เซี่ยอียังเป็นแค่สาวน้อยคนหนึ่ง ยามแสงแดดส่องกระทบกาย ทอรัศมีทรงกลด นางดั่งเงาผืนน้ำมันวาว ใสสะอาดหาใดเปรียบ
ยามนี้เอง เหล่าคนที่อาศัยในเมืองหลวงหลายปีราวกับเพิ่งพบว่า เจ้าตัวซนในเรือนหกตระกูลเซี่ยที่ถูกฮูหยินหมิงหนีบไว้ข้างกายเสมอนั้นเติบโตแล้วกลายเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง เมื่อยืนอยู่ตรงนี้ ด้วยรูปร่างสูงเพรียว เหล่าคุณหนูทุกท่านยังมิอาจกลบรัศมีความเจิดจ้าในตัวนางได้
โดยเฉพาะรัศมีในยามนี้
บางคนถึงขั้นลอบคิดว่า คุณหนูฟางหวาแห่งจวนจงหย่งโหวมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือใต้หล้า ทว่านับจากวันนี้ ชื่อของคุณหนูเซี่ยอีแห่งตระกูลเซี่ยก็เลื่องลือไปทั่วใต้หล้าเช่นกัน
ไม่มีผู้ใดหัวเราะ แลไม่มีผู้ใดส่งเสียง บริเวณโดยรอบเงียบสงัดราวกับไม่มีคนอยู่
ครั้นฉินชิงได้ยินเซี่ยอีบอกว่าชอบฉินอวี้ ร่างกายก็โงนเงนจนเกือบล้มลง แต่คนด้านข้างพยุงเขาไว้ทัน
หลินไท่เฟยมองฉินอวี้กับเซี่ยอีที่ยืนประจันหน้าเขาอยู่ ทั้งมองฉินชิง แล้วลอบถอนหายใจ
ไทเฮาคอยช่วยหลินไท่เฟยกับฉินชิงตรัสเกลี้ยกล่อม ยามนี้ไม่นึกว่าเซี่ยอีกลับชอบโอรสของตน นางตกพระทัยจนแทบลมจับ สิ่งที่ตกพระทัยมิใช่เพราะเซี่ยอีชอบฉินอวี้ บุตรีในหอนอนที่ชอบฉินอวี้นั้นมีไม่น้อย แต่คนที่กล้าวิ่งไปสารภาพต่อพระพักตร์ฉินอวี้เช่นในวันนี้นั้นกลับไม่มีเลยสักคน
การกระทำครั้งนี้ เทียบกับคนที่ชอบฉินอวี้มาหลายปี ทว่ากลับเขินอายไม่กล้าพูดต่อหน้าฉินอวี้
หลายต่อหลายครั้งอย่างจินเยี่ยนนั้นกล้าหาญกว่ามาก
เรียกได้ว่าใต้หล้าตกตะลึง สร้างความสะเทือนเลื่อนลั่น
ฮูหยินหมิงก็ตกใจแทบลมจับเช่นกัน นางอย่างไรก็ไม่คาดคิดว่าเซี่ยอีชอบฉินอวี้ อีกทั้งยังกล้าพูดออกมาเช่นนี้ นางไม่รู้ว่าควรชมบุตรีของตน หรือควรลุกขึ้นตำหนินางที่กล้าล่วงเกินฝ่าบาทในยามนี้ดี
นางคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น สี่ปีก่อน ฉินอวี้เคยมาส่งเซี่ยอีจริงดังที่กล่าว ยามนั้นนางยังขอบคุณองค์ชายสี่ด้วยความจริงจัง ใครจะคิดเล่าว่ากลับเป็นเหตุที่ทำให้บุตรีตนเกิดความชอบ เพราะนางไม่เคยคิดจะเกี่ยวดองกับราชวงศ์ เซี่ยอีเองก็ไม่เคยแสดงออก ดังนั้น นางย่อมไม่เคยคิดมาก่อน
พระชายาอิงชินอ๋องก็อึ้งเช่นกัน ไม่คิดว่าเซี่ยอีจะกล้าหาญถึงเพียงนี้ ทว่าในใจกลับชื่นชมมากกว่าประหลาดใจ คิดว่าแม่นางน้อยกล้าหาญน่าสรรเสริญ มิใช่ใครก็กล้าบอกชอบฝ่าบาทต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ได้ แม้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจินเยี่ยนชอบฝ่าบาทจนเป็นที่รู้โดยทั่วกัน เกรงว่าก็ทำแบบนี้มิได้เช่นกัน
องค์หญิงใหญ่ผินหน้ามองบุตรีของตน
ใบหน้าจินเยี่ยนเรียบนิ่ง มองไปยังบริเวณที่นั่งแขกบุรุษอย่างเงียบสงบ สายตาราวกับตกลงบนกายฉินอวี้ และทั้งราวกับตกลงบนกายเซี่ยอี หากแต่เรียบนิ่งอย่างมาก คล้ายกำลังมองแขก แต่ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด
เยี่ยนหลันเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
หลี่หรูปี้ก็เหมือนกับจินเยี่ยน มองไปยังบริเวณที่นั่งแขกบุรุษ สายตากลับว่างเปล่า ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ สีหน้าอ่านไม่ออก
หลูเสวี่ยอิ๋ง เจิ้งเย่เวย หวางจื่อหมิง เฉิงอวี้ปิ่ง และซ่งฉินหร่านเหมือนกับฮูหยินทุกคน ตกตะลึงในความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่ของเซี่ยอี
วันนี้เป็นวันที่จวนอิงชินอ๋องจัดงานชมบุปผา แทบจะรวมตัวอนุชนผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงหนานฉิน
วันนี้ฝ่าบาท ไทเฮา พระชายาอิงชินอ๋อง หลินไท่เฟย องค์หญิงใหญ่ ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา รวมถึงเหล่าฮูหยินและคุณหนูจำนวนหนึ่งล้วนอยู่พร้อมหน้า
ในวันแบบนี้ ผู้คนมากขนาดนี้ หากสลับตนเองเป็นเซี่ยอี ล้วนคิดว่าทำมิได้
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินอวี้ก็เอ่ยขึ้น “เจ้าบอกเรา เรารับรู้แล้ว เช่นนั้นลำต่อไป เจ้าคิดจะทำเช่นไรต่อ”
เซี่ยอีชะงักครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าฉินอวี้จะเอ่ยเช่นนี้ จึงมึนงงไปชั่วขณะ
ฉินอวี้มองนาง รอให้อีกฝ่ายตอบคำถาม
แต่พักหนึ่ง เซี่ยอีก็กล่าวเสียงดังด้วยความตั้งใจ “ตอนนี้พระองค์ไม่ชอบหม่อมฉันก็ไม่สำคัญ ถึงวันข้างหน้าจะไม่ชอบหม่อมฉันก็ไม่เป็นไร หม่อมฉันชอบพระองค์ก็พอแล้ว ไม่ทำสิ่งใดทั้งนั้น แค่รอจนกว่าจะทรงอยากแต่งกับหม่อมฉัน หรืออยากรับไปเป็นสนมก็ได้ทั้งนั้น”
“รอข้า?” ฉินอวี้หรี่ตาลง
เซี่ยอีพยักหน้าจริงจัง “หม่อมฉันต่อแถวรอได้ ให้ทรงจดจำหม่อมฉันได้ก่อน วันหนึ่งหลังทรงแต่งตั้งฮองเฮารับสนม หรือคัดเลือกนางใน หม่อมฉันค่อยมาสมัคร นับหม่อมฉันรวมด้วย”
“หากชีวิตนี้เราไม่แต่งฮองเฮารับสนมเลยเล่า” ฉินอวี้พลันหัวเราะ
ไทเฮามีพระพักตร์เปลี่ยนไป จนแทบจะลุกขึ้นยืน
ทุกคนต่างตกใจเช่นกัน
“เช่นนั้นก็ดีมาก หากพระองค์ไม่ทรงชอบหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะเตรียมตัวเดียวดายไปจนแก่เฒ่าแต่ แล้ว หากทรงไม่แต่งฮองเฮารับสนม หม่อมฉันก็ไม่ต้องเสียใจแล้วเช่นกัน ทรงอยู่ตรงนั้นก็พอแล้ว” เซี่ยอีแย้มยิ้มเจิดจ้าทันใด
“หากเราเลือกฮองเฮาแต่งตั้งสนม จะต้องเลือกสตรีที่ไม่ชอบเราแน่นอน แล้วเจ้าจะทำอย่างไร” ฉินอวี้หัวเราะอีกครั้ง
เซี่ยอีครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “หม่อมฉันชอบพระองค์มาสี่ปีแล้ว มิอาจไม่ชอบพระองค์ได้ แต่หากพระองค์จะเลือกสตรีที่ไม่ชอบพระองค์อย่างแน่นอน ทรงเป็นถึงฝ่าบาท หม่อมฉันไหนเลยจะทำอันใดพระองค์ได้ก็ยังคงเดียวดายไปจนแก่เฒ่าเหมือนเดิม”
ฉินอวี้มองนาง ไม่เอ่ยคำใดอีก
เซี่ยอีปล่อยให้เขามองมา ขณะเดียวกันก็มองเขาตอบเช่นกัน ราวกับหลังพูดเรื่องนี้ออกมาแล้ว นางก็สามารถยืนอยู่ตรงนั้นได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น มิได้สนใจว่าผลจะเป็นเช่นไรขนาดนั้นแล้ว
ฉินอวี้มองนางพักหนึ่ง ยิ้มแล้วโบกพระหัตถ์ “เจ้ายังเด็ก อย่าพูดจาแบบเด็กๆ เลย ฉินชิงชอบเจ้า เจ้าก็ออกเรือนกับเขาเถอะ เขาเป็นน้องชายของเรา เราย่อมไม่เอาเปรียบเขาแน่นอน สองสามปีให้หลัง เขาขัดเกลากะเทาะเปลือกแล้ว ย่อมมีท่วงท่าสง่างามไม่แพ้ผู้ใดเช่นกัน ตอนนี้เจ้าเห็นเราดี หลายปีให้หลัง ตำแหน่งจักรพรรดิคงกลบนิสัยเราจนมิด เกรงว่ายังมิสู้เขา”
เซี่ยอีส่ายหน้า กล่าวด้วยความมั่นใจและหนักแน่น “หม่อมฉันบอกแล้วว่าไม่ชอบฉินชิงก็คือไม่ชอบฉินชิง หม่อมฉันมิได้โกหก”
ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยต่อ “ในเมื่อเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ” เอ่ยจบ ก็บอกเซี่ยอีว่า “หากเจ้าตกลง เราจะยอมรับเจ้าเป็นน้อง แต่งตั้งเจ้าเป็นองค์หญิง อนาคตค่อยช่วยเจ้าเลือกตระกูลที่ถูกใจเพื่อที่จะออกเรือนด้วยให้”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ลอบทอดถอนใจพร้อมกัน คิดว่าฝ่าบาททรงเมตตาขนาดนี้แล้ว
เซี่ยอียังคงส่ายหน้า “หม่อมฉันมิได้อยากเป็นน้อง หม่อมฉันมีพี่ชายเยอะแยะ ถึงแม้พระองค์เป็นฝ่าบาท หม่อมฉันก็ไม่อยากยอมรับพระองค์เป็นพี่ชาย”
ฉินอวี้ขมวดคิ้ว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่า เราไม่ชอบเจ้า และไม่มีวันแต่งกับเจ้า ที่ช่วยเจ้าในตอนนั้นง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก” หยุดชั่วครู่แล้วตรัสต่อ “ตอนนั้นเพราะรู้ว่าเจ้าเป็นบุตรีตระกูลเซี่ย เรือนหกกับจวนจงหย่งโหวสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไร เจ้าเป็นน้องของฟางหวา ข้าจึงช่วยเจ้า”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็นึกถึงความสัมพันธ์มากมายที่เกี่ยวข้องกับฉินอวี้ในวันวาน เซี่ยฟางหวาที่เกือบจะกลายเป็นฮองเฮายังอยู่ตรงนี้ด้วย จึงพากันหันไปมองนางชั่วขณะ
เซี่ยฟางหวาลอบถอนหายใจ ยกมือนวดหว่างคิ้ว ทำได้เพียงรู้สึกปวดหัว
ฉินอวี้มีฐานะเป็นฝ่าบาท เรื่องที่ผ่านมาใต้หล้าล้วนทราบดีจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกแล้วเช่นกัน ทว่าเขาพูดออกมาแบบนี้ หมายความว่าลากนางลงน้ำไปด้วย
เขาจงใจ
เซี่ยอีกลับกล่าวว่า “หม่อมฉันรู้ว่าทรงชอบพี่ฟางหวา ไม่ว่าตอนนั้นพระองค์จะช่วยหม่อมฉันเพราะเหตุผลใด แต่หม่อมฉันก็ชอบพระองค์ไปแล้ว นี่มิใช่เรื่องโกหก” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ฝ่าบาทไม่ทรงชอบหม่อมฉันก็ไม่ต้องวุ่นวายพระทัยขนาดนั้น แม้ก่อนหน้านี้หม่อมฉันตัดสินใจมาดีแล้ว คิดตามตื๊อพระองค์ รบเร้าพระองค์ ฝึกใบหน้าให้หนายิ่งกว่ากำแพงเมืองก็ทำมาแล้ว แต่ตอนนี้หม่อมฉันเปลี่ยนใจแล้ว หม่อมฉันจะรอพระองค์ หากรอจนผมเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้วยังมิอาจสมปรารถนา อย่างมากก็แค่ใช้ชีวิตในชาตินี้มาอย่างสูญเปล่า วันหนึ่ง บนเส้นทางไปยังปรโลก ข้ามสะพานไน่เหอ ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งจนลืมเลือนพระองค์ ชาติหน้าไม่เป็นทุกข์เพราะพระองค์อีกก็จบแล้ว มนุษย์เกิดมามีเพียงชีวิตหนึ่ง สั้นอย่างยิ่ง”
ฉินอวี้เอ่ยไม่ออกพักหนึ่ง ก่อนหลุดยิ้ม “นับว่าเจ้าคิดตกแล้ว”
เซี่ยอีพยักหน้า สีหน้าเปี่ยมด้วยความจริงจัง “หม่อมฉันคิดเช่นนี้”
ฉินอวี้โบกมือให้นาง “บางคนวันนี้ชอบ พรุ่งนี้ก็ไม่ชอบแล้ว บางคนเมื่อครู่คิดเช่นนี้ ต่อมาก็คิดอีกแบบหนึ่งแล้ว เมื่อครู่เจ้ายังคิดว่าจะรบเร้าข้าอย่างไร ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนความคิดแล้ว นี่ล้วนเป็นเรื่องของเด็ก” เอ่ยจบก็เสริมว่า “เจ้ากลับไปเถอะ เราจะทำเป็นว่าเจ้าไม่เคยพูดอะไร”
“ไฉนถึงทำเป็นว่าหม่อมฉันไม่เคยพูดอะไร หรือว่าทรงอยากให้หม่อมฉันตามตอแยพระองค์” เซี่ยอีเกิดโทสะ
ฉินอวี้นวดหว่างคิ้ว “แน่นอนว่าไม่ใช่”
“เช่นนั้นขอทรงจดจำเอาไว้ว่าหม่อมฉันชอบพระองค์ เซี่ยอีชอบพระองค์ พระองค์ไม่ทรงชอบหม่อมฉันก็ไม่เป็นไร แต่อย่าทำเป็นว่าหม่อมฉันไม่เคยพูดอะไรทั้งนั้น” เซี่ยอีพูดประโยคนี้เสียงดังจบลงก็ทำความเคารพฉินอวี้ ไม่รอเขาเอ่ยคำใดอีกก็หมุนตัวเดินกลับไปหาฮูหยินหมิง
ฉินอวี้มองแผ่นหลังนาง ราวกับไม่รู้ว่าควรตรัสคำใดดีเช่นกัน หมดคำจะแย้งกลับ