เซี่ยฟางหวามองมาทางนี้แวบหนึ่ง คิดว่าที่เยี่ยนถิงพูดก็มิได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว แต่ชอบหรือไม่ชอบนั้นไหนเลยจะมีข้อสรุป ใครกำหนดได้ว่าคนนี้ต้องชอบคนนั้น โทษฉินชิงมิได้เช่นกัน
เงียบไปพักหนึ่ง เซี่ยอีก็เงยหน้าขึ้นอีก กล่าวกับหลินไท่เฟยและไทเฮาอย่างจริงจัง “ที่ไทเฮากับ
ไท่เฟยตรัสมาล้วนมีเหตุผล เพียงแต่ข้ามิได้ชอบฉินชิงจริงๆ” นางหยุดลง สูดหายใจเข้าลึกๆ “ข้ามีคนที่ชอบแล้ว” พูดจบก็กล่าวเสริมให้มีน้ำหนักขึ้น “ชอบมาสี่ปีแล้ว”
โดยรอบเงียบลงทันใด แม้แต่เข็มตกพื้นก็ยังได้ยิน
ฉินชิงพลันลุกขึ้นยืนเช่นกัน เอ่ยถามนางด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้ามีคนที่ชอบแล้ว เจ้าชอบใครกัน”
เซี่ยอีมิได้ตอบ
ฉินชิงจ้องมองนาง “เจ้าตอบอย่างขอไปทีใช่หรือไม่ สองปีนี้ ข้ามักสังเกตมองเจ้าอย่างลับๆ ไม่เห็นว่าเจ้าจะชอบผู้ใด” หยุดชั่วครู่ ก่อนกล่าวอย่างเทหมดหน้าตัก “ใช่เป็นเพราะพี่สาวเจ้า ดังนั้นจึงไม่รับรักข้า หาเหตุผลมาตอบอย่างขอไปทีหรือไม่”
แม้ทุกคนล้วนทราบเป็นการส่วนตัวว่าหลินไท่เฟยกับครอบครัวหกมีการคุยกันถึงงานสมรสของฉินชิงกับเซี่ยซีมาก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ทว่าก็ไม่มีใครกล้าพูดในที่สาธารณะ ล้วนทำเป็นไม่รู้ วันนี้ฉินชิงกลับพูดขึ้นต่อหน้าทุกคน นับว่านำเรื่องที่ไม่ชอบคนพี่ แต่ชอบคนน้องเปิดโปงต่อที่สาธารณะ
เซี่ยอีมองฉินชิงด้วยความโกรธเคือง “ข้าจำเป็นต้องตบตาเจ้าหรือไม่ ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ” หยุดชั่วครู่ นางมองไปยังหลูเสวี่ยอิ๋ง “วันนี้พี่หลูพาข้าไปชมดอกไม้ที่สวนจื่อจิง ตอนที่เจ้าบอกเรื่องนี้กับข้า ข้าก็บอกเจ้าไปชัดเจนแล้วว่าข้าไม่ชอบเจ้า เจ้าก็ยังมาสู่ขอกับท่านแม่ เจ้าคิดว่าข้าล้อเล่นหรือไม่”
ฉินชิงมองนาง ใบหน้าฉายความเสียใจ “แต่ข้าชอบเจ้าจริงๆ”
เซี่ยอีได้ยินเช่นนั้น อารมณ์ขุ่นเคืองก็คลายลงเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนโยนลง เอ่ยขอโทษกับเขา “องค์ชายแปดข้าขอโทษ แต่ข้าไม่ได้ชอบท่าน” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “เหมือนที่ท่านไม่ชอบท่านพี่ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่มีเหตุผลอื่น”
ฉินชิงทำหน้าซึมเศร้า เห็นว่านางจริงจังไม่น้อย เขาจึงหลับตาลง เอ่ยถามอย่างยากลำบาก “เช่นนั้นเจ้าบอกข้า เจ้าชอบผู้ใด หากเป็นจริงดังที่เจ้าบอก ข้าก็จะยอมตัดใจ แต่หากเจ้าไม่บอก ไม่มีคนที่ชอบจริงๆ ล่ะก็ ข้าก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด”
เซี่ยอีได้ยินเช่นนั้นก็เดินออกจากที่นั่งเชื่องช้า
ฮูหยินหมิงไม่เข้าใจเจตนาของนาง จึงห้ามไว้ “อีเอ๋อร์ เจ้าจะไปไหน”
“ท่านแม่ ข้าเคยบอกไว้ การสมรสของพวกเราสองพี่น้อง ขอเพียงพวกเราไม่ยินยอม ท่านก็จะไม่ตกลงเด็ดขาด ใช่หรือไม่” เซี่ยอีถามฮูหยินหมิง
ฮูหยินหมิงพยักหน้า
“ข้ามีคนที่ชอบตั้งนานแล้ว เพียงแต่อยู่สูงและไกลเกินเอื้อม ข้าจึงมิกล้าบอกท่านมาโดยตลอด” พูดจบ เซี่ยอีก็สลัดมือฮูหยินหมิงออก “ในเมื่อวันนี้มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าก็ไม่กลัวว่าจะอายใครอีก ข้าจะบอกท่านตรงนี้”
ฮูหยินหมิงแม้ไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็ปล่อยมือนางเชื่องช้า นางรู้สึกได้รางๆ ว่าเรื่องนี้จะยิ่งร้ายแรงขึ้น แต่อยู่ต่อหน้าผู้คนมากขนาดนี้ มาถึงขั้นนี้แล้ว จึงไม่มีทางจะห้ามอีก
เซี่ยอีผละออกมา เดินตรงไปยังที่นั่งแขกบุรุษ
ทุกคนล้วนมองตามนางที่ก้าวเท้าเดินไปยังส่วนที่นั่งแขกบุรุษทันที คิดในใจว่าหรือคนที่แม่นางรองครอบครัวหกชอบจะนั่งอยู่ในที่นั่งบุรุษกัน วันนี้มีคุณชายหลายท่านมามากขนาดนี้ แต่ก็ไม่น่าสงสัยแต่อย่างใด เพราะแต่ละคนล้วนเป็นคุณชายผู้ยอดเยี่ยมในเมืองหลวงหนานฉิน
หรือว่าเป็นคุณชายหลี่มู่ชิงแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา
หรือว่าเป็นท่านโหวน้อยเยี่ยนแห่งจวนหย่งคังโหว
หรือว่าเป็นคุณชายเฉิงแห่งจวนรองราชเลขาเฉิง
หรือว่าคุณชายซ่ง
ที่คุณหนูรองแห่งครอบครัวหกคนนี้ไปชมดอกไม้ที่สวนจื่อจิงเมื่อก่อนหน้านี้ หรือว่าชอบคุณชายใหญ่แห่งจวนอิงชินอ๋อง
ทุกคนต่างพากันแอบคาดเดา
เซี่ยฟางหวากวาดตามองรอบหนึ่ง พบว่าสายตาทุกคนล้วนไล่มองไปยังร่างบุรุษทุกคน เว้นเพียงมิได้มองฉินอวี้ นางทั้งทอดถอนใจและทั้งรู้สึกว่า หากเซี่ยอีพูดออกมา เหตุการณ์ในวันนี้คงได้ถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงงิ้วจริงๆ แล้ว
ฉินชิงไม่ชอบคนพี่ แต่ชอบคนน้อง
ส่วนคนน้องที่เขาชอบ กลับชอบพี่ชายเขา
นี่เป็นความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงอย่างไรกัน
เซี่ยอีเดินมาถึงที่นั่งแขกบุรุษ มิได้มองใครอื่น หากแต่ย่อเข่าถวายบังคมฉินอวี้
ฉินอวี้แย้มยิ้มแล้วโบกมือแก่นาง เอ่ยด้วยความอ่อนโยน “คุณหนูอีตามสบาย”
เซี่ยอียืดตัวตรง มิได้กล่าวขอบคุณ หากแต่มองฉินอวี้แล้วเอ่ยด้วยความจริงจัง “ฝ่าบาท คนที่หม่อมฉันชอบก็คือทพระองค์”
ฉินอวี้ชะงัก
เยี่ยนถิงพลันเบิกตากว้าง พินิจมองเซี่ยอี พักต่อมาก็กระทุ้งศอกใส่หลี่มู่ชิง “ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม”
“เจ้าฟังไม่ผิด คุณหนูอีบอกว่าชอบฝ่าบาท” หลี่มู่ชิงยิ้มพลางส่ายหน้า
เยี่ยนถิงอุทาน “ฮะ” ก่อนพูดจาหยอกล้อ “ข้ายังคิดว่าคุณหนูอีชอบข้า คิดมากไปแล้วเรา”
หลี่มู่ชิงกระแอมขึ้น
ทางด้านแขกสตรี เยี่ยนหลันก็อุทาน “หา”
เฉิงหมิงกับซ่งฟางผลักเยี่ยนถิงจากทางซ้ายและขวา “เจ้าลองพูดเหลวไหลอีกหน ระวังเผยแพร่ออกไปแล้ว แม่เจ้าคงมาร่วมแย่งคนด้วย”
เยี่ยนถิงสำลักไออย่างรุนแรง
หลังฉินอวี้หายอึ้ง ก็มองเซี่ยอีแล้วหลุดแย้มยิ้มออกมา “ชอบง่ายเกินไปแล้ว คุณหนูอีเกรงว่าคงยังไม่ค่อยเข้าใจนัก”
เซี่ยอีเม้มปาก กล่าวด้วยความจริงจัง “หม่อมฉันไม่ค่อยเข้าใจก็จริง แต่ชอบง่ายๆ แล้วไม่ดีหรือ เหตุใดต้องทำทุกสิ่งให้เป็นเรื่องยากด้วยเล่า ชอบก็คือชอบ หม่อมฉันชอบพระองค์ ที่จริงแล้วง่ายมาก”
ฉินอวี้แย้มยิ้มอีก เอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวล “เราเป็นโอรสสวรรค์ หนานฉินอยู่ใต้ฝ่าเท้า ทุกหนแห่งล้วนเป็นราษฎรของเรา การมีคนชอบเรานั้นเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ความชอบรูปแบบนี้ กลับมิใช่หยิบเรื่องสมรสมาล้อเล่น”
เซี่ยอีส่ายหน้า “ตอนที่หม่อมฉันชอบฝ่าบาท พระองค์ยังมิใช่ฝ่าบาท และยังมิใช่รัชทายาท แต่ยังเป็นองค์ชายสี่ เพียงแต่ตอนนั้นหม่อมฉันไม่รู้ว่าพระองค์เป็นองค์ชายสี่ แค่ชอบพระองค์คนนี้เท่านั้น”
ฉินอวี้เลิกคิ้ว “ความหมายของเจ้าคือ…”
“สี่ปีก่อน ที่ภูเขาหลังวัดฝ่าฝอซื่อ พระองค์ใช่เคยช่วยเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกงูกัดหรือไม่ ทรงถามว่าหม่อมฉันเป็นใคร หม่อมฉันจึงตอบว่าหม่อมฉันคือเซี่ยอีจากเรือนหกตระกูลเซี่ย ข้างกายพระองค์ไม่มีผู้ติดตามสักคน หลังช่วยรีดพิษออกจากเลือดแล้วก็พาหม่อมฉันกลับไปส่งที่วัด นับแต่วันนั้นหม่อมฉันก็จดจำพระองค์ ต่อมาถึงรู้ว่าทรงเป็นองค์ชายสี่ เมื่อก่อนหม่อมฉันก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองชอบพระองค์ เพียงแค่คิดถึงพระองค์อยู่บ่อยครั้ง ตอนที่ไม่แน่ใจว่าชอบพระองค์หรือไม่นั้น เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้เช่นกัน” เซี่ยอีตอบอย่างจริงจัง
ฉินอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็มึนงง
เยี่ยนถิงมองฉินอวี้ ยกมือโบกเบื้องหน้าเขา “ฝ่าบาท มีเรื่องนี้จริงหรือไม่ ตอนท่านเป็นองค์ชายสี่เคยมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยชีวิตแม่นางน้อยอายุสิบกว่าปีหรือไม่ แล้วแบกนางกลับไปส่งด้วยตัวเอง”
หลี่มู่ชิงหลุดหัวเราะขึ้นมา
ฉินอวี้กระแอมขึ้น ยังไม่เอ่ยคำใด
“ทรงเป็นฮ่องเต้ผู้มีฐานะสูงศักดิ์เทียมฟ้า ส่วนหม่อมฉันเป็นเพียงฝุ่นธุลี แต่ชอบก็คือชอบ หม่อมฉันย่อมลุกขึ้นมาสารภาพกับพระองค์ จะทรงเห็นหม่อมฉันเป็นเด็กน้อยก็ช่าง คิดว่าหม่อมฉันไม่มีคุณสมบัติเพียงพอก็ช่าง แต่ว่า ห้ามบอกว่าความรู้สึกที่หม่อมฉันมีต่อพระองค์นั้นมิใช่ความชอบ หม่อมฉันชอบพระองค์มาสี่ปีแล้ว” เซี่ยอีมองเขา
ประโยคสุดท้าย เซี่ยอีพูดด้วยเสียงเบาหวิว
หม่อมฉันชอบพระองค์มาสี่ปีแล้ว
ประโยคนี้แฝงไว้ด้วยความไร้เดียงสาของเด็กสาว ความรู้สึกที่จริงใจ ดุจน้ำทะเลสาบที่ไม่ถูกกวนจนขุ่น ใสสะอาดแลบริสุทธิ์ยิ่ง ยังมีความกล้าหาญที่ทุบหม้อจมเรือ[1]
ฉินอวี้หุบรอยยิ้มลงชั่วขณะ พลางมองเซี่ยอี
[1] *ทุบหม้อจมเรือ หมายถึง ตัดสินใจทำอย่างไม่คิดถึงชีวิต