บทที่ 1840+1841

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1840 ด่านเคราะห์ 3

มู่เฟิงพรูลมหายหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หลงซือเย่คงจะไม่โบยบินขึ้นไปกระมัง?

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสหายที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ให้การยอมรับยิ่งนักคนหนึ่ง เมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไปหาเขาที่นั่นก็ยังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง จิบสุราได้นิดหน่อย กินอาหารได้เล็กน้อย ถึงขั้นที่ขับขานบทเพลงสักบทด้วย

หากว่าเขาโบยบินขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบน เช่นนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็จะอ้างว้างยิ่งกว่าเดิม!

อีกทั้งดูจากท่าทีของหลงซือเย่แล้ว เขาก็คงละวางท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ลงเช่นกัน…

ดังนั้นหนนี้น่าจะเป็นเพียงการฝ่าด่านเคราะห์แน่นอน มิใช่การโบยบินขึ้นไป

ยามที่มีคนฝ่าด่านเคราะห์ คนนอกจะบุกเข้าไปในวงล้อมอัสนีไม่ได้ ดังนั้นฝูงชนจึงทำได้เพียงเฝ้ามองอย่างอกสั่นขวัญแขวนอยู่ด้านนอกวงล้อม

มองคนที่ถูกอัสนีปกคลุมผู้นั้นเบี่ยงซ้ายย้ายขวาอยู่ท่ามกลางแสงเจิดจ้าสายแล้วสายเล่า…

กู้ซีจิ่วก็มองอยู่ไม่ไกลเช่นกัน เธอเสริมอาคมคุ้มกันอย่างหนึ่งไว้บนร่างของหลงซือเย่ สามารถลดทอนฤทธิ์ของอัสนีด่านเคราะห์ได้ครึ่งหนึ่ง เธอคำนวณไว้แล้วว่าด้วยความสามารถของหลงซือเย่ น่าจะฝ่าผ่านไปได้…

สายตาของเธอร่อนลงบนเมฆาแดงฉานนั้น หัวใจพลันสั่นไหวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

เธอจำได้รางๆ ว่าตอนที่ตนฝ่าด่านเคราะห์ทะลวงสู่ขั้นสิบ เมฆไม่ใช่สีนี้…

แต่สีสันอย่างเฉพาะเจาะจงคือสีใดนั้น เธอกลับนึกไม่ออกเลย

และเธอก็จำได้รางๆ ว่ายามนั้นมีคนผู้หนึ่งคอยปกป้องอยู่ข้างกายเธอ ยามที่อัสนีฟาดลงมา คนผู้นั้นปกป้องเธอไว้ในอ้อมอก…

แต่ว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็จำรูปโฉมของคนผู้นั้นไม่ได้เลย

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เมื่อฝ่าด่านเคราะห์คนนอกไม่อาจเข้าแทนที่ได้ แล้วทำไมคนผู้นั้นถึงสามารถเข้ามาอยู่ข้างกายเธอปกป้องคุ้มครองเธอได้ล่ะ?

เธอเงยหน้ามองท้องฟ้า เหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง

รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับมีเสียงหนึ่งแว่วขึ้นข้างหู

‘เด็กน้อย อย่ากลัวเลย ทุกอย่างล้วนมีข้าอยู่!’

‘อืม มีท่านอยู่ข้างกายแล้ว ข้าไม่กลัวหรอก! ‘

นี่คือบทสนทนาของคนทั้งสอง เสียงนี้แผ่วรางยิ่งนัก ฟังไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ทว่าทำให้หัวใจของเธอบีบรัดขึ้นมา ราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่อย่างรุนแรง เธอกำมือแน่น

คนๆ นั้นคือใคร?

เป็นใครกันแน่?

ทำไมทุกคนถึงจำเขาไม่ได้?

เด็กน้อย? นี่คือคำที่เรียกขานตนหรือ?

ตนยอมรับคำเรียกขานที่เลี่ยนเอียนปานนี้ด้วยหรือ?

เธอใจลอยไปชั่วขณะหนึ่ง

จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนของผู้คนที่อยู่รอบข้างแว่วเข้ามา…

“ดูสิ! เส้นทางสวรรค์! เส้นทางสวรรค์ปรากฏแล้ว!”

กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ ดวงตาพลันเปล่งประกาย!

อัสนีเคราะห์หกสายฟาดลงมาหมดสิ้นแล้ว หลงซือเย่ถูกอัสนีเคราะห์ฟาดใส่จนดำเป็นตอตะโกแล้ว ดั่งม้วนหนังสือที่ถูกเผาจนเกรียม

แต่เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนขึ้นท่ามกลางเมฆา!

และที่ด้านหลังของเขา ปรากฏเส้นทางเมฆาสีชาดสายหนึ่งขึ้น เชื่อมต่อกับก้อนเมฆที่เขายืนอยู่ดั่งมังกรพ่นน้ำ…

แสงทองสายหนึ่งส่องลอดลงมาจากฟากฟ้า ปกคลุมร่างของหลงซือเย่ หลงซือเย่ถูกแสงทองนั้นโอบล้อมให้ลอยขึ้นไป ร่อนลงสู่เส้นทางเมฆาสีชาดสายนั้น…

เมื่อแสงทองสลายไป หลงซือเย่ก็เปลี่ยนโฉมไปแล้ว เสื้อผ้าที่ดำเกรียมกลายเป็นสีฟ้าอ่อน สีฟ้านั้นดังสีคลื่นสมุทร กระจ่างใสยิ่งนัก ซ้ำยังส่องประกายระยิบระยับนิดๆ ด้วย…

เขากลายเป็นเซียนแล้ว!

ผู้ชนต่างโห่ร้องออกมาด้วยความยินดี

เรือนกายของกู้ซีจิ่วพลันเหินขึ้น ทะยานสู่เส้นทางสวรรค์สีชาดสายนั้น…

หลงซือเย่มองมาที่เธอแวบหนึ่ง ริมฝีปากขยับเล็กน้อย “ซีจิ่ว ข้ากลายเป็นเซียนตามที่เจ้าปรารถนาแล้ว…”

ร่างของเขาหยุดนิ่งอยู่บนเส้นทางสวรรค์สีชาดครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า หายลับไปในชั้นเมฆาสีชาดกลุ่มนั้น

กู้ซีจิ่วก็ร่อนลงบนเมฆาสีชาดเช่นกัน แต่เมฆาสีชาดเหล่านั้นกลับสลายตัวไปจากใต้ฝ่าเท้าของเธออย่างรวดเร็ว…

เธอไล่ตามเส้นทางเมฆาสีชาดที่กำลังสลายตัวไปอย่างไม่ยอมแพ้ แต่เมฆาสีชาดนั้นสลายตัวไปรวดเร็วเหลือเกิน ยามที่เธอไล่ตามไปถึงชั้นเมฆาสีชาด เส้นทางเมฆาสายนั้นก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว

เธอยืนอยู่บนชั้นเมฆา มองดูชั้นเมฆาสีชาดแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวตามปกติด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

———————————————————————

บทที่ 1841 ด่านเคราะห์ 4

จากนั้นก็กระจายตัวเป็นก้อนใหญ่ๆ อยู่บนฟ้า ซ้อนทับกันเป็นรูปทรงต่างๆ…

ทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ

หลงซือเย่หายไปแล้ว หากไม่เหนือไปจากความคาดหมาย เขาน่าจะกลายเป็นเซียนขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนไปแล้ว แต่ว่าเส้นทางสวรรค์สายนั้นกลับไม่ยอมพาเธอไปด้วย…

เธออยากขึ้นไปยังดินแดนเบื้องบนจริงๆ!

ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าความหมกมุ่นนี้ของตนมาจากไหนกันแน่ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็กลายเป็นสิ่งที่พะวงถึงอยู่ตลอดเวลา

เพียงแต่เส้นทางสู่ดินแดนเบื้องบนเสาะหาได้ยากเหลือเกิน ตั้งตารอให้หลงซือเย่สำเร็จเป็นเซียนอย่างยากลำบาก ผลลัพธ์กลับเป็นเช่นนี้…

เธอยืนอยู่ตรงนั้น สิ้นหวังอย่างยิ่ง ไอเย็นรอบกายหนักหนาขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ทันทีที่ไอเย็นบนร่างเธอเพิ่มขึ้น ชั้นเมฆรอบข้างก็หนาทึบขึ้นอย่างรวดเร็ว เมฆขาวกลายเป็นเมฆทะมึน…

หิมะโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าอีกครั้ง

ทันใดนั้นหยกนภาก็ส่งเสียงขึ้นมาในสมองเธอ ‘เจ้านาย ถ้าท่านอยากขึ้นไปดินแดนเบื้องบนก็ใช่ว่าจะไร้หนทางเสียทีเดียว ข้ามีวิธีนะ’

กู้ซีจิ่วตะลึง หลุบตามองมัน “วิธีใด?!”

หยกนภาจึงกล่าวว่า ‘อันที่จริงเส้นทางเชื่อมระหว่างดินแดนเบื้องบนกับโลกเบื้องล่างมีอยู่เส้นทางหนึ่ง ขอเพียงหาทางเชื่อมนั้นพบ ท่านก็สามารถพึ่งพาความสามารถตนเพื่อขึ้นไปได้!’

“ทางเชื่อมนั้นอยู่ที่ไหน?”

‘ปลายสุดทางทิศใต้ มีต้นไม้สูงเสียดฟ้าอยู่ ต้นแดงดั่งเพลิง สามารถขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบน…’ หยกนภาเอ่ยประโยคที่เสียงลึกลับนั้นกล่าวไว้ออกมา

“นี่มันกว้างเกินไปแล้ว! มีตำแหน่งที่ตั้งที่เฉพาะเจาะจงไหม?”

‘เรื่องนี้…เจ้านาย ข้าก็รู้แค่เท่านี้…’

….

พุ่มใบแดงดั่งเพลิง ใบไม้ทุกใบล้วนดูคล้ายฝ่ามืออรหันต์ ดูมีกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก

ลำต้นสูงเสียดฟ้า สูงปานจะเอื้อมคว้าดาราได้ ตั้งตระหง่านเสียดเมฆา

และในยามนี้ กู้ซีจิ่วก็ยืนอยู่บนคาคบไม้แล้ว

หยกนภายังคงเลื่อมใสเจ้านายของบ้านตนยิ่งนัก ความสามารถเลิศล้ำเหนือธรรมดา! กระทำการได้เฉียบขาดอย่างยิ่ง!

หลังจากมันกับเจ้านายสนทนากันจบ เจ้าก็เริ่มดำเนินการทันที

ไปหาสี่ทูตก่อน สั่งการเรื่องราวบางอย่างแก่พวกเขา จากนั้นก็ออกเดินทาง

ปลายสุดทางทิศใต้ของทวีปนี้ นั่นเป็นขอบเขตที่กว้างอย่างยิ่งจริงๆ…

ปลายสุดของทางทิศใต้ก็คือขั้วโลกใต้ ทุกแห่งหนล้วนปกคลุมไปด้วยหิมะ ถ้ารั้งอยู่ที่นี่นานๆ คาดว่าต้องเป็นโรคตาบอดหิมะ[1]แน่

หยกนภารู้สึกว่า ท่ามกลางผืนหิมะเช่นนี้การเสาะหาต้นไม้ใหญ่สีแดงคงจะไม่ยากอะไร แต่พอถึงเวลาที่ต้องหาขึ้นมาจริงๆ มันถึงรู้ว่ายากเย็นมากเพียงใด…

กู้ซีจิ่วสวมมันเหาะทะยานสู่ทิศใต้ตลอด เข้าสู่ส่วนลึกของขั้วโลกใต้แล้ว แสงใต้เจิดจ้าปานดอกไม้ไฟ แต่หยกนภาก็มองไม่เห็นต้นไม้ใหญ่สีเพลิงสูงเสียดฟ้าอันใดเลย…

กู้ซีจิ่วตามหาอยู่ที่ขั้วโลกใต้มาสิบวันแล้ว ขณะที่หยกนภาเกือบนึกไปว่าเป็นไปได้ไหมที่เสียงลึกลับนั้นจะหลอกต้มกันขนานใหญ่ จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็พบเงาร่างของต้นไม้ใหญ่นั้นแวบบออกมาท่ามกลางแสงใต้ที่ส่องเจิดจ้า…

เงาที่แวบออกมาท่ามกลางแสงใต้อันเจิดจ้านั้นเดิมทีก็คือภาพลวงตา ต่อให้มีคนมองเห็นก็ไม่คิดว่าเป็นความจริง ซ้ำยังนึกไปว่าเป็นภาพหลอนที่เกิดจากแสงใต้อีกด้วย

แต่กู้ซีจิ่วกลับใช้วิชาเคลื่อนย้ายมุ่งตรงสู่แสงใต้ด้านนั้นทันที  และในขณะที่กำลังจะเข้าใกล้แสงใต้นั้นก็ถูกเขตแดนสายหนึ่งดีดสะท้อนกลับมา

ในช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียว แสงใต้นั้นก็หายไป พฤกษาใหญ่ย่อมหายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยเช่นกัน ในรัศมีร้อยลี้ไม่พบเห็นต้นไม้ใหญ่อีกเลย

กู้ซีจิ่วเฝ้าอยู่ในละแวกนั้นเสียเลย รอให้แสงใต้ปรากฏขึ้นมา…

เฝ้ารออยู่เช่นนี้อีกกว่าสิบวัน ในส่วนลึกของขั้วโลกใต้แห่งนี้ ความถี่ในการเกิดแสงใต้ยังคงสูงยิ่งนัก ในหนึ่งวันจะแวบขึ้นมากว่าสิบครั้ง

แต่ในจำนวนหลายครั้งนี้ก็ไม่เห็นแสงใต้ที่มีเงาของต้นไม้ใหญ่เลย…

หยกนภารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นภาพลวงตา รู้สึกว่าเจ้านายไม่ควรเสียเวลากับภาพลวงตากลุ่มหนึ่งเลย

แต่กู้ซีจิ่วพอได้ปักใจในเรื่องใดแล้ว ก็เปลี่ยนแปลงได้ยากนัก

หยกนภาร่ำร้องอยู่ในสมองนางอยู่นานสองนาน เธอก็ตอบกลับเพียงประโยคเดียว “ข้าเชื่อว่าอยู่ที่นี่!”

—————————————————————————-

[1] ตาบอดหิมะ เป็นการเผาไหม้ของกระจกตาที่เกิดจากการได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต B (UVB) ที่สะท้อนจากหิมะมากเกินไป ชื่อวิทยาศาสตร์สำหรับการเผาไหม้ของกระจกตาคือ photokeratitis และ keratitis อัลตราไวโอเลต