แม้บลิสและลิเป้ที่คอยวิ่งเล่นสร้างความวุ่นวายอยู่รอบๆ จะกลับไปแล้ว แต่ใช่ว่าอาเรียจะมีเวลาว่าง
นับจากนี้ไปมันคือการเริ่มต้น
อาเรียออกมาอยู่ต่อหน้าทุกคนในงานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นหลังพิธีราชาภิเษกเพื่อกล่าวสุนทรพจน์แสดงความยินดี
“ความจริง เมื่อไม่นานมานี้มีแสงสว่างสวยงามมาหาดิฉันในฝันค่ะ แสงนั้นบอกว่าตอนนี้พระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ได้ขึ้นเสวยราชสมบัติแล้วและมันจะมอบความแข็งแกร่งให้กับพระองค์ค่ะ”
หากคิดถึงคำพูดคมคายในยามปกติของอาเรียแล้ว นี่นับเป็นคำยินดีที่ผิดคาดไปมากทีเดียว แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะผิดหวัง
บรรดาผู้ฟังที่ต่างก็คาดหวังว่าประโยคที่ตามมาจะต้องเป็น ‘และความแข็งแกร่งนั้นคือฉันเอง จักรพรรดินีคนนี้ที่จะอยู่เคียงข้างพระจักรพรรดิสืบไป’ พากันยกมุมปากขึ้นเพราะไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกยุบยิบในหัวใจไว้ได้
เอาเถอะ อย่างน้อยสุนทรพจน์แสดงความยินดีวันนี้ก็ไม่ได้แย่นัก
“ดังนั้นดิฉันจึงพยายามตามหาที่ที่ส่งแสงนั้นมาค่ะ และดิฉันก็ได้เจอกับความแข็งแกร่งนั้นที่นั่นจริงๆ ค่ะ ความแข็งแกร่งที่จะช่วยโลกนี้ได้”
หืม นี่เธอหมายความว่าอย่างไรกัน
รอยยิ้มของทุกคนเลือนหายไปเมื่อได้ยินคำพูดประโยคหลังที่ผิดไปจากที่คาดไว้
พวกเขาคิดว่าเธอจะพูดแต่อะไรเดิมๆ เหมือนพิธีการทั่วไป ทว่าเธอกลับพูดในสิ่งที่เหนือความคาดหมายเสียอย่างนั้น
ผู้ฟังที่ยังอมยิ้มอยู่น้อยๆ ตั้งใจฟังคำพูดของอาเรียยิ่งกว่าเดิมเพราะคิดว่าพวกเขาอาจพลาดอะไรไป
ทั้งที่ความจริงพวกเขาก็ตั้งใจฟังมาตลอดตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว แต่ด้วยความที่พวกเขารู้ดีว่าเธอไม่ใช่คนพูดจาไร้สาระจึงกล่าวโทษตัวเองและตั้งสติตั้งใจฟังมากขึ้น
“ดิฉันคิดว่าพระเจ้าทรงประทานพรให้กับการขึ้นครองราชย์ของพระจักรพรรดิจึงสร้างแท่นบูชาไว้ที่นั่นค่ะ อีกไม่นาน ทุกท่านคงได้เห็นความแข็งแกร่งนั้นแล้วล่ะค่ะ”
แต่แม้จะตั้งใจฟังจนจบพวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังสงสัยและคาดเดาความหมายของสิ่งที่อาเรียพูดไปต่างๆ นานา ขุนนางชายคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ฟังก็หัวเราะออกมา
“ได้พูดถึงการขึ้นครองราชย์ของพระจักรพรรดิเช่นนี้ โรแมนติกเหลือเกินขอรับ พระจักรพรรดินี”
ในที่สุดก็มีคนเข้าใจว่าคำยินดีของอาเรียคือคำเปรียบเปรยที่เป็นนามธรรมจนได้
การทำให้พระจักรพรรดิหรือพระราชากลายเป็นสมมุติเทพใช่จะเป็นเรื่องผิดแผกอะไร จึงไม่แปลกที่เขาจะแสดงออกเช่นนั้น
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นในงานเลี้ยงอีกครั้ง ราวกับผู้ฟังทุกคนตัดสินไปแล้วว่าขุนนางชายพูดถูก
“ไม่รู้สิคะ ดิฉันก็ไม่ใช่คนโรแมนติกเสียด้วยสิ”
อาเรียส่งยิ้มมีเลศนัยไปให้เขา ทว่าคนที่สามารถเข้าใจความหมายของคำพูดเธอได้ในทันที มีเพียงอาซซึ่งยืนอยู่ข้างเธอเท่านั้น
* * *
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีข่าวลือแปลกประหลาดเป็นที่โจษจันกันไปทั่วนครหลวง นั่นคือข่าวลือที่ว่าคนเร่ร่อนข้างถนนที่น่าจะตายได้ทุกเมื่อกลับแข็งแรงขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
“แล้วไม่ใช่แค่นั้นนะ! อย่าว่าแต่เดินเลย ทอปเปอร์ที่แค่จะยืนยังยืนไม่ไหวเพราะอุบัติเหตุทางรถม้าเมื่อตอนเด็กน่ะ เขาเองก็กลับมาเดินได้ปกติเหมือนกันด้วยนะ!”
“โอย พูดอะไรไร้สาระ! ทอปเปอร์คนที่ต้องอยู่แต่ในบ้านเพราะไม่มีเงินไปรักษาน่ะหรือ”
เมื่อเรื่องของคนรู้จักถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็น ชายที่ฟังอยู่ก็โบกมือห้ามไม่ให้พูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทันที
แม้ภรรยาเขาจะบอกว่าเธอไปเห็นมากับตัวเอง เขาก็ยังไม่เชื่อ เพราะชายคนนี้จำได้ว่าทอปเปอร์ประสบอุบัติเหตุมาตั้งแต่แรก
ทว่าขณะที่เขากำลังจะปฏิเสธคำพูดของภรรยาต่อไปนั้น
“กำลังคุยเรื่องฉันกันอยู่ล่ะสิ ฮ่าๆ!”
พระเอกของเรื่องอย่างทอปเปอร์ก็โผล่มาด้วยตัวเอง สายตาของผู้เป็นสามีเลื่อนไปมองที่ขาของเขาทันที
เขาเดินไม่ได้มาหลายสิบปีทำให้ไม่มีกล้ามเนื้อและร่างกายผอมกะหร่อง ทว่าตอนนี้เขากลับยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคงด้วยพละกำลังของตัวเอง
“อะ อะไรกัน! เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้…!”
ทอปเปอร์คนนั้นกำลังยืนด้วยแรงของตัวเองคนเดียวอย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ทอปเปอร์ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนผิดกับเมื่อก่อนที่เขามักมีอารมณ์ฉุนเฉียว ก่อนจะเอ่ยปากพูด
“ในวันที่พระจักรพรรดิขึ้นครองราชย์น่ะ นายจำพระราชดำรัสของพระจักรพรรดินีได้ไหม พระองค์พูดว่ามีแสงสว่างมอบความแข็งแกร่งให้กับพระองค์”
“ฉะ ฉันจำได้แต่มันเกี่ยวอะไรด้วย!”
เขาควรจะพูดให้มันตรงประเด็นสิ ชายหนุ่มตะโกนด้วยความโมโหเมื่อทอปเปอร์พูดอะไรเหมือนคนซื่อบื้อ
ทอปเปอร์จึงพูดเข้าประเด็นทันที เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายอารมณ์เสียไปมากกว่านี้
“ความแข็งแกร่งนั่นล่ะที่ทำให้ฉันดีขึ้น ทีแรกฉันก็คิดว่าเป็นแค่คำเปรียบเปรยธรรมดาแต่ว่าพลังนั่นดันมีอยู่จริงๆ! มันต้องเป็นพรจากพระเจ้าที่ประทานให้พระจักรพรรดิกับพระจักรพรรดินีแน่ๆ!”
“อะไรนะ! มัน มันจะเป็นไปได้หรือ!”
“เป็นไปได้ซี่! ตอนนี้ฉันก็กำลังเดินเหมือนคนปกติอยู่ไม่ใช่หรือไงเล่า!”
เขาหัวเราะฮ่าฮ่าฮ่า! คล้ายต้องการจะอวดขาที่กลับมามีเรี่ยวแรงแล้ว ทอปเปอร์หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะเดินไปทางอื่นต่อ
ปาฏิหาริย์ที่ว่านี้หาได้เกิดกับทอปเปอร์แค่คนเดียว นอกจากคนเร่ร่อนในข่าวลือแล้วก็ยังมี เคนจากตรอกมืด ลีลี่จากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ สการ์เล็ตจากไร่ และคนอื่นๆ อีก
ผู้คนที่เคยเจ็บปวดและต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่กลับหายดีราวกับไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อนนั้นมีจำนวนไม่น้อยเลย
“อะไรกัน เช่นนั้นก็แปลว่าสิ่งที่พระจักรพรรดินีพูดเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ…! มิหนำซ้ำหากจ่ายรายได้ในหนึ่งปีของตัวเองก็จะได้รับการรักษาไม่ว่าใครก็ตามอีก!”
หากฟังผ่านๆ รายได้ในหนึ่งปีที่ว่านี้อาจดูแพง ทว่าหากดูให้ลึกลงไปในรายละเอียดแล้วมันไม่ได้ต่างจากของที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายเลยสักนิด
เพราะคนไข้ที่ได้รับเลือกต่างเป็นผู้ป่วยหนักไม่สามารถทำงานได้ จึงถือเป็นผู้ไม่มีรายได้มาตั้งแต่ต้นแล้วนั่นเอง
ขณะที่สถานการณ์ของชนชั้นสูงกลับต่างออกไป บรรดาชนชั้นสูงที่เป็นเจ้าของที่ดิน มีอสังหาริมทรัพย์หรือธุรกิจนั้น ต่อให้พวกเขาขยับตัวไม่ได้ก็ยังมีเงินจำนวนมหาศาลเข้ากระเป๋าอยู่วันยังค่ำ
ดังนั้นมันอาจฟังดูไม่ยุติธรรม แต่มันทำให้พวกเขาได้มีสุขภาพที่ดีอย่างที่เงินไม่อาจซื้อได้ พวกเขาจึงไม่มีทางที่จะไม่พอใจแน่นอน
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางคนที่ยอมจ่ายไม่ใช่เพียงรายได้แค่ปีเดียวแต่เป็นสิบปี หวังเพียงให้ตัวเองได้รับเลือกด้วยเช่นกัน
แต่ก็ใช่ว่าจะปราศจากความขุ่นข้องหมองใจไปเสียทีเดียว
เมื่อข่าวลือที่ว่าพระจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิมีพลังที่สามารถชุบชีวิตคนที่กำลังจะตายได้เลื่องลือไปถึงบ้านเมืองอื่น โรฮันที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟก็รีบแจ้นมายังจักรวรรดิทันที
“เหตุใดถึงบอกฉันไม่ได้สักคำ ฉันอุตส่าห์ตั้งใจทำเพื่อพวกนายอย่างหนักแท้ๆ!”
โรฮันถามอาซอย่างขุ่นเคืองว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ควรจะบอกอะไรกับเขาบ้างไม่ใช่หรือ
ความจริงแล้ว อาเรียคือตัวต้นเหตุในเรื่องครั้งนี้ แต่ด้วยความที่อาซคือเพื่อนยากที่รู้จักมักจี่กันมานาน โรฮันจึงกล่าวโทษอาซได้ง่ายกว่า
“ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นต่อไปในอนาคตดิฉันจะทำให้ประชาชนชาวโครอาได้รับผลประโยชน์ตรงนี้ด้วย ถึงการเลือกผู้ป่วยจะต้องเริ่มจากผู้ป่วยที่อาการหนักก่อนก็เถอะนะคะ”
“พูดจริงหรือ!”
คำพูดที่บอกว่าเธอจะมอบพลังให้กับเขาง่ายๆ ทำให้โรฮันถลาเข้าไปหาอาเรียทันที
เขาเข้าไปใกล้มากเสียจนอาซต้องรีบเข้าไปแทรกกลางแล้วผลักไหล่โรฮันออกไปเต็มแรง
โชคดีที่เขาแค่เกือบล้ม แต่โรฮันก็ยังไม่วายวิ่งเข้าไปหาอาเรียอีกรอบราวกับไม่คิดจะสนใจอาซเลย
และโชคดีที่เขาได้คำตอบสมกับที่อุตส่าห์เดินทางมาไกล
“ค่ะ ดิฉันพูดจริงๆ ค่ะ หากคุณให้คำมั่นว่าจะเป็นประเทศพันธมิตรกับจักรวรรดิเราเป็นการตอบแทน”
“ประเทศพันธมิตรอย่างนั้นหรือ! เราไม่ได้เป็นพันธมิตรกันอยู่แล้วหรอกหรือ พระจักรพรรดินีเองก็เป็นดวงดาวแห่งโครอา พวกเราก็เหมือนเป็นประเทศเดียวกันนั่นล่ะ!”
อาเรียเมินคำถามที่ว่าเธอยังต้องการคำมั่นสัญญาอะไรอีกก่อนจะหันไปส่งสัญญาณมือให้เจสซี่
เจสซี่รีบเอากองเอกสารหนาเตอะเข้ามาให้เขาทันที
แค่ความหนาก็ดูเหมือนจะมีข้อเสียเปรียบของโครอาอยู่นับไม่ถ้วนแล้ว
“ค่อยๆ ตรวจทานแล้วให้คำตอบทีหลังก็ได้นะคะ อย่างที่คุณโรฮันพูด จักรวรรดิกับโครอานั้นอยู่ในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมอยู่แล้ว ดังนั้นเนื้อหาในนั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไรนะคะ”
“เฮอะ รอบคอบจริงนะครับ …ก็ได้ เล่นหนาขนาดนี้ยังไงผมก็ต้องค่อยๆ อ่านช้าๆ อยู่แล้วล่ะ”
“มันเป็นแค่เรื่องง่ายๆ ไม่ได้ครึ่งของประเทศอื่นด้วยซ้ำ คุณไม่ต้องกังวลมาไปหรอกนะคะ”
“…ดีใจที่ได้ยินนะ แต่ผมก็ต้องอ่านก่อนอยู่ดี”
โรฮันออกจากจักรวรรดิด้วยสีหน้าเย็นชา แม้เขาจะมีโอกาสที่จะได้ในสิ่งที่ตนต้องการทันทีด้วยเช่นกัน
ผ่านไปสิบวันจึงมีสารจากโรฮันส่งมาบอกว่าเขาจะยอมเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิ
ซึ่งมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะในเอกสารมีเพียงเนื้อความที่เป็นทางการทั่วๆ ไป ไม่ได้มีเรื่องที่เป็นข้อเสียเปรียบต่อโครอาแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ ลายมือของโรฮันในสารจึงมีแต่ความตื่นเต้นแฝงอยู่
「ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงเขียนเรื่องพวกนี้เอาไว้เป็นเอกสารและยังห้ามไม่ให้บอกใครอีก พระจักรพรรดินีทรงคิดจะกดขี่ประเทศอื่นโดยเริ่มจากโครอานี่เอง」
โรฮันพูดได้ถูกต้องทีเดียว อาเรียคิดจะเสนอเงื่อนไขที่ไม่ชอบธรรมเพื่อควบคุมประเทศอื่น
พลังความแข็งแกร่งที่จะทำให้ทุกคนที่มีชีวิตสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ว่าใครก็อยากได้มาทั้งนั้นแม้จะต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวงด้วยการเข้าร่วมสงครามก็ยอม
จักรวรรดิมีกำลังคนที่กล้าแกร่ง ทว่ามันจะกลายเป็นคนละเรื่องโดยสิ้นเชิงหากว่าประเทศอื่นๆ รวมพลังกัน
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องผูกมัดพวกเขาเอาไว้ด้วยข้อสัญญาก่อนที่จะมีคำพวกนั้นออกมาจริงๆ
ตอนนี้เธอเตะตัดขาไม่ให้โครอาเริ่มได้แล้ว ดังนั้นต่อให้เธอจะเสนอข้อแม้ที่ไม่ยุติธรรมมากกว่านี้อีกหน่อย โรฮันก็ไม่อาจปฏิเสธ
「น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณได้ไปอยู่ที่จักรวรรดิ ในเมื่อคุณเองก็มีสายเลือดโครอา กลับมาอยู่ที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ」
อาเรียอ่านข้อความไร้สาระที่โรฮันเขียนเพิ่มเข้ามาแล้วก็รู้สึกหนาวจนต้องยกมือขึ้นลูบตัวเอง
อาซที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงรีบถอดเสื้อนอกของตัวเองมาคลุมไหล่อาเรียทันที
“อากาศก็ไม่เย็นแต่คุณกลับรู้สึกหนาวแบบนี้ ผมเป็นห่วงไม่รู้ว่าคุณจะไม่สบายหรือเปล่าน่ะครับ”
อาเรียลบสีหน้าเคร่งเครียดออกไปก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้อาซพลางพยักหน้า
“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะคะ ที่จริง ช่วงนี้ฉันเองก็รู้สึกหนาวอยู่บ่อยๆ แล้วก็เหนื่อยด้วยค่ะ”
“ไม่รู้ว่าสามีคุณคือใครแต่เขานี่ใช้ไม่ได้เลยนะครับ ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าภรรยาคนสวยป่วยแบบนี้”
อาซจูบหน้าผากอาเรียราวกับกำลังขอให้เธอยกโทษให้เขา
จู่ๆ อาเรียก็เกิดอยากออดอ้อนอาซเป็นเด็กๆ ขึ้นมา เธอเอนตัวลงพิงแผ่นอกแกร่งแล้วหลับตาลง
“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยไปบอกคนใช้ไม่ได้คนนั้นหน่อยได้ไหมคะ ว่าภรรยาเขาเหนื่อยมากอยากกลับห้องนอนแล้ว ให้เขาช่วยพากลับหน่อย”
วันนี้เธออยากจะทานมื้อเย็นที่ห้องนอน ไม่ออกไปเดินเล่น และนอนกอดอาซเสียเดี๋ยวนี้เลย
อาซระบายยิ้มเพราะเสียงเนือยๆ จากความเหนื่อยล้าที่ถาโถมเข้ามานั้นช่างน่ารักน่าเอ็นดู เขากอดอาเรียเอาไว้
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งขอรับ พระจักรพรรดินี”
หลังจากนั้นไม่นานทัศนียภาพรอบตัวก็เปลี่ยนจากห้องทำงานของอาเรียมาเป็นห้องนอน อาเรียคงจะเพลียมากจริงๆ เพราะเธอหลับทันทีที่ได้นอนลงบนเตียง
“คุณควรจะทานข้าวเย็นสักหน่อยสิครับ เดี๋ยวจะป่วยเอานะ”
“…”
แม้อาซจะเขย่าไหล่เธอและพูดด้วยความเป็นห่วง แต่อาเรียก็ไม่ขยับเขยื้อน
ตอนนั้นเอง อาซจึงเพิ่งนึกได้ว่าสภาพร่างกายของอาเรียดูผิดไปจากปกติอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงปลุกอาเรียด้วยสัมผัสที่แรงขึ้นมาเดิมเล็กน้อย
“คุณอาเรีย คุณอาเรีย! ตื่นเถอะครับ! อาเรีย!”
“…อาซคะ ฉัน… เหนื่อยค่ะ…”
โชคดีที่เธอยังโต้ตอบได้และไม่ได้หมดสติ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังดูเหมือนคนป่วยอยู่ดี
อาซรีบเรียกหมออย่างร้อนใจทันทีเมื่อเห็นว่าอาเรียหลับตาลงอีกครั้ง
หมอที่รีบรุดวิ่งมายังห้องนอนอาเรียในก้าวเดียวตรวจดูร่างกายเธออย่างละเอียด ก่อนจะแสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมาอย่างผิดไม่มิด
“…เอ๊ะ หะ ให้ตายสิ”
“ทำไม! มีอะไร ทำไมสภาพเธอดูแย่ขนาดนั้น!”
สีหน้าของหมอทำให้อาซยิ่งร้อนใจ เธอไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไรใช่หรือไม่
โชคดีที่พวกเขามีน้ำทะเลสาบ ดังนั้นหากเธอดื่มแล้วก็จะทำให้หายจากโรคได้ แต่แค่คิดว่าเธอต้องทนเจ็บปวดอยู่ในตอนนี้ ใจอาซก็แทบขาด
“กระผมคิดว่า พระจักรพรรดินีกำลังตั้งครรภ์ขอรับ”
“…อะไรนะ”
แต่คำตอบที่ได้กลับมากลับเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึง อาซถามกลับน้ำเสียงตกตะลึง
“มีลูกอย่างนั้นหรือ อย่าบอก อย่าบอกนะว่า เธอท้อง…”
“ขอรับ! กระผมคิดว่ากระผมอาจวินิจฉัยผิดจึงตรวจดูพระวรกายอยู่หลายรอบขอรับ! กระผมขอถวายความยินดีอย่างยิ่งขอรับ ฝ่าบาท!”
บลิสกับลิเป้กลับไปเป็นเวลานานมากแล้วนี่จึงเป็นเรื่องที่อาซไม่ทันคิด เขาไม่รู้ว่าควรแสดงออกอย่างไรดี
เขารู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด อาซได้เจอกับลูกๆ ของตัวเองที่มาจากอนาคตแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าสักวันเขาคงได้มีลูก แต่ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นตอนนี้
เขาพยายามเก็บแววตาที่กำลังสั่นไหวพลางเกลี่ยผมให้อาเรียซึ่งยังหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังกลัวว่าเธอจะเจ็บจนปลายนิ้วสั่นระริก
อาซคิดว่าเขาควรทำอะไรเพื่ออาเรียสักอย่าง แต่กลับคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี
หลังจากนิ่งไปนาน อาเรียก็กลับมามีสติอยู่ครู่หนึ่ง เธอจับมืออาซทั้งที่ตายังปรือ
“…ขอโทษนะคะ ฉันง่วงมากน่ะ เมื่อครู่ฉันยังดีๆ อยู่แท้ๆ ไม่รู้ทำไมถึง…”
อาเรียกำลังจะหลับไปอีกครั้งแม้จะเหลือคำพูดอีกเพียงไม่กี่คำ อาซจึงเข้าไปกอดเธอไว้
“ผมคิดว่าเรา… กำลังจะได้เจอบลิสกับลิเป้เร็วๆ นี้แล้วล่ะครับ”
* * *
บลิสและลิเป้ที่จับมือกลับมายังอนาคตด้วยกันยืนจ้องกันอยู่สักพักโดยไม่มีใครพูดอะไร
นั่นเพราะภาพจำใหม่ๆ ที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมาได้กลายเป็นความทรงจำเติมหัวใจของพวกเธอจนเต็ม
“ลิเป้ ฉะ ฉัน…! ตอนนี้ฉันใช้พลังไม่ได้แล้ว…!”
บลิสพูดออกมาทั้งรอยยิ้มและน้ำตาคลอเบ้า ลิเป้จึงพยักหน้าก่อนจะตอบว่าเธอเองก็เป็นเช่นเดียวกัน
“ถ้าอย่างนั้นจากนี้เราคงต้องเดินไปแล้วล่ะ”
“อืม! รีบไปกันเถอะ ฉันมีเรื่องอยากเล่าให้แม่ฟังเยอะแยะเลย! แล้วก็มีเรื่องที่อยากฟังด้วย!”
บลิสผู้ใจร้อนดึงมือลิเป้แล้วเร่งให้รีบเดิน
ลิเป้เองก็ร้อนใจเช่นกัน สองพี่น้องจับมือกันแน่นแต่ขณะที่พวกเธอกำลังจะก้าวเดินไปตามพื้นดินนั้นเอง
“บลิส ลิเป้ มาอยู่ตรงนี้เอง แม่เพิ่งไปหาพวกลูกเพราะจะชวนมาดื่มชาด้วยกันพอดี”
น้ำเสียงแสนคุ้นเคยกลับตรึงข้อเท้าของพวกเธอไว้กับที่
เมื่อพวกเธอรีบหันไปมองก็ได้พบกับอาเรียผู้มีดวงตาเป็นประกายและแก้มใสมีน้ำมีนวลไม่ต่างจากในอดีตกำลังแย้มยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับอ้าแขนออกกว้าง
“หลังดื่มชาแล้วอยากออกไปข้างนอกกับแม่ไหม ได้ยินว่าที่ฟลาวเวอร์เมาน์เทนมีเมนูใหม่ แม่เลยอยากรู้น่ะ เอ๊ะ! หรือเราจะออกไปก่อนดื่มชาดี—ล่ะ”
ก่อนที่เธอจะทันได้พูดจบ
“แม่!”
บลิสกับลิเป้ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะวิ่งเข้าหาอ้อมกอดของอาเรียเต็มแรง
นั่นทำให้อาเรียเซถอยหลังจนเกือบล้ม โชคดีที่อาซที่เพิ่งมาถึงจับเธอไว้ได้พอดี
ที่ผ่านมาเด็กๆ ก็เล่นดี ทานข้าวตามปกติ และตั้งใจเรียน แล้วทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นแบบนี้กันไปได้
อาเรียเอ่ยถามเด็กๆ ว่ามีเรื่องอะไรหรือไม่ด้วยความสงสัยพลางส่งสายตาไปหาอาซ ทว่าเขาแค่ยักไหล่กลับมาราวกับจะบอกว่าตนก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน
“บลิส ลิเป้ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ล้มหรือ ลูกสองคนไม่ได้ทะเลาะกันใช่ไหม”
อาเรียถามอย่างเป็นกังวล โฮฮ! บลิสร้องไห้โฮออกมาทันที
สีหน้าของอาเรียและอาซจึงยิ่งเคร่งเครียด ทั้งสองคิดว่าบางทีพวกเขาอาจต้องยกเลิกการเดินทางออกไปข้างนอก และเปลี่ยนมาพูดคุยกันระหว่างครอบครัวในห้องเรือนกระจกเงียบๆ เสียแล้ว
มันคือชีวิตประจำวันอันแสนสงบสุขดังที่เป็นมาเสมอ
-พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย
ตอนพิเศษเพิ่มเติม อาเรียตัวน้อย จบบริบูรณ์-
……………..