บทที่ 1838+1839

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1838 ด่านเคราะห์

หยกนภารู้สึกว่าตนคล้ายจะมองเห็นแสงแห่งความหวังแล้ว มันรู้ว่ากู้ซีจิ่วตามหาทางผ่านขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนมาโดยตลอด เช่นนี้ก็ดีเลย ในที่สุดนางก็สามารถไปได้แล้ว!

บางทีถ้านางได้เห็นความศิวิไลซ์เหล่านั้นของดินแดนเบื้องบน อาจจะอารมณ์ดีขึ้นมา

หยกนภาขบคิดอยู่ตรงนั้น จู่ๆ พลันสัมผัสได้ว่ารอบข้างคล้ายจะอบอุ่นขึ้นมานิดๆ มันมองไปรอบๆ ด้วยความฉงน ตกตะลึงเล็กน้อย!

ที่นี่ท้องนภามืดทะมึน พื้นหิมะขาวโพลน ท่ามกลางสีขาวดำอันน่าเบื่อหน่าย พลันมีสีม่วงจางๆ กลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหน้าไม่ไกลนัก

สีม่วงนั้นดุจละอองหมอก ล่องลอยเลือนราง ท่ามกลางหมอกคล้ายจะมีคนผู้หนึ่งอยู่…

กู้ซีจิ่วที่นั่งอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอดลุกขึ้นยืนแล้ว สายตาของนางจับจ้องไปที่ท่ามกลางกลุ่มหมอกนั้น ดวงหน้าที่เรียบเฉยไร้อารมณ์มาโดยตลอดคล้ายจะหวั่นไหวขึ้นมาแล้ว นางค่อยๆ เดินไปทางละอองหมอกสีม่วงกลุ่มนั้น

หยกนภารีบตามนางไปด้วย ประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลมของมันสัมผัสได้ว่าหลังจากละอองหมอกม่วงกลุ่มนี้ปรากฏขึ้น อากาศรอบข้างคล้ายจะอุ่นขึ้นไม่น้อย ไม่เหน็บหนาวจนน่าสะพรึงถึงเพียงนั้นอีก

หมอกม่วงกลุ่มนั้นจะใช่สาเหตุที่ทำให้อารมณ์ของนางดีขึ้นหรือเปล่านะ?

นี่คือแรงกระตุ้นเพียงอย่างเดียวที่สามารถทำให้จิตใจอันเหี่ยวเฉาของนางมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้บ้างใช่ไหม?

กู้ซีจิ่วไล่ตามละอองหมอกสีม่วงกลุ่มนั้นอยู่ตลอด ทว่าหมอกม่วงกลุ่มนั้นกลับเสมือนภาพลวงตากลางทะเลทราย เห็นว่าอยู่ไม่ไกล ทว่าไล่ตามไปอย่างไรก็ไม่ถึงเสียที

หยกนภาวิ่งตามกู้ซีจิ่วอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ถอดใจ ‘เจ้านาย นั่นคือภาพมายา ท่านตามไม่ทันหรอก อย่าเสียแรงเปล่าเลย’

กู้ซีจิ่วไม่สนใจมัน ฝีเท้าไม่ชะงักเลย

เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นความฝัน ก็ดูไปแล้วกันว่านางไล่ตามแล้วจะได้อะไร หยกนภาจึงเงียบไป แล้วติดตามนางไปเสียเลย

ไม่ทราบเช่นกันว่าไล่ตามอยู่นานเท่าไหร่ จู่ๆ หมอกม่วงกลุ่มนั้นก็อันตรธานหายไป

กู้ซีจิ่วก็หยุดฝีเท้าแล้ว เธอมองทิศทางที่หมอกสีม่วงกลุ่มนั้นหายไปอย่างเลื่อนลอย ในดวงตามีม่านหมอกชั้นหนึ่งผุดขึ้นมาช้าๆ…

หยกนภาปวดใจนักพลางใคร่ครวญไตร่ตรองอีกครั้ง

….

เมื่อกู้ซีจิ่วฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าสภาพรอบข้างเป็นสีม่วงไปหมดแล้ว!

ปะการังสีม่วง สาหร่ายสีม่วง เปลือกหอยสีม่วง….

สีม่วงละลานตาเธอไปหมด ทำให้เธอตะลึงงันไปชั่วขณะ

หยกนภาเทินหินปะการังก้อนหนึ่งลอยกลับมา ลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้ากู้ซีจิ่วอย่างคล้ายจะขอความดีความชอบ ‘เจ้านาย ท่านดูสิ เช่นนี้น่ามองขึ้นหรือไม่?’

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ แล้ว เธอชอบสีม่วงก็จริง แต่ไม่ได้คาดหวังให้สภาพแวดล้อมรอบข้างกลายเป็นสีม่วงไปหมด โดยเฉพาะเมื่อสาหร่ายปะการังม่วงที่หยกนภานำมาเหล่านี้บดบังอักษรที่สลักไว้เอาไว้…

สัญชาตญาณของเธอไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงการตกแต่งของที่นี่ ทุกครั้งที่เธอมาที่นี่ก็ปวดใจอย่างน่าประหลาด และสนิทสนมคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด…

เธอสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ดอกไม้ใบหญ้าสีม่วงเหล่านั้นที่ไม่ง่ายเลยกว่าหยกนภาจะขนย้ายมาได้หายวับไปเลย สวนดอกไม้เหล่านี้กลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง

“อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงที่นี่ ข้าไม่ชอบ!” กู้ซีจิ่วเอ่ยอย่างเยียบเย็น

หยกนภาคิดจะตบก้นม้าแต่กลับโดนม้าดีดเข้า จึงคอตกเล็กน้อย ‘เจ้านาย ข้าแค่อยากทำให้ท่านมีความสุขบ้าง’

กู้ซีจิ่วหลุบตาลง “อย่าได้เป็นกังวลเลย”

เธอเพิ่งจะกล่าวมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ยันต์ถ่ายทอดเสียงที่บั้นเอวของเธอก็เรืองแสง เธอกดรับ น้ำเสียงเร่งร้อนยิ่งนักของหลงซือเย่แว่วออกมา ‘ซีจิ่ว ข้า…เป็นไปได้ว่าข้ากำลังจะทะลวงขั้นสิบแล้ว…’

….

เมฆาชาดแผ่กว้างคลุมฟ้า ราวกับมีตะวันแดงฉานดวงหนึ่งแผดแสงจ้าอยู่ด้านหลังกลุ่มเมฆ มุ่งไปรวมตัวทางทิศของหุบเขาถามสวรรค์ ท้องนภาเหนือหุบเขาถามสวรรค์แดงฉาน…

ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ย่อมทำให้ชาวบ้านท้องถิ่นที่อยู่รอบข้างตื่นตระหนก ทุกคนเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ส่วนเหล่าศิษย์ของสำนักถามสวรรค์ต่างตื่นตระหนกตกใจอยู่บ้าง เมฆาแดงบดบังเหนือศีรษะ ราวกับจะมีภูเขาไฟลูกหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศ!

—————————————————————–

บทที่ 1839 ด่านเคราะห์ 2

พวกมู่เฟิงกลับทราบความดี พวกเขาอยู่ในจุดที่ห่างจากสำนักถามสวรรค์ไปไม่กี่ร้อยลี้พอดี กำลังปราบมารเหมันต์ที่ออกมาเพ่นพ่านสร้างความวุ่นวายในวันที่หนาวเหน็บ มารเหมันต์เหล่านี้ร้ายกาจยิ่งนัก กลืนกินสิ่งมีชีวิตไปไม่น้อยแล้ว ผู้บำเพ็ญมากมายกลายเป็นอาหารของพวกมัน ถูกพวกมันสูบกลืนพลังยุทธ์ ดังนั้นคิดจะปราบพวกมันจึงค่อนข้างยากลำบาก สี่ทูตล้วนต้องออกโรงกันหมด!

ขณะนี้พวกเขากำลังต่อสู้กับมารเหมันต์อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ทันทีที่ได้เห็นเมฆด่านเคราะห์บนท้องฟ้านี้ ก็ตกตะลึงยิ่ง!

มู่เหล่ยเอ่ยโพล่งออกมาประโยคหนึ่ง “เป็นไอ้บัดซบคนใดกันที่เลือกจะทะลวงขั้นในยามนี้?!”

ในฐานะเทวทูตผู้ปกป้องของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ บนโลกนี้พวกเขายังมีภารกิจอีกอย่างหนึ่งอยู่ด้วย ขอเพียงแผ่นดินนี้ปรากฏผู้ที่จะฝ่าด่านเคราะห์ทะลวงสู่ขั้นสิบ พวกเขาก็ต้องไปคุ้มกันด้วยตัวเอง ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน

ถึงอย่างไรการฝ่าด่านเคราะห์ก็อันตรายยิ่งนัก โดยเฉพาะการฝ่าด่านเคราะห์ของขั้นสิบ ด่านเคราะห์นี้เรียกว่าเคราะห์เซียน

ถ้าพลาดไปเพียงน้อยจะถูกฟ้าผ่าจนกลายเป็นจุณ วิญญาณแตกสลาย อย่าว่าแต่กลายเป็นเซียนเลย แม้แต่ชีวิตก็รักษาไว้ไม่ได้!

การทะลวงสู่ขั้นสิบต้องใช้โอสถพิเศษ ดังนั้นในยามที่มีคนจะทะลวงสู่ขั้นนี้ ต้องมาหาสี่ทูตเพื่อขอรับยาลูกกลอน และเท่ากับว่าเป็นการมารายงานให้ทราบ ยามนั้นสี่ทูตจะได้เตรียมตัวไว้ให้ดี

แต่ครั้งนี้ไม่มีผู้ใดมาหาสี่ทูตเพื่อขอรับยาเลย ทำไมถึงฝ่าด่านเคราะห์เอาปุบปับได้เล่า?!

มู่เฟิงก็ไม่แยแสมารเหมันต์แล้วเช่นกัน “ดูเหมือนจะเป็นทิศที่ตั้งของสำนักถามสวรรค์ มู่เหล่ย เจ้าไปดูกับข้า มู่เตี่ยน มู่อวิ๋น พวกเจ้ารั้งอยู่ต่อ!”

มู่เหล่ยเอ่ยขึ้นมาว่า “จะใช่หลงซือเย่หรือไม่? วรยุทธ์ของเขาสูงที่สุดในสำนักถามสวรรค์ หากว่าเป็นเขา ข้ารู้สึกว่าสมควรต้องไปรายงานท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เสียหน่อย…”

มู่เฟิงเงยหน้ามองท้องฟ้า เอ่ยพึมพำ “ไม่จำเป็นต้องรายงานหรอก ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาด้วยตัวเองแล้ว!”

เขาเห็นแสงสีรุ้งสายหนึ่งพุ่งตัดท้องนภาไป พุ่งไปทางสำนักถามสวรรค์ประหนึ่งดาวตก

นั่นเป็นแสงที่มีเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ปลดปล่อยออกมาได้…

หนึ่งปีนี้ถึงแม้นิสัยของกู้ซีจิ่วจะเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ แต่วรยุทธ์ก็พุ่งสูงขึ้นทุกที ราวกับปลดผนึกแล้วก็มิปาน…

มู่เฟิงยังมีความทรงจำของกู้ซีจิ่วในอดีตอยู่ ก่อนที่กู้ซีจิ่วจะเข้าสู่แดนเพลิงพุทธะ วรยุทธ์ยังไม่สูงส่งเลิศล้ำถึงเพียงนี้ แต่หลังจากนางออกมาจากแดนเพลิงพุทธะแล้ว วรยุทธ์ก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างใหญ่หลวง!

ก่อนหน้านี้วรยุทธ์ของนางยังเป็นขั้นสิบอยู่เลย ยามนี้พลังยุทธ์ของนางกลับลึกล้ำจนไม่อาจหยั่งได้แล้ว…

ในเมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยตัวเอง พวกมู่เฟิงก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรุดไปยังทิศทางนั้นอีก ถึงอย่างไรการปราบมารเหมันต์ก็กำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน…

ทั้งสี่คนล้อมโจมตีมารเหมันต์เหล่านั้นต่อไป…

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็กำราบมารเหมันต์เหล่านั้นได้หมดแล้ว เหนื่อยจนหายใจหอบ

อัสนีสีชาดกรีดเฉือนผ่านฟากฟ้า แผดเสียงกัมปนาท พุ่งตรงสู่เขาถามสวรรค์ เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง ทำให้ทั้งสี่คนสะดุ้งโหยง

“คนจะเริ่มฝ่าด่านเคราะห์แล้ว!” มู่เฟิงตะโกนขึ้นมา รีบเหาะทะยานไปยังสำนักถามสวรรค์ปานพายุหมุน

เมื่ออัสนีด้านเคราะห์เริ่มต้นขึ้นแล้ว เช่นนั้นก็ฟาดลงมาอีกสายแล้วสายเล่า

จากระยะทางไกลๆ มู่เฟิงเห็นคนผู้หนึ่งพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้าจากทิศที่ตั้งของสำนักถามสวรรค์ อัสนีแดงฉานสายแล้วสายเล่าฟาดใส่ร่างของคนผู้นั้นอย่างบ้าคลั่ง!

และรอบกายของคนผู้นั้นก็มีแสงสีรุ้งจางๆ โอบล้อมเอาไว้ชั้นหนึ่ง ชัดเจนยิ่งนัก ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกโรงคุ้มกันคนผู้นั้นแล้ว…

“เจ้าสำนักถามสวรรค์กำลังฝ่าด่านเคราะห์! เขาจะทะลวงขั้นสิบแล้ว!”

“เขาจะกลายเป็นเซียนโบยบินขึ้นไปแล้วใช่หรือไม่?”

“นี่ก็พูดยาก บางคนทะลวงด่านเคราะห์บรรลุขั้นสิบแล้วก็ยังรั้งอยู่ในแผ่นดินนี้ต่อ”

“แต่ตามที่ได้ยินมาคนส่วนใหญ่ต่างโบยบินขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนนะ”

“นี่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาไร้ห่วงอาลัยในโลกเบื้องล่างแล้วหรือไม่? ห่วงอาลัยในใจของเจ้าสำนักหลงมากมายนัก…”

ผู้บำเพ็ญนับไม่ถ้วนที่ได้ยินเสียงต่างเดินทางมา พวกเขารวมตัวกันอยู่ที่ด้านล่างหุบเขาถามสวรรค์ เงยหน้ามองท้องฟ้า พูดคุยถกเถียงกันอย่างคึกคักอยู่ตรงนั้น

———————————————–