผู้เปรียบดั่งแก้วตาดวงใจของตน

“เย่เย่! ทำแบบนี้เจ้าต้องการอะไร!?” เจียงเหยียนตะโกนออกมาด้วยความคับแค้น น้ำตาเอ่อล้นออกมาจนอาบสองแก้ม

“ข้า-”

ก่อนเย่เย่จะตอบกลับ เจียงเยว่ก็แทรกขึ้น “เจ้านี่ไม่เพียงฆ่าผู้เฒ่าทั้งสาม แต่ยังข่มขู่ให้ข้ามอบป้ายจตุลักษณ์ให้มันอีก! ลูกเหยียนตระกูลเจียงหวังพึ่งเจ้าแล้ว!”

ประมุขเจียงหักดิบ ไม่เพียงไม่พูดถึงข้อเรียกร้องดั้งเดิมของเย่เย่ ยังใส่สีตีไข่ให้เหตุการณ์ดูร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม พอ เจียงเหยียนรู้ว่าผู้เฒ่าทั้งสามตายแล้วก็ตกตะลึงจนลืมหายใจ ชายหางตามองเย่เย่อย่างโกรธแค้น นางไม่เคยคิดสงสัยในคำพูดของผู้เป็นบิดาเลยแม้แต่น้อย

จากการประลองกันครั้งก่อนที่ศาลากลางน้ำ นางก็ประเมินพลังของเย่เย่เอาไว้คร่าวๆ ณ เวลานั้นแม้เย่เย่จะรับมือการโจมตีของสององครักษ์พร้อมกันได้ แต่ก็นับว่าห่างชั้นกับ เจียวเยว่อยู่มาก นึกไม่ถึงเวลาผ่านไปไม่นาน เขากลับมีชัยเหนือประมุขสกุลเจียงได้อย่างง่ายดาย

“เย่เย่! ข้า ข้าจะฆ่าเจ้าล้างแค้นให้อาจารย์ของข้า!” เมื่อได้ยินว่าสามเฒ่าผู้พิทักษ์ตาย มือที่สั่นเทาของเจียงคุนก็กระชับกระบี่แน่น แต่เขาก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะชักมันออกมา

แม้เจียงอู๋จะไม่ได้พูดอะไร แต่ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเขาก็สื่ออารมณ์ออกมาได้เป็นอย่างดี ภาพของสามเฒ่าที่คอยพร่ำคอยสอนพวกเขาก็ย้อนกลับเข้ามาในหัว แม้จะอยากใช้เลือดล้างด้วยเลือดมาแค่ไหน แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าระดับเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ เย่เย่อีกต่อไปแล้ว อีกอย่างเจียงอู๋เองก็รู้สึกสำเหนียกที่สกุลเจียงเป็นฝ่ายไปหาเรื่องเย่เย่ก่อน เพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นในความลับทางการตลาดของหอการค้าหยูเย่ แต่ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด

เจียงเหยียนรู้ดีว่า หนทางเดียวในการแก้ไขสถานการณ์ในครั้งนี้คือการใช้ฐานะของนางให้เป็นประโยชน์ พอคิดได้ดังนั้นความมั่นใจของนางก็เริ่มคืนกลับมาอีกครั้ง นางเดินเข้าไปและกระซิบที่ข้างหูเย่เย่อย่างแผ่วเบา

“แม้สกุลเจียงของข้าไม่เอาเรื่องเจ้า แต่อย่าได้หวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุขเลย” แม้จะเป็นน้ำเสียงของสตรีแต่กลับแข็งกร้าว เต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อผู้ทำลายล้างตระกูล

คำข่มขู่ของนางไม่ทำให้เย่เย่หวั่นไหวแม้แต่น้อย เขายังคงความสุขุม และตอบกลับนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เรื่องนั้นมันก็ไม่แน่หรอกนะ”

ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ผ่อนคลายอย่างผิดวิสัยของเย่เย่ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นถึงกับกลืนน้ำลาย ที่ผ่านมาไม่มีใครที่หาเรื่องราชสำนักแล้วรอดกลับมาได้สักคน แต่เย่เย่กลับเพิกเฉยต่ออำนาจนั้นอย่างสิ้นเชิง

เย่เย่เดาได้ว่าหลังจากนี้มเหสีเจียงคงไปรายงานกับจักรพรรดิเหิงโดยตรง และราชสำนักต้องส่งมือดีมากำจัดเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

“มั่นอกมั่นใจซะเหลือเกินนะ” เจียงเหยียนยิ้มออกมาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ พลางใช้มือเรียวสวยของนางลูบไล้ลำตัวของเย่เย่ตั้งแต่บนจรดร่างด้วยท่าทียั่วยวน แต่สำหรับเย่เย่ดูเหมือนเป็นการปั่นประสาทเสียมากกว่า

“เหอะ! งานนี้เจ้าไม่รอดแน่ เย่เย่”

“ข้าอดใจรอวันที่หอการค้าของเจ้าจะล่มสลายไม่ไหวแล้ว!”

“สมน้ำหน้า! นี่เป็นผลกรรมที่เจ้ามาเรื่องพวกเราสกุลเจียง”

หลังจากเจียงเหยียนบลัฟเย่เย่ได้พักหนึ่ง ผู้คนสกุลเหยียนที่เริ่มใจชื้นขึ้นมาก็อดใจไม่ไหวที่จะผสมโรงด้วย จนลืมไปแล้วว่าชีวิตของพวกเขายังอยู่ในกำมือของพญามัจจุราชอยู่

“พระสนม ท่านคงจะได้ยินเรื่องของยาวาจาสัตย์มาบ้างไม่มากก็น้อยสินะ? มันเป็นยาที่ทำให้ผู้ที่ได้รับผลของมันไม่สามารถโกหกได้ หรือพูดง่ายๆก็คือมันมีฤทธิ์ทำให้เจ้าคายความจริงทั้งหมดออกมา ดูซิว่าต่อหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิพวกเจ้าที่ทำร้ายคนของข้าและขโมยของของข้าไป หรือว่าข้าที่มาทวงของข้าคืน ใครกันแน่คือคนผิด?”

ได้ยินเช่นนั้น เจียงเหยียนก็หน้าถอดสี นางเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าถ้าจักรพรรดิเหิงรู้ความจริง เขาจะเลือกปกป้องนาง หรือเลือกที่จะปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของราชสำนักมากกว่ากัน

เจียงเยว่ผู้เป็นพ่อที่เข้าใจจุดยืนของนางเป็นอย่างดี ก็คิดไม่ตกเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของตระกูลเจียงจะมืดแปดด้านไปเสียทั้งหมด…