เยี่ยนถิงพลันหัวเราะขึ้นมา ยกมือตบโต๊ะฉาดหนึ่ง “ข้าชอบเซี่ยอี”
ฉินอวี้ผินหน้ามองเขา
ทุกคนก็ล้วนหันไปมองเขาเช่นกัน
เยี่ยนถิงพลันขยับเข้าใกล้ฉินอวี้ “หากทรงไม่ชอบนาง ข้าจะชอบแทนแล้วนะ”
“ตามสบาย” ฉินอวี้ละสายตากลับมา ดื่มน้ำชาอึกหนึ่ง สีหน้าเรียบนิ่ง
เยี่ยนถิงตะโกนขึ้น “เซี่ยอี”
เซี่ยอีหยุดเท้าแล้วหันกลับไปมองเยี่ยนถิง
“แต่งกับข้าเถอะ เป็นเช่นไร บางทีข้าอาจทำให้เจ้าเปลี่ยนใจหันมาชอบข้าก็เป็นได้” เยี่ยนถิงมองนางแล้วยิ้มกล่าว
เซี่ยอีมองเยี่ยนถิงด้วยแววตาจริงจัง ส่ายหน้าปฏิเสธ ตอบทีละคำด้วยความเอาจริงเอาจัง “ท่านโหวน้อยเยี่ยน ขอโทษด้วย แต่ข้าชอบเพียงฝ่าบาท หากชีวิตนี้จะออกเรือนก็จะออกเรือนกับพระองค์เท่านั้น ถ้ามิอย่างนั้นก็เดียวดายไปจนแก่เฒ่า”
“ตัวข้ายังไม่พูดถึงเดียวดายไปจนแก่เฒ่า เจ้ายังเป็นแม่นางน้อย อายุน้อยกว่าพวกเราตั้งหลายปีกลับเอ่ยถึงเดียวดายไปจนแก่เฒ่าอันใดกัน เร็วเกินไปแล้ว มิน่าเล่าคนอื่นถึงคิดว่าเจ้ายังเด็ก” เยี่ยนถิงมองนาง เอ่ยขึ้นอย่างคลุมเครือ
เซี่ยอีกล่าวอย่างตั้งใจ “อีกไม่กี่เดือนข้าก็ปักปิ่นแล้ว ยังเป็นเด็กหรือไม่”
เยี่ยนถิงพยักหน้า “ดูแล้วยังเหมือนเด็ก”
เซี่ยอีก้มหน้ามองตัวเองแวบหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น กล่าวด้วยความจริงจัง “ท่านโหวน้อยเยี่ยน ข้ามิใช่เด็ก ข้าคือเซี่ยอี บุตรีของเรือนหกตระกูลเซี่ย บางทีตอนนี้ทุกคนอาจคิดว่าข้าพูดจาแบบเด็กๆ ทำสิ่งใดแบบเด็กๆ ถึงได้เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ แต่วันหนึ่ง ห้าปี สิบปี หรือกระทั่งยี่สิบปีให้หลัง คนใต้หล้าจะรู้ว่าตระกูลเซี่ยมีบุตรีคนหนึ่ง ชื่อว่าเซี่ยอี นางชอบคนผู้หนึ่งและเฝ้ารอเขาตลอดมา ถึงแม้ยามเขาเลือกฮองเฮาแต่งตั้งสนมจะยังไม่เลือกนาง ต้องเดียวดายไปจนแก่เฒ่า แก่ตายไปในจวนเพียงลำพัง นี่ก็เป็นสิ่งที่เต็มใจเช่นกัน วันนี้ลั่นวาจาแล้ว มีผลไปตลอดกาล”
ถ้อยคำนี้มีพลังและอำนาจโน้มน้าวใจ
เยี่ยนถิงนิ่งอึ้ง ทันใดนั้นก็มองเซี่ยอีใหม่
ฉินอวี้ตวัดตามองเซี่ยอีแวบหนึ่ง พบว่าหลังนางพูดประโยคนี้จบก็หมุนตัวเดินกลับไป แผ่นหลังเหยียดตรงตั้งตระหง่าน
ชั่วพริบตานั้นเอง นางคล้ายกับเซี่ยฟางหวายิ่ง
แต่ทว่าทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งว่านางมิใช่เซี่ยฟางหวา คุณหนูแห่งจวนอิงชินอ๋องไม่เคยกระทำตามใจตัวเองแบบนี้มาก่อน ถึงแม้ชอบคนผู้หนึ่ง ชอบท่านอ๋องน้อยเจิงก็ยังคงนิสัยสุขุมนุ่มลึก ไม่มีทางกล่าวถ้อยคำเอาแต่ใจตัวเองเช่นนี้
เซี่ยอีในวินาทีนี้กลับคล้ายฉินเจิง วัยเยาว์ไม่เอาจริงเอาจัง กระทำตามใจตัวเอง
ฮูหมิงหมิงเดิมกระวนกระวายใจ ยามนี้ได้ยินเซี่ยอีกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ก็ทั้งตกใจและทั้งใจเย็นลงทันที นางไม่คิดว่าบุตรีของตนจะเดียวดายไปจนแก่เฒ่าจริงๆ แต่สำหรับมารดาที่ย่อมรู้จักนิสัยบุตรีของตนแล้วนั้น กลัวว่านี่เป็นปมที่ถูกมัดเงื่อนตาย แก้ไม่ออกอีกแล้ว
ฮูหยินหมิงมองเซี่ยอีที่กำลังเดินมาหา พลันเกิดความกลุ้มใจ
เหล่าฮูหยินและคุณหนูไม่มีใครเอ่ยคำใด ต่างล้วนตกอยู่ในความคิดตัวเอง ต้องยอมรับว่าถ้อยคำครั้งนี้สร้างความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างยิ่ง
“ดี” พระชายาอิงชินอ๋องพลันโพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด
นางพูดจบ ไทเฮามองฉินอวี้แวบหนึ่ง ครุ่นคิดแล้วก็ตะโกนคล้อยตาม “ดี”
ครั้นทั้งสองเอ่ยขึ้นเป็นการแสดงการยอมรับต่อเซี่ยอี ความคิดของเหล่าฮูหยินและคุณหนูก็เปลี่ยนไปโดยพร้อมเพรียงกัน
เยี่ยนหลันผุดลุกขึ้นยืน สายตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม กล่าวเสียงดังว่า “ดี”
จินเยี่ยนตะโกนต่อว่า “ดี”
จินเยี่ยนตะโกนจบ ทุกคนก็พากันมองมาที่นาง สายตารวมอยู่บนกายนางชั่วพริบตา
จินเยี่ยนแย้มยิ้ม เรียกพวกเยี่ยนหลัน “เล่นต่อเถอะ ถึงตาใครออกไพ่”
“ตาข้าแล้ว” หลี่หรูปี้ละสายตากลับมา มองไพ่พลางเอ่ยตอบ
ทุกคนถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า นอกจากท่านหญิงจินเยี่ยนที่ชอบฉินอวี้มาหลายปีอยู่ตรงนี้ด้วยแล้ว ยังมีคุณหนูหลี่หรูปี้แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาที่อดีตฮ่องเต้เคยออกสมรสพระราชทานแล้วยกเลิกไปอยู่ด้วยเช่นกัน
เหล่าฮูหยินหลายคนพบว่า เรื่องประโลมโลกในเมืองหลวงหนานฉินรุ่นนี้ยังกระตุ้นจิตใจคนยิ่งกว่าสถานการณ์ความไม่สงบในตอนนี้เสียอีก
เซี่ยอีกลับมาหาฮูหยินหมิง เอ่ยเสียงทุ้มว่า “ท่านแม่ เรากลับจวนกันเถอะ”
ฮูหยินหมิงฝืนลุกขึ้นยืน ยังนับว่าพยักหน้าตอบอย่างสงบ ก่อนหันไปขอตัวลากับไทเฮา หลินไท่เฟย และพระชายาอิงชินอ๋อง
ก่อความวุ่นวายเช่นนี้แล้ว เซี่ยอีย่อมไม่มีหน้าอยู่ที่จวนอิงชินอ๋องต่อ
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงในคราแรก หลินไท่เฟยก็ตรัสไม่ออกเช่นกัน
ไทเฮามองเซี่ยอี พินิจมองอย่างถี่ถ้วน จวนจงหย่งโหวแม้มีดอกไห่ถังเต็มเรือน แต่เซี่ยฟางหวานั้นคล้ายดอกเหมยในหน้าหนาว ส่วนเซี่ยอีกลับคล้ายดอกไห่ถังอันงามสะพรั่ง นางพลันคิดว่า หากได้เซี่ยอีมาเป็นลูกสะใภ้ก็ไม่เลวเช่นกัน เหตุการณ์เช่นนี้ ยามเผชิญสถานการณ์จวนตัวก็ยังพูดออกมาอย่างสุขุมมั่นคง ไม่แสดงความขลาดกลัวหรือประหม่าแม้แต่น้อย เหมาะสมอย่างยิ่ง
นางดึงมือเซี่ยอี ยิ้มอย่างอ่อนโยนรักใคร่ ก่อนถอดกำไลหยกวงหนึ่งออกจากข้อมือ แล้วสวมใส่ให้อีกฝ่าย กำชับว่า “ข้าอยู่แต่ในตำหนัก ไม่มีใครอยู่ด้วยก็น่าเบื่อมาก ฮูหยินหมิงหากมีเวลาว่าง ก็พาคุณหนูรองเข้าวังบ่อยๆ เถอะ”
นี่นับว่าเป็นการยอมรับกลายๆ แล้ว
คนเป็นมารดาเหมือนกัน ย่อมปรารถนาให้ลูกของตนได้ดี ฮูหยินหมิงยิ้มพลางพยักหน้า “ขอบพระทัยไทเฮา หากว่างข้าจะพาอีเอ๋อร์ไปรบกวนเพคะ”
“ขอบพระทัยไทเฮา” เซี่ยอีเองก็มิได้ปฏิเสธ ระบายยิ้มกว้าง กล่าวขอบคุณด้วยเสียงใสกังวาน
พระชายาอิงชินอ๋องดึงปิ่นระย้าบนศีรษะออกมาเล่มหนึ่ง ก่อนปักลงบนมวยผมของเซี่ยอี ส่งยิ้มอบอุ่นให้แก่นาง “ช่างเป็นเด็กดีนัก ต่อไปมาหาหวาเอ๋อร์บ่อยๆ เถอะ”
“ขอบคุณพระชายา วันหน้าข้าต้องมาแน่นอน หากคิดถึงพี่ฟางหวาเมื่อไรก็จะมาหา” เซี่ยอีหันไปขยิบตาให้เซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม
ฮูหยินหมิงกับเหล่าฮูหยินทักทายอำลา ก่อนพาเซี่ยอีออกจากจวนอิงชินอ๋อง
หลังทั้งสองคนกลับไป หลินไท่เฟยก็มองฉินชิงแวบหนึ่ง พบว่าเขาเอาแต่ก้มหน้าคล้ายกับวิญญาณหลุดลอยไปแล้ว นางพลันปวดใจ บีบไหล่เขาปลอบโยน “ชิงเอ๋อร์ วาสนายังคงเป็นสิ่งที่สวรรค์ลิขิต เมื่อมิใช่เจ้า ก็ไม่ทางที่จะได้มาเช่นกัน เซี่ยอีไม่ใช่วาสนาของเจ้า ปล่อยวางเสียเถอะ”
ฉินชิงก้มหน้าไม่เอ่ยคำใด
“ข้าก็เหนื่อยแล้ว เรากลับจวนกันเถิด” หลินไท่เฟยตรัสอีก
ครั้งนี้ฉินชิงเชื่อฟัง ลุกขึ้นประคองหลินไท่เฟย
หลินไท่เฟยบอกลาทุกคน พระชายาอิงชินอ๋องกับไทเฮา และฮูหยินทุกคนลุกขึ้นส่ง ฝีเท้าฉินชิงค่อนข้างโซซัดโซเซ สองย่าหลานออกจากจวนอิงชินอ๋องด้วยกัน
มองแผ่นหลังเช่นนี้แล้ว ชวนให้ทุกคนเศร้าใจไม่น้อย
เซี่ยฟางหวาคิดในใจว่า ที่นางบอกวิธีการนี้กับเซี่ยอีวันนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้าย แม้แต่นางเองยังตอบมิได้ เพียงแต่มองในมุมของเซี่ยอีแล้วนั้น นางช่วยลูกพี่ลูกน้อง แต่ทำร้ายฉินชิง
ฉินชิงชอบเซี่ยอี แต่เซี่ยอีไม่ชอบฉินชิง ก็เหมือนที่ฉินชิงปฏิเสธเซี่ยซีในตอนนั้น ปล่อยให้เซี่ยซีเสียใจจนแทบหัวใจแทบสลาย แล้วอย่างไรต่อเล่า
หากบอกว่าเวรกรรมไม่มีจริง นางก็คงไม่เชื่อ
เซี่ยฟางหวาลอบถอนหายใจ
หลังจากฮูหยินหมิงกับเซี่ยอี หลินไท่เฟยกับฉินชิงกลับไปแล้ว งานชมบุปผาก็ตกอยู่ในความเงียบพักหนึ่ง ก่อนที่เหล่าฮูหยินและคุณหนูจะเริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง ทว่าบรรยากาศกลับไม่คึกครื้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ผ่านไปพักหนึ่ง เสี่ยวเฉวียนจื่อก็เดินมาทำความเคารพเซี่ยฟางหวา “พระชายาน้อย”
“กงกงมีเรื่องใดหรือ” เซี่ยฟางหวาหันไปมองเขา
เสี่ยวเฉวียนจื่อประสานมือคำนับทันใด กล่าวเสียงเบาว่า “ก่อนออกจากวังบ่าวลืมนำฉลองพระองค์ของฝ่าบาทติดมาด้วย เมื่อครู่ท่านโหวน้อยเยี่ยนไม่ทันระวังทำสุราหก กระเซ็นโดนฝ่าบาทเข้า ตอนนี้หากกลับไปเอาที่วังหลวง เกรงว่าฝ่าบาทจะต้องสวมฉลองพระองค์เปียกชื้นอีกพักใหญ่ บ่าวคิดว่า ท่านอ๋องน้อยเจิงกับฝ่าบาทมีรูปร่างใกล้เคียงกัน หาก…”
เซี่ยฟางหวาเข้าใจ มองไปยังฉินอวี้แวบหนึ่ง แล้วตะโกนขึ้น “ซื่อฮว่า”
“คุณหนู” ซื่อฮว่าเดินเข้ามา
“ไปหยิบเสื้อตัวนอกของฉินเจิงในเรือนลั่วเหมยมาตัวหนึ่ง เลือกตัวที่ใหม่เอี่ยม นำมาให้เสี่ยวเฉวียน
จื่อกงกง” เซี่ยฟางหวาสั่งงาน
ซื่อฮว่าพยักหน้า
“ฉลองพระองค์ข้างในก็เปียกด้วย ฝ่าบาทต้องทรงไปเปลี่ยนขอรับ” เสี่ยวเฉวียนจื่อกระซิบกล่าวทันที
เซี่ยฟางหวาได้แต่เอ่ยขึ้น “เช่นนี้แล้วกัน ให้ซื่อฮว่านำทาง พาฝ่าบาทไปเปลี่ยนที่เรือนลั่วเหมยแล้วกัน”
“ขอบคุณพระชายาน้อย” เสี่ยวเฉวียนจื่อกล่าวขอบคุณทันที แล้ววิ่งไปหาฉินอวี้
เขาวิ่งไปหน้าพระพักตร์ฉินอวี้ ทูลกล่าวสองประโยค ฉินอวี้ก็มองมาทางนี้ เซี่ยฟางหวาพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย ฉินอวี้จึงลุกขึ้นยืน ซื่อฮว่านำทาง เสี่ยวเฉวียนจื่อรั้งท้าย ทั้งสามเดินไปยังเรือนลั่วเหมย
ไม่นานซื่อฮว่าก็วิ่งหอบกลับมาหาเซี่ยฟางหวา กระซิบข้างหูว่า “คุณหนู ฝ่าบาททรงถูกพระทัยเสื้อที่ท่านเพิ่งเย็บเสร็จเมื่อวาน ต้องการจะสวมใส่ให้ได้ บ่าวห้ามมิได้”
เซี่ยฟางหวาชะงัก “เจ้าหมายถึง…”
“ตัวใหม่เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าร้อนรน เสริมว่า “ตัวใหม่ที่ท่านทำให้ท่านอ๋องน้อย หลังเย็บเสร็จเมื่อวานก็ลืมนำไปเก็บเสียสนิท”
“เขาใส่ไปแล้วหรือ” เซี่ยฟางหวาถามทันที
ซื่อฮว่าพยักหน้า
“เช่นนั้นเขารู้ความลับหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม
“มิทราบว่าฝ่าบาททรงมองออกหรือไม่เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าส่ายหน้า
เซี่ยฟางหวาพูดไม่ออกชั่วขณะ โบกมือปัดว่า “ในเมื่อใส่ไปแล้วก็ให้เขาใส่ไปเถอะ” พูดจบก็ยกมือนวดศีรษะ “ชุดของเขาไฉนถึงถูกสุรากระเซ็นใส่ได้เล่า” หยุดชั่วครู่ก็หันไปมองที่นั่งแขกบุรุษ เยี่ยนถิงกับเฉิงหมิงกำลังเล่นทายนับนิ้ว*[1] ดูท่าทางแล้วคงแพ้อย่างน่าสมเพช ดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่าจนเมามาย นางขุ่นเคืองขึ้นมา “เยี่ยนถิงคนนี้ ล้วนโทษเขา”
[1] *ทายนับนิ้ว คือ เป่ายิงฉุบ