บทที่ 15 ความหวาดหวั่น (1) โดย Ink Stone_Fantasy
ถ้าบอกว่าดินโคลนถล่มเป็นเรื่องบังเอิญล่ะก็ อย่างนั้นแม้แต่เรือพายหาปลาของชาวประมงที่ถูกทำให้เสียหายล่ะ อย่างนี้คงจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญไม่ได้แล้วมั้ง
หนุ่มเจ้าหน้าที่หมู่บ้านขมวดคิ้วถามว่า “ทำไมถึงเหมือนกับถูกวางแผนมาเรียบร้อยเลยล่ะครับ?”
หลี่ว์เฉาเซิงได้แต่บอกว่า “พวกเราลองคิดหาวิธีให้ดีๆ อีกทีดีกว่า หัวใจของคนไข้คนนี้เต้นอ่อนมาก ผมก็ไม่รู้ว่าจะยื้อไว้ได้นานแค่ไหน ต้องพาเขาออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ผมกลับไปหาเลขาแล้วลองคิดหาวิธีกันดู!” เสี่ยวตู้รีบพูด
ก็ทำได้แค่นี้แหละ
หลี่ว์เฉาเซิงพยักหน้า “ผมก็จะพยายามจัดยาบางอย่างให้เขากินแล้วกัน ทนได้นานแค่ไหนก็แค่นั้น”
พูดไป หลี่ว์เฉาเซิงก็หันหน้ามามองพวกลั่วชิว พูดอย่างทุกข์ใจว่า “ขอโทษนะครับ ตอนแรกผมว่าจะจัดการเรื่องยุ่งให้เสร็จแล้วไปช่วยหาหลี่ว์ไห่แท้ๆ เชียว คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…ผมว่าเอาแบบนี้ดีไหม? พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ ตอนนี้ผมคงดูแลพวกคุณไม่ได้”
“ไม่มีปัญหาค่ะ คุณหมอไปทำธุระเลย ไม่ต้องสนใจพวกเราหรอก” เริ่นจื่อหลิงบอก
หลี่ว์เฉาเซิงไม่ได้พูดอะไร หลังจากพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปในห้องตรวจรักษาโรค
หลังจากพวกเขาปรึกษากันไปครู่หนึ่งแล้ว ก็ยังคงตัดสินใจทำตามแผนเดิม คือหาตัวคนก่อน ส่วนปัญหาเรื่องการส่งตัวคนไข้ เจ้าหน้าที่หมู่บ้านคนท้องถิ่นและเลขาย่อมจะรู้วิธีมากกว่าคนนอกอย่างพวกเขา
จ๊อกๆ
เพิ่งจะเดินพ้นประตูออกมา ก็ได้ยินเสียงค่อนข้างดังกังวาน
หลีจื่อรีบกุมท้องตนเอง มีสีหน้าเคอะเขิน คิดไปแล้ว หลังข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กินข้าวเลย นี่ก็บ่ายโมงกว่าแล้ว ยุ่งนั้นยุ่งนี้จนลืมกินข้าวกลางวันไปเลย
“หาที่กินข้าวกันก่อนดีกว่า” ลั่วชิวมองเริ่นจื่อหลิง แล้วพูดสบายๆ ว่า “กระเพาะคุณยิ่งไม่ดีอยู่”
เริ่นจื่อหลิงเห็นหลีจื่อประหม่า จึงลูบท้องตนเองพลางพูดว่า “เอ๊ะ ฉันเริ่มหิวแล้วเหมือนกันนะ…อีอวิ๋น เรากินอะไรกันสักหน่อยดีไหม? เดี๋ยวก็ไม่มีแรงไปหาตัวคุณพ่อหรอก กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะ”
สาวน้อยได้แต่พยักหน้า…พวกเขาอุตส่าห์อาสาช่วยเธอ ตอนนี้ยังจะให้พวกเขาทนหิวอีก เธอก็รู้สึกผิดมากแล้ว “งั้น ตรงนั้นมีร้านบะหมี่อร่อยๆ อยู่ร้านหนึ่งค่ะ ฉันเลี้ยงพวกคุณเองนะ!”
“เอาสิ!” เริ่นจื่อหลิงไม่ใช่คนเรื่องมาก จึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย
ถ้าไม่ให้เด็กนี่เลี้ยงล่ะก็ เธอจะยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปเท่านั้นเอง
…
แต่คิดไม่ถึงว่า ในร้านบะหมี่เล็กๆ ที่หลี่ว์อีอวิ๋นพูดถึง ลั่วชิวยังเห็นใบหน้าคนคุ้นเคย…เจอมั่วมั่วที่นี่อีกแล้ว
ปรมาจารย์หนุ่มแห่งเขาพยัคฆ์มังกรน่าจะมาถึงก่อนหน้านี้แล้ว กินบะหมี่หมดไปชามใหญ่ๆ ชามหนึ่ง ตอนนี้กำลังกินบะหมี่ชามที่สองอยู่
ร้านไม่ใหญ่ มองแวบเดียวก็เห็นแล้วว่ามีใครบ้าง
มั่วมั่วที่กำลังกินบะหมี่ไปพลาง ดูโทรศัพท์มือถือไปพลาง พอเห็นคนที่เดินเข้ามา บะหมี่เต็มปากก็ห้อยคาปากทันที ก่อนค่อยๆ ร่วงกลับไปในชามบะหมี่อีกครั้ง
มั่วมั่วลูบหน้าอย่างรวดเร็วทันที ตอนที่กำลังคิดจะลุกขึ้นยืนนั้น กลับเห็นลั่วชิวหันมาส่ายหน้าเบาๆ
มั่วมั่วคิดในใจว่า ‘ดูท่ารุ่นพี่คนนี้คงไม่คิดจะพูดคุยกับตนเองที่นี่ ไม่อยากเป็นที่สนใจของผู้คน’
คิดไปมันก็ใช่ ข้างๆ รุ่นพี่คนนี้ยังมีสาวน้อยที่บ้านพักตากอากาศเมื่อคืนนี้ตามมาด้วย
แต่ไม่พูดคุย ก็ไม่ได้หมายความว่าฟังไม่ได้นี่นา! มั่วมั่วกำลังคิดอยู่ในใจ บางทีนี่น่าจะเป็นโอกาสเข้าใจที่มาที่ไปของรุ่นพี่คนนี้มากขึ้น!
เขารีบรวมสมาธิจดจ่อไปที่หูทั้งสองข้างของตนเองทันที ใช้พลังของลัทธิเต๋า ให้ความสามารถในการได้ยินดีขึ้นมาในทันที
“นี่ไม่ใช่คนหน้าด้านเมื่อคืนเหรอ?” แต่ไหนแต่ไรสายตาของรองบรรณาธิการเริ่นก็ดีมาก “ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
มั่วมั่ว…มั่วมั่วได้แต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วกินบะหมี่ต่อไป
แล้วตอนนี้เอง หลีจื่อก็ชูนิ้วชี้แตะบนริมฝีปากทำเสียงชู่ว์ แล้วรีบพูด “พี่เริ่น อย่าก่อเรื่องเลยค่ะ…หมอนี่ดูแล้วไม่เหมือนคนดี”
มั่วมั่ว…มั่วมั่วได้แต่เติมพริกช้อนหนึ่งลงไปในชาม
ลั่วชิวนั่งลง
เพียงแต่หลังจากนั่งลงแล้ว เท้าสองข้างก็ออกแรงเลื่อนเก้าอี้ออกไปหน่อย วินาทีที่ขาเก้าอี้ไม้เสียดสีกับพื้นกระเบื้องก็เกิดเสียงแหลมเล็กดังขึ้น เหมือนกับเสียงกรีดกระจก
ปกติเสียงแบบนี้มักทำให้รู้สึกแสบแก้วหู ยิ่งปรมาจารย์หนุ่มใช้พลังในการฟังด้วยแล้ว ก็ไม่ยิ่งเหมือนฟ้าผ่าเลยเหรอ!
เสียงที่ดังสนั่นในแก้วหูทำให้มั่วมั่วตักบะหมี่ที่เติมพริกหนึ่งช้อนเข้าปากทันที จึงสำลักอย่างทรมาน!
ลำคอเหมือนมีไฟลุกไหม้ ในแก้วหูเหมือนถูกกระแทกจนหูหนวกแล้ว ปรมาจารย์หนุ่มแห่งเขาพยัคฆ์มังกรตกที่นั่งลำบากอย่างที่สุด
พอดื่มน้ำไปหลายแก้วแล้ว ในลำคอถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย มั่วมั่วเล็งไปที่คนสามสี่คนที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม พบว่าผู้หญิงสองคนกำลังก้มหน้ากลั้นหัวเราะอยู่
มั่วมั่วแลบลิ้นด้วยความเผ็ด มองรุ่นพี่ซึ่งดูราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรเลยคนนั้นแวบหนึ่ง แล้วก็ลอบทอดถอนใจ
รุ่นพี่คนนี้…ร้ายกาจจริงๆ!!
เขาไม่กล้าใช้วิชาแอบฟังแล้ว
…
“อยากกินอะไรบ้างล่ะ?”
ร้านแบบครัวเรือนเล็กๆ แบบนี้ ย่อมไม่มีความรู้เรื่องการบริการมากมายนัก เถ้าแก่เนี้ยก็พูดจาตามสบายอยู่ตรงหน้าคนสามสี่คน
หลังจากสั่งอาหารแล้ว สาวน้อยก็ถอนใจโล่งอก…ดูเหมือนว่าเงินที่ติดตัวมาจะมีพอจ่าย
ทุกคนสังเกตได้ถึงสีหน้าของสาวน้อย ก็ไม่ได้พูดอะไร
เริ่นจื่อหลิงถึงกับคิดว่าเด็กแบบนี้มีไม่มากแล้ว ว่ากันว่าดินแดนทุรกันดารมีคนเจ้าเล่ห์โผล่ให้เห็นมากมาย แต่เด็กใสซื่อราวดอกบัวขาวก็มีให้เห็นบ้างเช่นกัน
พอเด็กคนนี้ออกไปเรียนหนังสือข้างนอก ก็อย่าได้ถูกกลืนกินกลายเป็นอีกแบบหนึ่งเลย
ทันใดนั้นก็มีเสียงอะไรดังขึ้นมา
เหมือนกับเป็นเสียงกลิ้งมา ดังกังวานอย่างมาก ร้านบะหมี่มีลูกค้าไม่เยอะ รวมโต๊ะของลั่วชิวก็มีลูกค้าแค่สี่โต๊ะเท่านั้น ทุกคนต่างพากันหันไปมองเป็นตาเดียว
ร้านบะหมี่ซึ่งเป็นธุรกิจระดับครัวเรือนแบบนี้ สองชั้น ชั้นล่างทำการค้า ชั้นบนอยู่อาศัย บันไดไม้แถวหนึ่งเชื่อมสองชั้นไว้ด้วยกัน ที่แท้ก็มีคนกลิ้งตกลงมาจากชั้นบน
“ตายจริง พ่อ! พ่อตกลงมาได้ยังไงเนี่ย!”
เถ้าแก่เนี้ยทิ้งของในมือทันที แล้วรีบวิ่งไปดู
แต่เวลานี้กลับเห็นคนนั้นคลานออกมา สีหน้าแสดงชัดว่าหวาดกลัวสุดขีด “ช่วยฉันด้วย…ช่วยฉันด้วย…”
มือของชายชรายื่นออกไป กลับเหมือนรากไม้เก่าแก่ซึ่งถูกฝังลึกในดินเหนียว น่าตกใจเป็นอย่างมาก! เขากำลังออกแรงคลานออกมา สีหน้าย่ำแย่ ราวกับปีศาจน่าเกลียด!
เถ้าแก่เนี้ยคนนั้นร้องลั่นด้วยความตกใจ ล้มนั่งบนพื้นไม่ขยับ!
“นี่…นี่ไม่ใช่…”
พวกเริ่นจื่อหลิงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ละคนก็แสดงสีหน้าเหมือนกัน
มั่วมั่วที่อยู่ทางด้านนั้นก็ขมวดคิ้ว
เขานึกถึงเรื่องเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนของหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้
และก็ในตอนนั้นเอง
“หลีกไป! หลีกไป! หลีกไป!”
นั่นเป็นเสียงตะโกนที่ดังมาจากด้านนอกร้านบะหมี่ เสียงดังกังวานอย่างมาก!
เห็นเพียงนอกถนน วัยรุ่นคนหนึ่งกำลังแบกป้าคนหนึ่งอยู่…บางทีคงจะเป็นแม่ของวัยรุ่นคนนั้น
มือเท้าของป้าคนนี้ มีผิวหนังชั้นนอกคล้ายกับรากไม้เก่าแก่อย่างนั้น!
“หลีกไป! อย่าขวางทาง!”
เด็กวัยรุ่นพยายามออกแรงมุ่งหน้าไปที่คลินิก…
นับว่าป้าที่วัยรุ่นคนนี้แบกอยู่ เป็นผู้ป่วยคนที่สามแล้ว
แต่บางที นี่คงเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น