เวลาผ่านไปไวดังสายน้ำไหล วันนี้คือวันพิธีราชาภิเษก และเป็นวันที่ต้องประกาศให้รู้ว่านี่คือจุดจบของการพบกันอันแสนสั้น
อาซในชุดพิธีงามสง่าสะอาดสะอ้านไร้ที่ติเดินมายังห้องแต่งตัวของอาเรียซึ่งกำลังใส่เครื่องประดับอยู่พอดี
“ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอสักพัก เครื่องประดับไว้ค่อยสั่งทีหลังเถอะ”
บรรดานางกำนัลโค้งคำนับอย่างสุภาพเรียบร้อยหลังได้รับคำสั่งจากอาซซึ่งกำลังจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์เป็นพระจักรพรรดิองค์ใหม่
อาเรียส่งสายตาถามอาซว่าเขามีเรื่องอะไร เพราะตอนนี้เธอยังแต่งตัวไม่เสร็จดีเสียด้วยซ้ำ
“ความจริงแล้วผมเตรียมอย่างอื่นเอาไว้น่ะครับ”
อาซตอบพลางเปิดกล่องหุ้มกำมะหยี่ให้เธอดู
ด้านในกล่องคือสร้อยคอกับต่างหูซึ่งมีสีเดียวกับนัยน์ตาของอาเรียและมงกุฎ
“คุณอาจจะไม่ชอบผมเลยคิดว่าควรเอามาให้ดูก่อน ผมมาช้าเพราะมีเรื่องไม่คาดคิดต่างๆ มากมาย ขอโทษนะครับ”
เขาพูดเหมือนจะให้เธอเลือก ทว่าสีหน้าเขากลับไม่มีความกังวลเลยสักนิด
เพราะถึงไม่นับเรื่องที่เครื่องประดับแต่ละชิ้นเป็นของสวยงามที่ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี เขาก็รู้ดีว่าอาเรียไม่มีทางปฏิเสธไม่รับของขวัญจากเขา
อาเรียแย้มยิ้มพลางรวบตัวเองไปไว้อีกข้างก่อนจะเอ่ยตอบ
“ฉันคงจะชอบถ้าอาซเป็นคนใส่ให้ฉันด้วยตัวเองนะคะ”
“คุณมอบหมายงานที่มีเกียรติให้ผมเช่นนี้ ผมไม่รู้จะพรรณนาความรู้สึกปลื้มปีตินี้ออกมายังไงดีครับ”
อาซตอบเกินจริงก่อนจะทรุดลงนั่งด้านหลังอาเรีย แต่ขณะที่เขากำลังเอื้อมมือไปใส่สร้อยที่สั่งทำมาด้วยตัวเองนั้น
ลำคอระหงของอาเรียก็เข้ามาสู่สายตาอาซพอดี ทั้งที่เห็นอยู่ทุกวัน เขากลับรู้สึกว่ามันซูบซีดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
‘…ไม่น่าเชื่อว่าเธอทำงานหนักมามากมายด้วยร่างกายที่บอบบางขนาดนี้’
อาซทั้งรู้สึกทึ่ง รู้สึกผิด และสงสาร
หลากความรู้สึกประเดประดังกันเข้ามา และความรู้สึกที่มีมากที่สุดย่อมเป็นความยกย่องนับถือจิตใจของเธอ
อาซกำลังตกอยู่ในห้วงความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เขาโอบแขนกอดไหล่อาเรียแล้วจูบลงบนลำคอ
“อาซ”
“ขอบคุณที่เลือกผมนะครับ”
น้ำเสียงเขามีแต่ความจริงใจ อาเรียเข้าใจดีว่าเขารู้สึกอย่างไร เธอจึงกอดแขนอาซที่กอดเธอไว้แทนคำตอบ
“จะว่าไป อีกเดี๋ยวเด็กๆ ก็ต้องกลับไปแล้วสินะครับ คุณไม่เสียใจหรือครับ”
“ไม่เลยค่ะ ฉันมีแต่ความคาดหวังเพราะถึงยังไงเราก็จะได้เจอกันอีกครั้ง ทั้งเด็กๆ ทั้งฉันที่กลายเป็นแม่ และอาซที่กลายเป็นพ่อด้วย ไม่ใช่หรือคะ”
เธอไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะมีลูก
แต่เมื่อเห็นเด็กๆ เติบโตขึ้นมาอย่างสวยงามขนาดนั้นแม้เธอจะต้องเสียสละตัวเองแล้ว แน่นอนว่าในอนาคตย่อมมีเพียงความปลื้มปีติอันใหญ่หลวงรอเธออยู่
“คุณพูดถูกครับ”
อาซยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนทำให้อาเรียพลอยยิ้มตามไปด้วย ความรู้สึกในตอนนี้ช่างสงบสุขและล้ำค่าจนนึกถึงอดีตที่เป็นดั่งสงครามเมื่อก่อนไม่ออกเลย
ทั้งสองใช้เวลาซึมซับความอบอุ่นและหัวใจของกันและกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยืนยันความรักของพวกเขาด้วยจูบเบาๆ
จากนี้ไปไม่น่าจะมีเสียงดังรบกวนอะไรอีกแล้ว ทั้งสองคิดเช่นนั้นจนเมื่อแขกที่ไม่คาดคิดปรากฏตัวขึ้นมา
“หนูก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน! …ค่ะ!”
บลิสและลิเป้ทำลายความเงียบสงบที่ทั้งสองไม่เคยมีมาเป็นเวลานาน แล้วปรากฏตัวออกมาจากมุมห้องแต่งตัว
“หนูด้วย หนูก็ตั้งตารอเหมือนกัน! ค่ะ”
บลิสที่พูดด้วยสำเนียงแปลกประหลาดกำสองมือไว้แน่นตรงหน้าอกแล้วตะโกนออกมาสุดเสียง
มันคือพยายามของตัวบลิสเองที่ตั้งปณิธานไว้ว่าเธอจะต้องกลายเป็นคนที่เยี่ยมยอดให้ได้
เธอยังมีอีกหลายอย่างให้ตำหนิติเตียนและยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่การเริ่มต้นก็ถือเป็นครึ่งหนึ่งแล้ว
อาเรียซึ่งคิดว่าสักวันบลิสจะต้องเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาดเฉลียวเพราะเด็กคนนี้เหมือนเธออย่างกับแกะ อ้าแขนรับบลิสเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
“พระเจ้า ลูกน่ารักจริงๆ ชุดเด็กโปรยดอกไม้เหมาะกับลูกมากเลยนะ นี่ลูกมาให้แม่ดูชุดหรือ”
“อืม! ใช่แล้ว! …ค่ะ! หนูอยากให้แม่เห็น แต่พอมาแล้วพ่อกับแม่คุยเรื่องสำคัญกันอยู่ หนูเลยรอค่ะ!”
เธอทำได้ดีใช่ไหมนะ บลิสหัวเราะคิกคัก เธออดทนไม่พูดได้แต่ดูเหมือนจะยังทนรอสถานการณ์ไม่ได้
เธอยังเด็กเกินไปจึงคิดว่าเมื่อบทสนทนาจบลงแล้วก็คือจบ โดยไม่รู้ว่ายังเหลือเรื่องให้ทำอยู่อีกหลายอย่าง
แต่เรื่อง(?)ที่ว่านั้นเอาไว้ทำหลังจากเด็กๆ กลับอนาคตไปแล้วก็ยังไม่สาย
อาเรียชมว่าเธอทำได้ดีแล้วพลางลูบผมบลิสเบาๆ
“แล้วยังจิตใจดีอีก แค่ต้องหัดอดทนให้ได้มากกว่านี้อีกนิดเท่านั้นเอง”
ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเธอจะไม่เสียดายจึงได้พูดออกไปแบบนั้น บลิสพยักหน้า อืม! ทันทีที่ได้ยิน ราวกับบอกว่าเธอเข้าใจแล้ว
คล้อยหลังบลิสไป ลิเป้บุ้ยปากพร้อมทำสีหน้าเหมือนกำลังบอกว่า ‘หนูห้ามเธอว่าให้รอก่อนแล้ว’
“อืม! หนูจะอดทนให้มากกว่านี้! และจะอ่านหนังสือเยอะๆ จะไม่อ้างว่าป่วยแล้วโดดเรียน จะทำการบ้านให้ดี จะตื่นแต่เช้า แล้วก็…!”
ถึงอย่างนั้นบลิสก็ยังคงพูดเจื้อยแจ้วต่อไป คำมั่นสัญญาของเธอเป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ที่ไม่มีอะไรเลย
บลิสพูดเรื่อยเปื่อยพลางนับนิ้วไปด้วยอยู่สักพัก จนในที่สุดจึงหัวเราะคิกคักพลางบอกว่าเธอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
“เพราะฉะนั้น แม่ต้องให้หนูเกิดมาให้ได้เลยนะ หนูจะจำได้ทุกอย่าง เพราะอย่างนั้นหนูจะพยายามตั้งใจไม่ให้ตัวเองเป็นตัวป่วนหรือเป็นเหมือนคนโง่อย่างในตอนนี้! ค่ะ!”
แค่เธอบอกว่าจะไม่ทำตัวแบบนั้นเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่นี่ไม่ใช่คำตอบที่อาเรียต้องการจากบลิส
“แม่จะตั้งตารอนะ รอวันที่จะได้พบพวกลูกทั้งสองคนอีกครั้งในอนาคต”
บลิสโผเข้ากอดอาเรียตั้งแต่เธอยังพูดไม่จบ ลิเป้ที่ขอบตาแดงก่ำก็ค่อยๆ เดินเข้ามาเกาะแขนอาเรียเช่นกัน
พิธีราชาภิเษกกำลังจะมีขึ้นในช่วงเวลาอันใกล้นี้ ดังนั้นต่อให้พวกเขาอยู่ในท่ายืนตรงเพื่อไม่ให้ชุดที่ใส่มีรอยยับยู่ยี่มันก็ยังไม่พอ
แต่ราวกับไม่มีใครสนใจถึงเรื่องนั้น อาซโอบกอดสามแม่ลูกที่กอดกันกลมเอาไว้แน่นในอ้อมแขนแกร่ง
* * *
แม้จะเกิดเรื่องราวมากมาย แต่พิธีราชาภิเษกยังถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการตามกำหนดการที่วางไว้
แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น เพราะทั้งสองคือพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีพระองค์ใหม่ที่โค่นล้มอำนาจของราชวงศ์ก่อนหน้าอันแข็งแกร่งลงได้ ทั้งยังส่งเสริมความสุขสวัสดิ์ของประชาชนทั่วทั้งจักรวรรดิ
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังลั่นจนแก้วหูแทบแตกถาโถมเข้ามาหาอาซและอาเรีย ระหว่างที่ทั้งสองกำลังนั่งรถม้าวนรอบพระราชวังเป็นระยะเวลาสั้นๆ
“ถึงจะกังวลอยู่บ้าง แต่ฉันทำได้ดีนะที่ย้อนกลับมาในอดีตแบบนี้ ว่าไหม”
บลิสกระซิบกับลิเป้ที่ยืนอยู่ข้างกันเสียงเบาขณะกำลังรอให้อาซและอาเรียกลับมายังพระราชวัง ซึ่งทั้งสองมีผ้าปิดหน้าปิดตาอยู่
กังวลอยู่บ้างอย่างนั้นหรือ พูดอะไรน่าเศร้าอย่างนั้นกัน ลิเป้อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เพราะบลิสที่ทำให้เรื่องทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
นอกจากนั้นเธอยังมีโอกาสได้มาเห็นพิธีราชาภิเษกด้วยตาตัวเอง ลิเป้จึงไม่อาจพูดอะไรได้
ลิเป้พยักหน้าเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้เพื่อแสดงออกว่าเธอเห็นด้วย
“…ฉันปฏิเสธไม่ได้หรอก เอาเป็นว่าจะขอบคุณเธอแค่ครั้งนี้แล้วกัน”
“ฮิฮิฮิ”
ระหว่างที่บลิสกับลิเป้กำลังซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองขึ้นมาอีกนิด วงดนตรีซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ภายในสวนของพระราชวังก็เริ่มบรรเลงขึ้น
เป็นบทเพลงที่บอกให้ทุกคนรู้ว่ารถม้าที่พระจักรพรรดิและจักรพรรดินีพระองค์ใหม่ประทับอยู่กลับมาถึงพระราชวังแล้ว
แม้ทั้งสองจะยังไม่ลงมาจากรถม้าแล้วสั่งให้พวกเขาทำความเคารพ ทว่าทุกคนที่อยู่ในพิธีกลับโค้งคำนับจนจมูกแทบแตะพื้นเพื่อรอคอยการขึ้นสู่ตำแหน่งของคนทั้งสอง
“อาเรียกลายเป็นพระจักรพรรดินีไปได้ยังไงกันนะ…! ฉันยังไม่อยากจะเชื่ออยู่เลยค่ะ”
คารินเขย่าแขนโคลอีพลางบอกให้เขาช่วยปลุกเธอด้วยหากนี่คือความฝัน เพราะความปลื้มปีติที่มีมากเกินไปจนน่ากลัว
“ไม่ นี่ไม่ใช่ฝันหรอก เด็กที่เธอดูแลมาตลอดแม้จะอยู่ในช่วงที่ยากลำบาก ตอนนี้เธอกลายเป็นจักรพรรดินีแล้วจริงๆ ฉันคิดว่าคารินเองก็ควรได้รับคำสรรเสริญเหมือนกันนะ”
โคลอีหยิกแก้มคารินเบาๆ เขาหยิกเธออย่างแผ่วเบาเสียจนเธอไม่อาจบอกได้ว่านี่คือความฝันหรือความเป็นจริง แต่นั่นทำให้คารินที่ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งจับนิ้วเขาเบาๆ
“…เหอะ! ไม่เคยคิดเลยว่าลอร์ดจะเป็นแบบนี้ ชักจะเป็นห่วงอนาคตของโครอาในหลายๆ ทางไม่เหมือนเมื่อก่อนเสียแล้วสิ”
โรฮันซึ่งคอยมองภาพนั้นอยู่แสดงความเกลียดชังออกมาทั้งยังบอกว่าตนยิ้มไม่ออก
อดีตมาร์ควิสที่กลัวโคลอีจะฆ่าตนจนตัวสั่นเหลือบมองเขาด้วยความสงสาร แต่ตัวเองก็มีสภาพไม่ต่างจากโคลอีเลยสักนิด
โรฮันส่ายหน้าพลางส่งเสียงในลำคอ
“จะว่าไป คนในตระกูลมาร์ควิสเปียสต์ เป็นแบบนั้นหมดเลยสินะ เฮ้อ”
โรฮันเดาะลิ้นอยู่สักพักก่อนจะอมยิ้มแล้วหันไปมองประตูที่สหายซึ่งไม่มีเรื่องให้ต้องห่วงของเขาจะต้องเดินผ่านเข้ามาแทน
ผ่านไปไม่นาน อาซและอาเรียที่ต้องแบกรับความหวังของทุกคนเอาไว้ก็ปรากฏตัวขึ้นในโถงพิธี
ตามกฎระเบียบแล้ว พระจักรพรรดิพระองค์ใหม่จะต้องเดินนำหน้าแล้วตามด้วยพระจักรพรรดินี แต่เพราะอาซยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าคุณความดีและผลงานของอาเรียมีมากกว่าเขา รวมทั้งคนอื่นๆ ที่เห็นด้วยกับคำยืนกรานนี้ ทำให้ทั้งสองได้เดินจับมือเคียงข้างกันไปจนถึงบัลลังก์ของพระจักรพรรดิ
อาเรียไม่รู้สึกประหม่าแต่อย่างใดแม้จะต้องเดินผ่านทางเดินยาว นั่นเพราะฝ่ามือใหญ่และอบอุ่นที่จับมือเธออยู่
อาซเองก็ไปถึงบัลลังก์ได้อย่างภาคภูมิงามสง่า เพราะมีหญิงสาวสูงค่าที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้อย่างอาเรียอยู่ข้างกายเช่นกัน
ขุนนางชั้นสูงสุดของพระราชวังเป็นผู้ส่งมอบมงกุฎให้อาซแทนอดีตพระจักรพรรดิที่เอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
ท่านขุนนางกำลังจะยกมงกุฎขึ้นวางบนหัวของอาซตามระเบียบพิธีการ ทว่าอาซกลับยกมือขึ้นห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ฉันมีอีกคนที่อยากให้เป็นผู้สวมมงกุฎให้”
แน่นอนว่าสายตาของเขาย่อมต้องจับจ้องไปยังอาเรีย
อาเรียตอบรับพร้อมรอยยิ้มเพราะมันคือสิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามขนบที่เคยเป็นมา ก่อนจะรับมงกุฎมาจากขุนนางชั้นสูง
จากนั้น อาเรียได้ยกมงกุฎสีทองอร่ามเป็นประกายขึ้นวางบนหัวอาซที่ย่อตัวลงเพื่อให้เธอสวมมันให้เขาได้สะดวก
“ขอพระองค์โปรดสร้างให้ประเทศนี้เป็นประเทศที่ไร้ซึ่งเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”
อาซรู้ความลับของอาเรีย ดังนั้นเขาจึงเข้าใจดีว่าเธอหมายถึงอะไร
เขาจับมือของอาเรียที่ค่อยๆ ลดลงมาช้าๆ ก่อนจะจุมพิตบนหลังมือเธอก่อนจะตอบ
“อย่างที่ผมบอกเสมอ ผมคิดว่าผมคนเดียวอาจไม่ดีพอ เพราะฉะนั้นผมขอร้องให้คุณอยู่ด้วยกันนะครับ”
เขาพูดออกมาจากใจจริงแต่มันช่างอ่อนน้อมเสียจนอาเรียเผยยิ้มออกมาช้าๆ
หลังจากนั้น ทั้งสองได้ดื่มน้ำมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ร่วมกัน พร้อมกันนั้นเสียงที่ประกาศว่าพระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีพระองค์ใหม่ได้ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นที่เรียบร้อยก็ดังกึกก้องไปทั้งฮอลล์
บรรดาเด็กโปรยดอกไม้ซึ่งกระจายตัวอยู่ทุกที่ รวมทั้งบลิสและลิเป้เริ่มโปรยกลีบดอกไม้ทันทีราวกับรออยู่ก่อนแล้ว
ผู้เข้าร่วมทุกคนไม่มีใครเก็บเสียงอุทานแห่งความปลื้มปีติเอาไว้ได้ หากแต่มีใครบางคนที่ร้องไห้โฮออกมา แอนนี่นั่นเอง
โชคดีที่ทั้งซาร่ากับเจสซี่ คารินกับไวโอเล็ตต่างก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาอยู่ใกล้ๆ กัน ทำให้เธอไม่ได้ดูโดดเด่นอยู่คนเดียว
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันเลยไหม”
ลิเป้เอ่ยถามขณะจับมือบลิสที่แขวนตะกร้าเปล่าไว้ที่แขนหลังจากทำงานของตัวเองเสร็จแล้ว
บลิสที่ตอนนี้ไม่หลงเหลือความอาลัยอาวรณ์อยู่บนใบหน้าแล้ว พยักหน้าเต็มแรง
“อืม! แม่ พ่อ ลาก่อนนะคะ …หนูจะไปรออยู่ในอนาคตนะ…”
แม้จะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา แต่อาเรียที่ได้ยินเสียงบลิสก็หันไปมอง
ทว่าตรงนั้นกลับไม่มีใครอยู่สักคน
เหลือเพียงตะกร้าดอกไม้อันว่างเปล่าสองใบวางอยู่ ราวกับจะบอกว่าการที่มีใครบางคนอยู่ตรงนี้จนถึงเมื่อครู่นั้นไม่ใช่เรื่องโกหก
อาเรียหยิบตะกร้าขึ้นมาพลางเอื้อนเอ่ยคำตอบที่เด็กๆ ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจออกมา
“ใช่แล้วล่ะ ไว้เจอกันในอนาคตนะ”
…………….