พระชายารองถูกลงโทษกักบริเวณ เหล่าสาวใช้ข้างกายจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกด้วย จึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้นางได้ทราบ
เมื่อได้ยินสิ่งที่นายบัญชีพูด พระชายารองก็ขมวดคิ้วแล้วถามออกไปว่า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดซื่อจื่อถึงต้องมาเบิกเงินห้าพันตำลึงเงินนี้”
ดวงตาของนายบัญชีประกายวาบ หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงลังเลว่า “วันนี้ซื่อจื่อพาองครักษ์ประจำจวนสองร้อยนายออกไป หลังจากที่กลับมาองครักษ์เหล่านั้นก็ได้รับบาดเจ็บ อ้างอิงจากที่ซื่อจื่อกล่าวมา ได้ยินมาว่าตำลึงเงินเหล่านี้ส่วนหนึ่งแบ่งให้เป็นค่าชดเชยสำหรับอาการบาดเจ็บที่ได้รับ ส่วนอีกส่วนให้เป็นเงินรางวัลสำหรับที่พวกเขายินยอมติดตามซื่อจื่อออกไปข้างนอกแล้วทำให้จวนอ๋องฉีแห่งนี้มีหน้ามีตามีสง่าราศีเพิ่มมากขึ้น”
พาองครักษ์ประจำจวนออกไปทีเดียวพร้อมกันถึงสองร้อยนาย จะต้องมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ยิ่งตอนนี้มามอบรางวัลให้กับพวกเขาอีก นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องทำงานได้ดียิ่ง ทำให้จวนอ๋องฉีมีหน้ามีตาขนาดนี้ หลังจากคิดพิจารณาอยู่ชั่วครู่ พระชายารองก็หันมองไปข้างนอกแล้วพูดออกไปว่า “เรื่องนี้ข้าอนุญาตแล้ว เจ้าเบิกเงินออกไปให้เขาได้เลย แล้วก็ฝากบอกเขาไปด้วยว่าหากจำนวนเงินห้าพันตำลึงเงินนี้ไม่เพียงพอสามารถมาขอจากข้าเพิ่มได้ทุกเมื่อ”
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะพระชายารอง” นายบัญชีตอบพลางปาดเหงื่อที่ซึมผุดขึ้นมาบนใบหน้า หลังจากก้าวออกมาจากลานเรือนที่พักของพระชายารองแล้ว เขาก็มุ่งตรงกลับไปที่ห้องบัญชีทันทีแล้วนำตั๋วเงินจำนวนห้าพันตำลึงเงินนี้มอบให้แก่หวงฝู่อี้ที่กำลังยืนรออยู่
หวงฝู่อี้พับตั๋วเงินเก็บเข้าอกเสื้ออย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ลดเสียงลงแล้วพูดกับนายบัญชีไปอย่างมีเลศนัยว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าวันนี้ซื่อจื่อของพวกเราองอาจเพียงไหน ไม่เพียงแต่จะสั่งให้คนตบหน้าคุณชายใหญ่แห่งจวนเสนาบดีเท่านั้น ยังฉวยโอกาสนี้ขู่กรรโชกท่านเสนาบดีจนได้เงินมาอีกก้อนใหญ่ เพิ่มมูลค่าของปิ่นทองที่ถูกปัดตกจนแตกหักไปให้มีค่าสูงถึงหนึ่งแสนตำลึงเงินเลยทีเดียว”
ดวงตาของนายบัญชีเบิกกว้างด้วยความตกใจ มองไปทางหวงฝู่อี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อเห็นว่าเป้าหมายของตนเองบรรลุแล้ว หวงฝู่อี้จึงเดินออกไปจากห้องบัญชี ระหว่างทางพบคนรับใช้สองสามคนที่สนิทกันเดินเข้ามาทักทายเขาว่า “คุณชายอี้ ไปไหนมาหรือขอรับ?”
หวงฝู่อี้หยุดฝีเท้าลง ยิ้มพลางตอบพวกเขากลับไปว่า “ซื่อจื่อให้ข้ามาเบิกเงินห้าพันตำลึงเงินที่ห้องบัญชี เอาไปเป็นรางวัลให้กับเหล่าองครักษ์ประจำจวนที่ไปช่วยทวงหนี้ในวันนี้”
เมื่อพวกบ่าวรับใช้ได้ยินก็ให้อิจฉากันยกใหญ่
เห็นพวกเขาแสดงท่าทีเช่นนี้ หวงฝู่อี้มีหรือจะไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงก้าวขึ้นไปโอบไหล่พูดคุยกับพวกเขาราวกับเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ลดเสียงลงก่อนจะกระซิบกระซาบกล่าวซ้ำประโยคที่เพิ่งพูดออกไปในห้องบัญชีให้หลายๆ ในที่นี้ได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองของพวกบ่าวรับใช้ก็เหมือนกับนายบัญชีไม่ผิดเพี้ยน พวกเขาเบิกตากว้างจากนั้นก็มองไปทางหวงฝู่อี้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เป้าหมายของหวงฝู่อี้สำเร็จลุล่วงลงไปอีกครั้งแล้วอย่างง่ายดาย เขาพูดคุยกับพวกบ่าวรับใช้และทักทายกันต่ออีกสักครู่จากนั้นจึงค่อยกลับไปยังเรือนที่พักของหวงฝู่อี้เซวียน
ทางฝั่งของพระชายารอง หลังจากที่นายบัญชีจากไปแล้วนางก็รู้สึกติดใจสงสัยนัก อยากรู้ยิ่งว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่จึงได้ส่งสาวใช้ข้างกายออกไปเพื่อสอบถาม
ไม่นานหลังจากนั้นสาวใช้ก็วิ่งกลับมาด้วยความเร่งรีบ ท่าทีเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา
พระชายารองเห็นว่าท่าทีของอีกฝ่ายดูประหลาดเหลือเกิน จึงได้ดุออกไปว่า “มีอะไรก็รีบพูด อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ได้ แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน?”
สาวใช้ข้างกายมองไปที่สีหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะตัดสินใจแล้วรายงานออกไปด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง “เหนียงเหนียงเพคะ วันนี้ซื่อจื่อพาองครักษ์ทั้งสองร้อยนายไปที่จวนเสนาบดีเพื่อเรียกเก็บเงินเพคะ”
“ว่าอย่างไรนะ?” พระชายารองลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ เสียงแหลมถามออกไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าพูดใหม่อีกครั้งสิ? เขาไปเก็บเงินที่ไหนนะ?”
สาวใช้หวาดกลัวกับปฏิกิริยาของนางจนแทบยืนไม่อยู่แล้ว รายงานกลับไปด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา “ไป ไปเก็บเงินที่จวนเสนาบดีเพคะ”
พระชายารองหลังจากที่ได้รับการยืนยันอีกครั้งและแน่ใจแล้วว่าครั้งนี้นางฟังไม่ผิดจริงๆ ก็ให้ขึ้นเสียงแล้วตะโกนออกไปว่า “ไปสืบมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่?”
สาวใช้วิ่งออกไปสอบถามอีกครั้งด้วยความลนลานแกมตื่นตระหนก
พระชายารองเดินวกไปวนมาอยู่ในห้องด้วยความกระวนกระวายใจ รอคอยสาวใช้ที่ออกไปสืบความอย่างใจจดใจจ่อ
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามเห็นจะได้ ในที่สุดสาวใช้ก็วิ่งกลับมาด้วยสภาพหอบแฮ่ก แต่ยังไม่ทันที่เท้าของนางจะได้ก้าวพ้นประตูดี เสียงคาดคั้นของพระชายารองก็ดังขึ้นก่อน นางจึงรีบรายงานออกไปว่า “เรียนเหนียงเหนียง บ่าวไปสอบถามมาแล้วเพคะ เห็นว่าวันนี้ปิ่นปักผมทองที่ซื่อจื่อซื้อและมอบให้กับสตรีในดวงใจถูกฮูหยินใหญ่จงใจปัดจนตกแตก ซื่อจื่อทรงพิโรธมากจึงได้พาองครักษ์ทั้งสองร้อยนายไปเรียกเก็บเงินถึงที่หน้าประตูจวน”
อุปนิสัยของพี่สะใภ้ตนเองเป็นเช่นไรพระชายารองรู้ดีอยู่แก่ใจเป็นที่สุด ต้องเป็นเพราะว่านางเห็นหวงฝู่อี้เซวียนแล้วข่มกลั้นอารมณ์ตัวเองไม่อยู่เป็นแน่จึงได้จงใจสร้างปัญหาให้กับพวกเขา โชคยังดีที่จำนวนเงินเพียงห้าพันตำลึงเงินนี้สำหรับจวนเสนาบดีแล้วไม่นับว่าเป็นอันใด เสียไปก็คือเสียไปหาได้ส่งผลกระทบแต่อย่างใดไม่
เห็นว่านายหญิงของตนเองไม่ได้คาดคั้นถามความต่อ สาวใช้จึงบ่นลังเลอยู่ในใจ ไม่แน่ใจว่าจะบอกสิ่งที่นางได้ยินมาให้อีกฝ่ายฟังดีหรือเปล่า
พระชายารองเงยหน้าขึ้น เห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะยังมีเรื่องพูดมาไม่หมดก็ให้ดุไปอีกครั้งอย่างรำคาญใจ “มีอะไรก็รีบๆ พูดมา ต้องให้ข้าถามคำเจ้าถึงจะยอมตอบคำหรืออย่างไร?”
สาวใช้ไม่ลังเลอีกต่อไป นางเปิดปากแล้วพูดออกไปว่า “เรียนเหนียงเหนียง คนในจวนต่างพูดกันว่าซื่อจื่อเปิดปากเหมือนราชสีห์ เรียกร้องค่าเสียหายจากท่านเสนาบดีไปสูงถึงหนึ่งแสนตำลึงเงินเลยเพคะ”
พระชายารองกรีดร้องเสียงดังลั่น เสียงของนางแทบจะบาดแก้วหูของสาวใช้จนแตกเป็นเสี่ยงๆ “อะไรนะ? หนึ่งแสนตำลึงเงิน?”
สาวใช้อดไม่ได้ที่จะถอยหลังกลับไปแล้วพยักหน้าให้ติดๆ “บ่าวได้ยินมาเช่นนั้นเพคะ สอบถามชัดเจนแล้วว่าเป็นหนึ่งแสนตำลึงเงินจริงๆ อีกทั้งซื่อจื่อยังพูดอีกด้วยว่าจำนวนเงินหนึ่งแสนตำลึงเงินนี้ ส่วนหนึ่งจะมอบให้กับองครักษ์ประจำจวนเพื่อให้เป็นรางวัลด้วย”
พระชายารองโกรธมาก นางคว้าถ้วยชาใบหนึ่งบนโต๊ะแล้วเขวี้ยงลงกับพื้นอย่างแรง ตะโกนด่าอย่างเสียกิริยาออกไปทันที “หวงฝู่อี้เซวียน รังแกกันเกินไปแล้ว!”
สาวใช้คนอื่นๆ ที่รออยู่ด้านในห้องต่างตกใจกับการกระทำของพระชายารองมาก พากันหดหัวและยืนอยู่ด้านข้างด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ด้วยกลัวว่าตนจะตกเป็นเป้าที่ระบายอารมณ์ให้แก่นาง
สาวใช้คนสนิทของพระชายารองที่ยืนอยู่ข้างๆ กวักมือเรียกพวกนางสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักและสั่งความลงไป “เก็บกวาดเศษถ้วยชาพวกนี้ให้เรียบร้อย ระวังอย่าทำให้เหนียงเหนียงได้รับบาดเจ็บ”
สาวใช้สองคนขานรับไปคำหนึ่ง จากนั้นคนหนึ่งก็รีบวิ่งออกไปด้านนอกเพื่อไปเอาไม้กวาดมา ส่วนอีกคนนั่งยองๆ ลงกับพื้นเพื่อหยิบเศษชิ้นส่วนขนาดใหญ่ขึ้นมา
โทสะของพระชายารองยากนักที่จะสงบลงได้ในช่วงเวลาสั้นๆ นางเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องด้วยฝีเท้าที่รวดเร็ว ปากตะโกนสาปแช่งหวงฝู่อี้เซวียนไม่หยุด
เป็นสาวใช้คนสนิทของนางที่โบกมือไล่สาวใช้คนอื่นๆ ออกไป สาวใช้ที่เหลือต่างไม่รอช้าถอยหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นสาวใช้คนสนิทก็เดินเข้าไปเกลี้ยกล่อมว่า “เหนียงเหนียงโปรดระงับโทสะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วต่อให้ท่านเป็นกังวลมากแค่ไหนแต่การเปิดปากด่าว่าซื่อจื่อออกไปตรงๆ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง กำแพงมีหูประตูมีช่อง เกิดว่าผู้ที่มีใจบังเอิญผ่านมาได้ยินแล้วนำเรื่องนี้ไปรายงานให้กับท่านอ๋องทรงทราบ ไม่รู้ว่าโทษกักบริเวณของท่านจะถูกยืดระยะเวลาออกไปจนถึงตอนไหน”
“พวกมันกล้า?” พระชายารองตวาดขึ้นด้วยความโกรธ “จวนแห่งนี้ตอนนี้มีข้าเป็นผู้ดูแล ใครหน้าไหนกล้านำเรื่องนี้ไปฟ้องท่านอ๋องข้าจะให้พวกมันไม่ได้ตายดีแม้แต่คนเดียว”
สาวใช้ที่ยืนรออยู่นอกเรือนหดคอแล้วถอยห่างจากบานประตูไปอีกหนึ่งก้าวทันทีตามจิตใต้สำนึก
สาวใช้คนสนิทเห็นว่านายของตัวเองกำลังอยู่ในห้วงแห่งโทสะอยู่ก็ไม่กล้าเปิดปากเกลี้ยกล่อมอีก
พระชายารองเดินวนไปมาอยู่ในห้องอีกสักพัก รู้สึกว่าไฟที่อยู่ในใจอย่างไรก็ไม่อาจดับลงได้เลยจึงได้สั่งสาวใช้ออกไปว่า “เจ้าไปแจ้งท่านอ๋องให้ข้าที บอกว่าข้าต้องการพบเขา”
สาวใช้ขานรับแล้วเดินออกไป จนกระทั่งมาถึงเรือนที่พักของท่านอ๋องฉี หลังจากบอกกับยามที่ยืนเฝ้าประตูถึงเจตนาที่มาเยือน ยามที่เฝ้าประตูอยู่คนนั้นก็เดินกลับเข้าไปรายงานให้
อ๋องฉีรู้โดยธรรมชาติทันทีว่าพระชายารองต้องการพบเขาด้วยเรื่องอันใด หากเป็นแต่ก่อนป่านนี้เขาคงไปหานางโดยไม่ลังเลแล้ว แต่นับตั้งแต่เหตุการณ์ลงโทษหวงฝู่อวี้ไปเมื่อครานั้น ไม่รู้ทำไมเขากลับเกิดความรู้สึกต่อต้านพระชายารองขึ้นอย่างน่าประหลาด ดังนั้นจึงคร้านจะสนใจนางอีก สั่งบ่าวรับใช้คนนั้นออกไปว่า “เจ้าไปบอกพระชายารองให้นางไตร่ตรองตัวเองและอยู่แต่ในเรือนอย่างสงบเสงี่ยม หากว่านางยังกล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของผู้อื่นอีก อีกหน่อยก็ไม่ต้องคิดจะออกมาแล้ว อยู่แต่ในเรือนของตนเองไปตลอดชีวิตเถิด”
บ่าวรับใช้คนนั้นออกมาบอกสาวใช้โดยไม่ให้ตกหล่นแม้สักคำ
เมื่อสาวใช้นำความนี้ไปบอกต่อแก่พระชายารอง นางก็โกรธมากจนคว่ำโต๊ะในห้อง ข้าวของตกเรี่ยราดกระจัดกระจาย ชุดน้ำชาบนโต๊ะแตกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ
หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เลยว่าเกิดคลื่นพายุรุนแรงขนาดไหนขึ้นที่เรือนของพระชายารอง
หลังจากที่หวงฝู่อี้กลับมาจากห้องบัญชี เขาก็มอบตั๋วเงินจำนวนห้าพันตำลึงเงินนั้นให้กับหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้รับมันมา เขาสั่งอีกฝ่ายไปตรงๆ ว่า “ส่งตั๋วเหล่านี้ให้กับหัวหน้าองครักษ์ประจำจวน บอกเขาไปว่าองครักษ์คนไหนที่ได้รับบาดเจ็บให้มอบเงินนี้เพิ่มให้อีกหัวละห้าสิบตำลึงเงิน ส่วนที่เหลือก็แบ่งจ่ายไปให้ครบตามจำนวนคน”
หวงฝู่อี้รับคำ จากนั้นก็หยิบตั๋วเงินเหล่านี้ออกไปแล้วนำไปมอบให้แก่หัวหน้าองครักษ์ประจำจวนตามคำสั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเลื่อนสายตาออกไปมองสีของท้องฟ้าทางด้านนอก ลุกขึ้นยืนแล้วพูดออกไปว่า “ข้าควรกลับได้แล้ว พรุ่งนี้เช้ายังต้องไปพูดคุยเรื่องซื้อขายร้านค้าอีก เจ้าไปเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียนอย่างวางใจเถิด เที่ยงๆ ข้าจะเตรียมสำรับไว้รอ เจ้าก็รีบๆ มาอย่าได้ชักช้านักเล่า”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าหงึกหงักให้อย่างมีความสุข เขาไม่ได้รั้งนางไว้แต่เดินไปส่งนางถึงหน้าประตูจวนด้วยตัวเอง เฝ้าดูนางขึ้นรถม้าจากไปจนลับสายตาก่อนจะเดินกลับเข้าเรือนพักของตน