บทที่ 3 บทที่ 3 ตอนที่ 16 ความหวาดหวั่น (2)

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 16 ความหวาดหวั่น (2) โดย Ink Stone_Fantasy

 

บนถนนชุลมุนวุ่นวาย เฉกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ในร้านบะหมี่

แขกที่กินอยู่หลบออกไปไกลๆ ทันที

บางทีอาจด้วยชายชราที่ล้มอยู่บนพื้นคนนี้น่ากลัวเกินไป สาวน้อยหลี่ว์อีอวิ๋นหันหน้าหนีทันที เหมือนไม่กล้ามองดูอย่างไรอย่างนั้น

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ในขณะเดียวกัน นอกร้านบะหมี่ก็มีผู้ชายอายุสิบแปดสิบเก้าปีคนหนึ่งหิ้วของจิปาถะถุงหนึ่งเดินเข้ามา พอเห็นชายชราที่ล้มอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง ก็ตกใจจนของที่หิ้วอยู่ในมือร่วงลงพื้นทันที ข้างในนั้นมีของพวกขิงกระเทียมจำนวนหนึ่ง

“คุณปู่! คุณปู่!” ชายวัยรุ่นวิ่งเข้ามาทันที ท่าทางตื่นตกใจ

เถ้าแก่เนี้ยรีบจับชายวัยรุ่นคนนี้พร้อมพูดว่า “เร็ว รีบไปที่ครัวเรียกพ่อของลูกมา ส่งคุณปู่ไปหาหมอ!”

ชายวัยรุ่นตกใจ หลังจากมองคนรอบๆ อย่างงุนงงแวบหนึ่ง ก็วิ่งเข้าไปในห้องครัวอย่างลุกลี้ลุกลน

หลังจากนั้นไม่นาน เถ้าแก่ร้านบะหมี่และลูกชายของเขา ก็ร่วมแรงร่วมใจกันพาคุณปู่คนนี้ออกไปส่ง แล้วร้านบะหมี่ก็ถือโอกาสปิดร้านไปด้วย พอเถ้าแก่เนี้ยปิดร้านแล้วก็เดินตามไปที่คลินิก

ตอนนี้ก็เห็นคนที่ติดโรคคนที่สี่บนถนนใหญ่แล้ว

หมู่บ้านเล็กมาก ข่าวคราวจึงแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ทำให้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดและไม่สบายใจตลอดเวลา

ถนนฝั่งนั้น ก็มีเสียงดังโหวกเหวกบางเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง…มีคนที่ห้าแล้ว

เพียงวันเดียว…ไม่สิ ภายในเวลาครึ่งวัน

คนที่หก

“หมอ! หมอ! คุณต้องช่วยแม่ฉันนะ! คุณจะต้องช่วยเธอ!”

“หมอ พ่อฉันอายุมากแล้ว ฉันก็รู้ว่าเหลืออีกไม่กี่ปีแล้ว แต่ฉันก็ไม่อยากให้จากไปแบบนี้ ได้โปรดเถอะค่ะ!”

“ถอยไปๆ! หมออยู่ไหม? เฉาเซิง เฉาเซิง! เห็นแก่ที่พวกเราโตมาด้วยกัน ไม่ว่ายังไงนายจะต้องช่วย…”

ปกติคลินิกเล็กๆ ช่วยชาวบ้านตรวจไข้หวัด ฉีดป้องกันโรคระบาดให้เด็กเล็กก็คิวเยอะอยู่แล้ว พอมีคนไข้หกเจ็ดคนและครอบครัวที่มากะทันหันนี้ หลี่ว์เฉาเซิงที่มีผู้ช่วยพยาบาลสาวคนเดียวก็ยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้นที่หน้าประตูคลินิก ก็มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมามุงกันเพราะข่าว เรียกได้ว่าเบียดกันจนน้ำยังผ่านไปไม่ได้

เรื่องนี้ก็รบกวนเลขากรรมการหมู่บ้านอู๋ชิวสุ่ยที่ทำงานอยู่ให้มาอย่างเร่งด่วน เขามาพร้อมกับผู้ช่วยเสี่ยวตู้ ทั้งที่ยังไม่ทันได้หารือวิธีการดีๆ เลย หลังจากนั้นไม่นาน หัวหน้าหมู่บ้านหลี่ว์ก็รีบมาเช่นกัน

“คุณหมอหลี่ว์ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมแป๊บเดียว…” สีหน้าของอู๋ชิวสุ่ยดูไม่ดีเลย เขาขมวดคิ้วแน่น “ไม่นับรวมที่นี่ ระหว่างทางที่ฉันรีบมา ก็เห็นคนกำลังรีบมาที่นี่…คนที่เท่าไรกันแล้ว?”

หลี่ว์เฉาเซิงถอนหายใจพูดว่า “ท่านเลขา ผมเองก็ตกใจจนงงไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้เลย!”

ตอนนี้อู๋ชิวสุ่ยลากหลี่ว์เฉาเซิงมา ถามเสียงเบาว่า “คุณหมอหลี่ว์ คุณบอกผมมาตรงๆ เถอะ นี่…นี่ไม่ใช่โรคจำพวกโรคระบาดใช่ไหม? คนไข้พวกนี้ต้องกักตัวเอาไว้ไหม?”

หลี่ว์เฉาเซิงส่ายหน้าพลางพูดว่า “เครื่องมือที่นี่น้อยเกินไป ผมตรวจอะไรไม่ได้จริงๆ ครับ แล้วพวกเราก็ไม่มีสิทธิ์กักตัวพวกเขาเอาไว้ แต่ถ้า…ถ้าเป็นโรคระบาดล่ะก็ เกรงว่าคง…”

อู๋ชิวสุ่ยเข้าใจความหมายของหลี่ว์เฉาเซิงทันที ตอนนี้มีคนติดโรคอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นโรคติดต่อร้ายแรง เกรงว่าคงแพร่กระจายไปแล้ว!

แม้กระทั่งตัวเขาเองก็อาจติดเชื้อไปแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้กำเริบ!

“นี่…ท่านเลขา เส้นทางที่ออกไปถูกดินถล่มกั้นทางเอาไว้แล้ว เรือหาปลาของบ้านชาวประมงก็ไม่รู้ว่าถูกตัวอะไรทำพัง พวกเรายังออกไปไม่ได้ชั่วคราว!”

“อย่าตกใจไป ผมติดต่อตัวเมืองไว้แล้ว อีกไม่นานก็จะมีหน่วยกู้ภัยมาจัดการ” อู๋ชิวสุ่ยพูดอย่างใจเย็น

คาดไม่ถึงว่าในตอนนี้เอง น้ำเสียงร้อนรนของครอบครัวคนไข้คนหนึ่งพลันดังขึ้นมา…คาดว่าไม่ได้แอบฟังตั้งแต่แรกก็คงผ่านมาได้ยินพอดี “อะไรนะ? พวกเราออกไปไม่ได้เหรอ?”

หัวหน้าหมู่บ้านตระกูลหลี่ว์พูดเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณมานี่ก่อน คุณไม่ได้ยินท่านเลขาบอกเหรอ ว่าอีกไม่นานก็จะมีหน่วยกู้ภัยมา?”

คนคนนี้กลับเอาแต่ถอยหลัง ส่ายหน้า “ไม่…ปิดบังเรื่องนี้กับทุกคนไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นท่านเลขา หรือหัวหน้าหมู่บ้านก็ทำไม่ได้!”

พอเห็นว่าคนนี้มีท่าทางจะเดินออกไป ใบหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านหลี่ว์และอู๋ชิวสุ่ยก็ตึงเครียดทันที รีบร้องตะโกนว่า “กลับมา! อย่าพูดส่งเดช! กลับมา!”

แต่ก็เรียกคนกลับมาไม่ได้แล้ว

อู๋ชิวสุ่ยและหัวหน้าหมู่บ้านหลี่ว์สบตากัน คิดว่าอีกไม่นานเรื่องจะต้องยิ่งวุ่นกว่านี้แน่ เจ้านั่นทำให้คนกลัวโดยไม่จำเป็นเข้าแล้ว!

“ทุกคนฟังนะ เมื่อกี้ฉันเพิ่งไปสืบมาได้ ถนนที่พวกเราออกไปถูกปิดเอาไว้แล้ว! แม้กระทั่งเรือของบ้านชาวประมงก็พายไม่ได้แล้ว! มีคนของบ้านชาวประมงอยู่ไหม? แสดงตัวหน่อย!”

นอกประตูคลินิก ฉับพลันนั้นก็มีคนคนหนึ่งร้องตะโกนเสียงดัง

“นายพูดถูก! ฉันเพิ่งโทรศัพท์กลับบ้าน พ่อของฉันบอกว่า เรือที่บ้านเราใช้ไม่ได้แล้ว! เหมือนถูกตัวอะไรกัดเข้าไป!

อ๊าก!

“เป็นคำสาป! เป็นคำสาป! เหมือนกันไม่มีผิด เหมือนกับปีนั้นเลย!! คำสาปมาอีกแล้ว มาอีกแล้ว!!”

“คุณยายสุ่ยฮวา ยายอย่าพูดมั่วๆ ให้คนตกใจสิ คำสาปที่ไหนกัน!”

“เป็นคำสาปจริงๆ! จริงๆ! จริงๆ! ตอนนั้นฉันเห็นกับตาตัวเองนะ…อ๊าก มาอีกแล้ว! มีมาอีกคนแล้ว!”

ท่ามกลางฝูงชน ฉับพลันก็มีคนแหวกเข้ามาอย่างสับสนอลหม่าน เบาะหลังรถจักรยานยังมัดชายแก่คนหนึ่งเอาไว้ แขนขาบนตัวก็มีของแบบนั้นขึ้นมาเต็มไปหมด

“พวกเราทั้งหมดถูกสาป พวกเราทั้งหมดถูกสาป…ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว!”

คนแก่ที่ชื่อคุณยายสุ่ยฮวารีบฝ่าฝูงชนออกมาทันที วิ่งอย่างโซซัดโซเซไปได้ไม่กี่ก้าวก็ล้มพับลงไปบนพื้น แต่ก็รีบยันตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง วิ่งแบบหนีตาย

พอเห็นท่าทางหวาดกลัวจนหน้าซีดของคุณยายสุ่ยฮวา และคนแก่คนนั้นที่ถูกส่งตัวเข้าไปในคลินิกเล็กๆ ผู้คนก็เริ่มหวาดหวั่น ไม่มีใครกล้าเปล่งเสียงพูดออกมา

ความเงียบพลันเข้าครอบคลุม เหมือนผู้ไว้อาลัยที่กำลังสงบนิ่งให้ผู้ตายในสุสาน

ด้านนอกฝูงชน

หลี่ว์อีอวิ๋นจับแขนของเริ่นจื่อหลิงอย่างลืมตัว ใบหน้าปรากฏสีหน้าตื่นตกใจ พูดด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุด “พี่เริ่น…พี่รู้หรือเปล่าว่าคำสาปที่คุณยายสุ่ยฮวาพูดถึงคืออะไร? หรือว่า พ่อ พ่อของฉันก็จะ…ล้มสลบอยู่ที่ไหนสักที่ ถึงได้หาไม่เจอ?”

“อย่ากลัวไปเลย…” เริ่นจื่อหลิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง “เธอฟังฉันพูดก่อน พ่อเธออาจจะไม่ได้ติดโรค แต่เรื่องคำสาปนี้ฉันรู้จริงๆ และก็รู้ว่าเรื่องคำสาปนี้ เกี่ยวพันกับสาเหตุการตายของคุณย่าเธอ”

สาวน้อยพลัน็ตกใจไปทันที

ลั่วชิวมองเริ่นจื่อหลิงเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้หลี่ว์อีอวิ๋นฟัง ก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย โยวเย่ที่อยู่ข้างกายเขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย

ลั่วชิวโบกมือเบาๆ ให้โยวเย่อยู่เฉยๆ ไปก่อน แล้วเขาก็ถอยหลังไปเงียบๆ ก่อนหันตัวเข้าไปกลางซอยเล็กๆ แห่งหนึ่ง

เจ้าของสมาคมมองเห็นมั่วมั่วปรมาจารย์หนุ่มเขาพยัคฆ์มังกรอยู่ที่นี่

“คุณมาหาผมมีเรื่องอะไร?”

ลั่วชิวมองมั่วมั่ว ปรมาจารย์ผมสีทองก็กำลังร้องเรียกเขาเบาๆ ตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว

มั่วมั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง พูดอย่างจริงจังว่า “รุ่นพี่ คุณคงเห็นพวกคนไข้ที่เดินเข้าคลินิกเล็กๆ นั่นแล้วใช่ไหม?”

ลั่วชิวพยักหน้า พูดเสียงเฉยเมย “แล้ว?”

มั่วมั่วพูดเสียงทุ้มต่ำ “คนไข้พวกนี้กับคนไข้ในหมู่บ้านหลี่ว์เมื่อสี่สิบห้าปีก่อน เหมือนกันไม่มีผิดเลยใช่ไหมล่ะครับ?”

“ก็จริง” ลั่วชิวก็พยักหน้าเห็นด้วย

มั่วมั่วก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวเล็กๆ ฝ่ามือข้างขวาซ่อนอยู่ข้างหลัง พูดเสียงเบาๆ ว่า “แต่พวกเราก็รู้ว่า โรคเมื่อสี่สิบห้าปีก่อนไม่ใช่คำสาปอะไรเลย ทว่าเกิดจากของพวกนั้นที่หาพบในห้องใต้ดินบ้านร่างชราคนนั้น”

ลั่วชิวมองมั่วมั่วอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้า “คุณกำลังสงสัยว่า ผมใช้ของเหลวในหลอดทดลองพวกนั้นสร้างเรื่องวุ่นวาย?”

มั่วมั่วกัดฟันพูด “หมู่บ้านนี้ไม่เคยเกิดเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้ว วันนี้ของที่ถูกฝังไว้พึ่งจะโผล่พ้นดิน มีแค่คุณและผมที่รู้ แต่ในวันเดียวกันนี้ กลับมีคนติดเชื้อโผล่มาอย่างต่อเนื่อง…แล้วรุ่นพี่จะไม่ให้ผมสงสัยได้ยังไง!”

“ไม่ใช่ผม”

ลั่วชิวตอบเรียบง่าย ง่ายจนโต้แย้งไม่ได้เลย

มั่วมั่วถอนหายใจแรงๆ พร้อมพูดว่า “บนโลกมีเรื่องบังเอิญแบบนี้ที่ไหนกัน! เดิมทีผมคิดว่าคุณเป็นรุ่นพี่ที่บำเพ็ญเพียรขั้นสูงคนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าคุณจะกล้าทำเรื่องโหดร้ายคร่าชีวิตมนุษย์ได้! ผมจะไม่ให้พี่แพร่กระจายของแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว! วันนี้ผมมั่วมั่วจะขอลงทัณฑ์แทนสวรรค์เอง!”

สองมือของปรมาจารย์หนุ่มแยกออกทันที แล้วยันต์สีเหลืองก็ออกมาจากกระเป๋าถือที่เปิดออกทีละใบทีละใบ วนเวียนอยู่รอบตัวเขา

ตามมาด้วยเสียงระเบิดเบาๆ ราวกับเสียงคั่วถั่ว จากนั้นยันต์สีเหลืองก็เริ่มมีประกายสีทองน้อยๆ ปรากฏออกมา!

“ผมไม่ใช่รุ่นพี่อะไรนั่น มีแต่คุณที่บังคับให้ผมเป็นก็แค่นั้น” ลั่วชิวส่ายหน้า “อีกอย่าง…คุณอย่าคิดร้ายกับผมจะดีกว่า”