บทที่ 1836+1837

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1836 จิตมาร

อากาศหนาวเย็นเกินไป อีกทั้งอาภรณ์บนร่างเด็กสองคนนี้ก็บาง ยังหาจุดอับลมอันใดไม่ได้ เด็กคนหนึ่งก็หนาวจนล้มพับไปแล้ว เด็กอีกคนเข้าไปดึงเขา แต่กลับล้มลงไปด้วย ลุกไม่ขึ้นแล้ว

แววตากู้ซีจิ่ววูบไหวนิดๆ สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง เสื้อผ้าสองชุดลอยออกไป แต่ละชุดคลี่ห่มลงบนร่างกายของเด็กทั้งสอง

อาภรณ์ของเธอย่อมรักษาอบอุ่นได้ดียิ่งนัก เด็กทั้งสองคนอบอุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รีบสวมเสื้อผ้าลงบนร่างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คุกเข่าลงบนพื้น โขกศีรษะให้แก่ท้องฟ้าสุดชีวิต เอ่ยขอบคุณท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…

กู้ซีจิ่วไม่ได้ปรากฏกายขึ้น เด็กทั้งสองก็ไม่เห็นเธอเช่นกัน พวกเขาเพียงขอบคุณท่านเทพที่ปกปักรักษาพวกเขา…เทพศักดิ์สิทธิ์

เด็กทั้งสองไปย่างกระต่ายแล้ว

หยกนภาทอดถอนใจ ‘เจ้านาย สภาพอากาศเช่นนี้เลวร้ายนัก ในแผ่นดินมีผู้คนเช่นนี้มากมายดั่งขนวัว ท่านจะช่วยได้สักกี่มากน้อยกันเล่า?’

กู้ซีจิ่วเงียบงัน เดี๋ยวนี้เธอพูดน้อยมาก แม้กระทั่งความคิดก็ไม่กระปรี้กระเปร่าเท่าไหร่ ดังนั้นหยกนภาจึงไม่กระจ่างเช่นกันว่าเธอที่แท้คิดอะไรอยู่

เธอเงียบอยู่พักใหญ่ ถึงได้เอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา “เจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไร?”

‘มีความสุข! ดีใจ! มีอารมณ์ของมนุษย์ เจ้านาย แผ่นดินนี้ต้องการเทพศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตชีวา แม้ว่าท่านจะโกรธร้องไห้ ก็ยังดีกว่าซึมกะทืออยู่เช่นนี้…’

กู้ซีจิ่วนิ่งไปอีกพักหนึ่ง “เปิ่นจุนทำไม่ได้!”

เธอเคยพยายามแล้ว แต่เธอทำไม่ได้จริงๆ…

หยกนภาเงียบงัน มันกลุ้มใจจริงๆ

เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ แต่ว่าต้องทำยังไงล่ะถึงจะทำให้เจ้านายกลับมามีชีวิตชีวาได้?

ว่ากันตามจริงแล้ว มันค่อนข้างคำนึงถึงวันเวลาที่ตี้ฝูอีดำรงตำแหน่งเทพศักดิ์สิทธิ์…

ยามนั้นโลกใบนี้เขียวขจีบุปผาเบ่งบาน แม้ว่าบางครั้งจะเกิดสงครามวุ่นวายขึ้นมาบ้าง แต่นั่นก็เป็นสีสันในชีวิต

ส่วนยามนี้โลกใบนี้เสมือนกลายเป็นมุกเหมันต์ลูกหนึ่งไปแล้ว…

กู้ซีจิ่วไปที่วังบาดาลใต้มหาสมุทรแห่งนั้นอีกครั้ง

เธอมองบทกลอนที่ถูกเธอสลักไว้ทุกหนทุกแห่งอีกครั้ง

…เรื่องจบสะบัดแขนเสื้อจาก ไม่หลงเหลือนามและกายา

เธอนั่งบนเก้าอี้โยกตัวนั้น มองคำว่า ‘ฝูอี’ สองตัวในบทกลอนประโยคนั้น ความปวดใจที่คุ้นเคยเอ่อท้นขึ้นมาอีกครั้ง…

หนึ่งปีมานี้อารมณ์ของเธอลดน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะกระตุ้นอย่างไรสำหรับเธอแล้วล้วนเป็นเมฆาเลื่อนลอยทั้งสิ้น ปลุกเร้าอารมณ์เธอขึ้นมาไม่ได้เลยสักนิด แต่สองคำนี้กลับก่อระลอกคลื่นในหัวใจเธอได้…

ราวกับสองคำนี้มีความเชื่อมโยงอันใดที่ลึกซึ้งกับเธอยิ่งนัก…

แต่ว่าเธอนึกไม่ออกเลยว่ามีความเชื่อมโยงอย่างไร

เธอนอนหลับใหลอยู่บนเก้าอี้โยก หยกนภาที่อยู่บนข้อมือเปล่งแสงอ่อนจางออกมาเล็กน้อย ห่อหุ้มร่างเธอไว้ในแสงจางๆ

ที่นี่เหน็บหนาวเกินไป แต่เจ้านายกลับหลับอยู่ที่นี่ได้อย่างไร้สิ่งกีดขวาง เป็นมนุษย์น้ำแข็งไปแล้วหรือไง!

ดังนั้นหยกนภาจึงเปล่งแสงอบอุ่นออกมาห่อหุ้มเจ้านาย ให้ความอบอุ่นนาง

กู้ซีจิ่วที่อยู่ในห้วงนิทราขมวดคิ้วนิดๆ คล้ายว่ากำลังตกอยู่ในฝันร้าย

หยกนภาใจเต้นแวบหนึ่ง มันอยากเห็นยิ่งนักว่าในฝันของเจ้านายมีอะไร

อย่างที่กล่าวกันไว้ โรคใจก็ต้องใช้ยาใจ บางทีมันอาจจะหาเงื่อนงำอันใดได้จากความฝันของนาง…

….

ทุ่งหิมะกว้างไกล ทะเลหิมะสุดสายตา

พายุหิมะดั่งใบมีด แทบจะกรีดเฉือนทุกสิ่งได้

ไม่มีมนุษย์ ไม่มีสิ่งมีชีวิต และอาจกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรเลย

หยกนภานึกไม่ถึงเลยว่าความฝันของเจ้านายจะรกร้างว่างเปล่าน่าสะพรึงถึงเพียงนี้!

มันมองเห็นเจ้านาย นางสวมชุดดำนั่งอยู่ในพื้นหิมะ สายลมพัดเส้นผมดำขลับและชุดสีดำให้กระพือ ราวกับผีเสื้อตัวหนึ่งกำลังกระพือปีกอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ทว่าจับทิศทางไม่ได้…

หยกนภารู้สึกปวดใจอยู่บ้าง มันลอยเข้าไปหา ‘เจ้านาย ท่านอย่านั่งอยู่ที่นี่เลย ท่านจะกระด้างเอาได้นะ’

กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองมัน ดวงตาดำขลับคู่นั้นราวกับซุกซ่อนผลึกน้ำแข็งไว้ เธอดูฉงนงุนงงอยู่บ้าง “ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็ล้วนหนาวเย็นเช่นเดียวกันหมด…”

———————————————————————–

บทที่ 1837 บุพเพสันนิวาสอันดี

‘นี่ก็ไม่แน่ บางทีถ้าเดินหน้าต่อไปอาจะพบฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นบุปผาผลิแย้มก็ได้นะ?’ หยกนภาให้กำลังใจนาง

กู้ซีจิ่วนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน “ไม่เดินแล้ว เหมือนกันหมดนั้นแหละ”

หยกนภาเงียบไป

ยามนี้ในใจของนางคงไม่มีโอเอซิสสักนิดแล้วกระมัง?

การสิ้นชีพของตี้ฝูอีส่งผลกระทบต่อนางมากเกินไป หากว่านางยังมีความทรงจำในส่วนนี้อยู่ นางจะเซื่องซึมไร้ชีวิตจิตใจเหมือนในยามนี้ก็พอเข้าใจได้ โศกนาฏกรรมรักเชียวนะ! ทรมานยิ่งนัก!

แต่นางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตี้ฝูอีแล้วชัดๆ เหตุใดชีวิตของนางยังแห้งแล้งห่อเหี่ยวยิ่งกว่าเดิมเล่า?

ไม่ว่าหยกนภาจะใคร่ครวญอย่างไรก็ใคร่ครวญปัญหาข้อนี้ได้ไม่กระจ่าง

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าก่อนหน้าที่จะรู้จักตี้ฝูอีกู้ซีจิ่วสดใสมีชีวิตชีวามาโดยตลอด ตอนนี้นางลืมเลือนทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตี้ฝูอีไปแล้ว เท่ากับไม่ต้องเจ็บช้ำจากโศกนาฏกรรมรัก มิใช่ว่าสมควรกลับไปสดใสมีชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้านั้นหรอกหรือ?

‘บางทีอาจสมควรจัดสรรบุพเพสันนิวาสให้นางอีกครั้งได้แล้ว’ จู่ๆ เสียงหนึ่งก็แว่วขึ้นริมหูของหยกนภา

หยกนภาสะดุ้ง ส่องแสงกะพริบ ‘ผู้ใด?’

‘เจ้าไม่ต้องสนใจว่าข้าคือผู้ใด ข้าก็เหมือนกับเจ้านั้นแหละ ล้วนเป็นผู้ถ่ายทอดลิขิตสวรรค์เช่นกัน ถือกำเนิดขึ้นเพื่อค้ำจุนเทพศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่’

หยกนภามองดูกู้ซีจิ่ว นางยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น กอดเข่าซุกศีรษะ ปานรูปสลักน้ำแข็งชิ้นหนึ่ง ชัดเจนยิ่งนัก นางไม่ได้ยินเสียงนั้น

‘บุพเพสันนิวาสแบบคลุมถุงชนน่ะหรือ?’ หยกนภาเสียงขึ้นจมูก ‘จะมีผู้ใดทัดเทียมเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูได้อีกหรือ?’

เสียงนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ‘แต่หวงถูดับขันธ์ไปแล้ว หายไปจากโลกนี้แล้ว เขาไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว’

หยกนภาคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ‘ว่ากันตามวัฏจักรสังสารวัฏ หลังจากหวงถูดับขันธ์แล้วจะขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนหรือไม่?’

‘ลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพราย’ เสียงนั้นตอบหยกนภาอย่างกำปั้นทุบดินด้วยไม่กี่คำนี้

หยกนภาร้องเฮอะคราหนึ่ง ‘เช่นนั้นสวรรค์คิดจะจับคู่นางกับผู้ใดเล่า? ข้าไม่เห็นรู้สึกเลยว่าบนโลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดที่คู่ควรกับนางอยู่อีก…หลงซือเย่ก็ไม่เหมาะ เมื่อก่อนนางเคยชอบพอกับเขา แต่หลังจากที่ได้พบรักกับหวงถูแล้ว ในใจนางหลงซือเย่ได้กลายเป็นน้ำจืดไร้รสไปแล้ว’

‘บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดคู่ควรกับนางแล้วจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าเจ้าอย่าลืมสิ ยังมีคนของดินแดนเบื้องบนอยู่ อันที่จริงอีกสองร้อยปีให้หลังนางจะมีบุพเพสันนิวาสอันดีกับคนผู้หนึ่งของดินแดนเบื้องบน แต่ด้วยสภาพในปัจจุบันของนาง โลกนี้คงยืนหยัดได้ไม่ถึงสองร้อยปี มิสู้ชักนำบุพเพมาก่อนกำหนดเสียดีกว่า’

หยกนภาไม่มีความรู้สึกดีกับคนของดินแดนเบื้องบนสักเท่าไหร่ เพียงแต่ยังคงเอ่ยถามประโยคหนึ่ง ‘คนผู้นั้นคือใคร?’

‘โอรสของจักรพรรดิดินแดนเบื้องบน ว่าที่สวรรค์จัดแจงไว้ อีกสองร้อยปีให้หลังเขาจะถูกลงโทษให้ลงสู่โลกเบื้องล่างเพราะทำความผิด จากนั้นก็จะมีบุพเพกับนาง สามารถครองคู่กับนางไปได้จนแก่เฒ่าผมขาวโพลน จวบจนถึงวันที่นางดับขันธ์’

ร่างของหยกนภาส่องแสงวิบวับ ‘โอรสจักรพรรดิ? ฟังแล้วดูสูงส่งเกินเอื้อมนัก เจ้าบอกจะสานบุพเพของพวกเขาก่อนกำหนด นั่นคือคิดจให้เขากระทำความผิดแล้วถูกเตะส่งลงมาก่อนกำหนดหรือ?’

‘ไม่ เขาลงมาก่อนกำหนดไม่ได้ เพียงแต่ให้กู้ซีจิ่วขึ้นไปได้’

หยกนภาทึ่มทื่อไปครู่หนึ่ง ‘เจ้าบอกว่าสามารถขึ้นไปได้งั้นหรือ?!’

‘ในสถานการณ์พิเศษก็ต้องจัดการแบบพิเศษ ลิขิตสวรรค์กล่าวว่าให้นางขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนได้ เพียงแต่นางขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนได้ ทว่าไม่อาจรั้งอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนได้ตลอด ดีที่สุดคืออยู่ดินแดนเบื้องบนครึ่งปี อยู่ที่โลกเบื้องล่างครึ่งปี…’

ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?!

หยกนภารู้สึกว่าตนคล้ายจะมองเห็นแสงแห่งความหวังแล้ว มันรู้ว่ากู้ซีจิ่วตามหาทางผ่านขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนมาโดยตลอด เช่นนี้ก็ดีเลย ในที่สุดนางก็สามารถไปได้แล้ว!

บางทีถ้านางได้เห็นความศิวิไลซ์เหล่านั้นของดินแดนเบื้องบน อาจจะอารมณ์ดีขึ้นมา

‘ทางผ่านขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนอยู่ที่ไหน?’ หยกนภาส่องแสงกะพริบ

‘ปลายสุดทางทิศใต้ มีต้นไม้สูงเสียดฟ้าอยู่ ต้นแดงดั่งเพลิง สามารถขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนได้’ เสียงนั้นกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอีกเลย

———————————————–