เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยเหวินเปียวก็ขับรถม้ามุ่งหน้าไปยังร้านที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเหลาจวี้เสียนโดยมีกัวเฟยนั่งอยู่อีกฟากหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่ในรถม้าพร้อมกับตั๋วเงินที่พกมาอย่างเพียงพอ
เถ้าแก่ตู้และเถ้าแก่หลี่มายืนรออยู่ที่หน้าประตูก่อนแล้ว
หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึง นางไม่ได้ลงรถม้าแต่อย่างใด แต่บอกให้คนทั้งคู่ขึ้นรถม้าอีกคันแล้วมุ่งหน้าต่อไปยังจวนที่ว่าการทันทีเพื่อจัดการขั้นตอนที่เหลือให้เสร็จเรียบร้อย
ขั้นตอนการถ่ายโอนนั้นง่ายดายมาก หลังจากทำโฉนดใหม่แล้วประทับรอยนิ้วมือลงไป ร้านค้าแห่งนี้ก็ตกเป็นของเมิ่งเชี่ยนโยวโดยสมบูรณ์
หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมดเรียบร้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยื่นตั๋วเงินทั้งหมดให้กับเถ้าแก่หลี่
เถ้าแก่หลี่รับตั๋วเงินพวกนั้นมาแล้วนับมันอย่างระมัดระวังครั้งหนึ่ง เห็นว่าไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว เขาก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มากไม่น้อย ถูกต้องครบถ้วนขอรับ”
กล่าวจบ ก็ดึงตั๋วเงินจากในปึกนั้นออกมาสองใบแล้วยื่นมันไปตรงหน้าของเถ้าแก่ตู้ “ต้องขอบคุณเถ้าแก่ตู้พี่ช่วยแนะนำร้านของข้า ทำให้ร้านของข้าสามารถขายออกไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ตั๋วเงินเหล่านี้ข้าขอมอบให้เป็นสินน้ำใจ ถือเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ขอเถ้าแก่ตู้อย่าได้นึกรังเกียจ”
เถ้าแก่ตู้ยื่นมือออกมาแล้วผลักมือเขากลับไป ก่อนจะพูดว่า “เถ้าแก่หลี่เห็นข้าเป็นคนนอกหรืออย่างไร เราสองคนทำการค้าร่วมกันมานานกว่าสิบปีแล้ว นับว่าเป็นสหายกันมาตั้งนานแล้ว ช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย”
เถ้าแก่หลี่เห็นว่าเขาจริงใจนัก คำพูดที่พูดออกมาทุกคำก็มาจากใจ ท่าทีหรือก็ดูไม่เหมือนแกล้งทำ จึงได้เก็บตั๋วเงินนั้นกลับไปแล้วหัวเราะฮ่าๆ พูดเสียงดังว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่ขอเกรงใจแล้ว วันหน้าหากเถ้าแก่ตู้ต้องการความช่วยเหลืออันใด เพียงท่านพูดออกมาก็พอ”
เถ้าแก่ตู้ยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับเขา
ขั้นตอนทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วหลายคนก็พากันกลับไปที่ร้าน เถ้าแก่หลี่เดินไปเก็บสัมภาระของตัวเองที่วางไว้อยู่หลังร้านขนขึ้นรถม้า หลังจากที่จัดการกับข้าวของของตัวเองเสร็จ จึงส่งต่อกุญแจร้านนี้ให้กับเมิ่งเชี่ยนโยว ใช้สายตาอาลัยอาวรณ์กวาดมองร้านนี้อีกหลายครั้ง ในที่สุดก็ขึ้นรถม้าจากไปทั้งที่ในใจยังไม่อาจตัดขาดได้ลง
ในอีกสองวันถัดมาเมิ่งเชี่ยนโยวก็ขนทุกคนในจวนไปช่วยทำความสะอาดร้านที่เพิ่งซื้อมาใหม่นี้ พร้อมกับตกแต่งปรับเปลี่ยนร้านให้เป็นในแบบที่นางต้องการ
หวงฝู่อี้เซวียนแวะมาทานอาหารกลางวันที่จวนของนางทุกวันตามคำเชิญของหญิงสาว หลังจากกินเสร็จยังไปช่วยงานนางที่ร้านอาหารอีกด้วย
ผ่านไปสองวัน ในที่สุดร้านของเมิ่งเชี่ยนโยวก็เป็นรูปเป็นร่าง
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้เวลาว่างในการเขียนจดหมายถึงครอบครัวของนาง นางบอกกับครอบครัวไปว่านางมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแล้วและทุกอย่างที่นี่ก็เรียบร้อยดี ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ด้วยเพราะอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำนางจึงได้ซื้อร้านแห่งหนึ่งเอาไว้ต้องการจะเปิดเป็นร้านขายบะหมี่มันฝรั่งสาขาเมืองหลวง ในจดหมายนางยังถามเมิ่งอี้ไปด้วยว่าเขาอยากจะมาเมืองหลวงหรือไม่ หากเขามานางอยากจะฝากเขาขนแป้งมันฝรั่งที่นางต้องการมาเมืองหลวงด้วย
หวงฝู่อี้เซวียนเองก็เขียนจดหมายถึงทุกคนในครอบครัวของเขาเช่นกัน ในจดหมายแสดงถึงความคิดถึงของเขาที่มีต่อทุกคนเด่นชัด แถมยังเชื้อเชิญให้พวกเขามาเยี่ยมตนที่เมืองหลวงด้วยเมื่อพวกเขาว่าง ในตอนท้ายของจดหมายเขายังให้สัญญากับทุกคนไปอีกว่าจะรีบแต่งงานกับเมิ่งเชี่ยนโยวโดยเร็วที่สุด และจะปฏิบัติต่อนางอย่างดีตลอดทั้งชีวิตของเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวรวบรวมจดหมายทั้งหมดเข้าด้วยกันและสั่งให้คนไปส่งที่ไปรษณีย์โดยเร็ว คาดว่ามันจะถึงมือของครอบครัวนางในอีกสองวันให้หลัง
เวลาอีกหลายวันผ่านพ้นไปทั้งเช่นนี้
ม่านราตรีสีทึบเริ่มเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้า บัดนี้เองบนพื้นปฐพีเบื้องล่างคนหลายสิบคนกำลังมุ่งหน้าไปยังจวนอ๋องฉีด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวดุดันยิ่ง
ยามที่เฝ้าประตูอยู่ได้กลิ่นเหม็นโชยมาจากบนร่างของพวกเขาในระยะไกล ไม่ทันได้สังเกตดูดีๆ ก็เปิดปากไล่ตะเพิดพวกเขาออกไปด้วยน้ำเสียงดังลั่นว่า “ไปๆๆ นี่คือจวนของท่านอ๋องฉี ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาขออาหารกินได้ รีบไสหัวไปเสีย”
เฮ่ออีและคนอื่นๆ ถูกคุมขังมาเป็นเวลาสิบวันแล้ว เพราะในใจเอาแต่เป็นกังวลเรื่องของหวงฝู่อวี้ ทันทีที่ถูกปล่อยตัวออกจากที่คุมขังก็รีบเร่งเข้าเมืองหลวงมุ่งหน้ามาหาหวงฝู่อวี้ทันที ตลอดเส้นทางที่กลับเมืองหลวง พวกเขากินและนอนบนพื้น ควบม้าติดต่อกันทั้งกลางวันและกลางคืนไม่มีหยุด กลิ่นไม่พึงประสงค์บนร่างของพวกเขาจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เห็นว่ายามที่เฝ้าประตูอยู่ไม่แม้แต่จะมองพวกเขาก็เปิดปากขับไล่ราวกับหมูกับหมา เฮ่ออีจึงได้ตะโกนบอกไปจากระยะไกลว่า “เป็นพวกข้าเอง”
คนที่เฝ้าประตูอยู่ได้ยินน้ำเสียงคุ้นหูก็รีบปรับเปลี่ยนท่าทีทันที ก้าวเข้าไปทักทายเฮ่ออีกับคนอื่นๆ ก่อนจะผงะไปแล้วถามออกไปว่า “พวกเจ้าไปทำอะไรมาถึงได้มีสภาพนี้?”
เฮ่ออีไม่ตอบ แต่ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงลนลานว่า “คุณชายรองกลับมาหรือยัง?”
“กลับมาตั้งนานแล้ว”
เฮ่ออีได้ยินแบบนี้หัวใจที่ค้างเติ่งมานานกว่าสิบวันก็ค่อยคลายลง นี่ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงคำถามของคนที่เฝ้าประตูอยู่ ตอบกลับไปว่า “อย่าได้พูดถึงมันเลย พวกเราถูกขังอยู่ในคุกนานกว่าสิบวัน ก็เลยมีสภาพเช่นนี้”
เมื่อคนที่เฝ้าประตูอยู่ได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกสงสัยมาก คิดอยากจะสอบถามให้ละเอียดมากกว่านี้
แต่ก็ถูกเฮ่ออีถามขัดขึ้นก่อน “หลังจากกลับมาคุณชายรองคงไม่ได้รับโทษใดๆ กระมัง?”
คนที่เฝ้าประตูอยู่ลดเสียงลง ไม่ได้นึกรังเกียจกลิ่นเหม็นบนตัวของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย โน้มตัวขึ้นไปข้างหน้าแล้วกระซิบบอกเขาไปว่า “หลังจากที่คุณชายรองกลับมา ซื่อจื่อที่ได้ยินว่าเขาส่งคนไปสังหารสตรีในดวงใจก็ให้พิโรธหนักหน่วงยิ่ง สั่งคนให้จับเขาขังไว้ในห้องเก็บฟืนทันที แถมยังไม่อนุญาตให้คนส่งของกินให้อีก เป็นเวลาถึงสามวันเต็มๆ เชียวล่ะที่เขาไม่ได้กินอะไรเลย หลังจากที่คุณชายรองออกมา คนทั้งคนก็ผอมเหลือแต่กระดูก พระชายารองทนไม่ไหวไปร้องขอความเมตตาแทนเขา สุดท้ายก็ถูกซื่อจื่อสั่งให้คนกักบริเวณพระชายารอง จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาข้างนอกเลย”
ใจของเฮ่ออีจมดิ่งลงไปทันทีหลังจากที่ได้ยินเรื่องดังกล่าว
คนที่เฝ้าประตูอยู่ยังคงลดเสียงลงแล้วพูดกับเขาต่อไปว่า “ซื่อจื่อตอนนี้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ถึงแม้ว่าภายนอกจะยังดูง่ายๆ ไม่ใส่ใจอันใดเหมือนแต่ก่อน ทว่าในความเป็นจริงแล้ววิธีการตอบโต้รับมือนั้นโหดเ**้ยมทารุณมากกว่าแต่ก่อนนัก บ่าวรับใช้สองคนในเรือนของเขาเพราะพลั้งปากเผลอไปบอกคุณชายรองถึงสตรีนางนั้น เห็นว่าถูกเขาลงโทษด้วยการฝังทั้งเป็นเลยทีเดียว พวกบ่าวรับใช้ในจวนล้วนแต่ได้ไปชมการลงโทษนี้กับตา ตอนนี้ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าปากมาก”
หัวใจของเฮ่ออียามนี้แตะถึงก้นบึ้งแล้ว
องครักษ์เงาที่อยู่ข้างๆ เขาล้วนได้ยินคำพูดของยามเฝ้าประตูทั้งสิ้น ฉับพลันหันมามองเขาเป็นตาเดียว
เฮ่ออียกมือขึ้นประสานกัน แล้วพูดกับคนเฝ้าประตูไปว่า “ขอบใจเจ้ามากที่เตือน รอข้ากลับถึงที่พักล้างเนื้อล้างตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วจะไปขอรับโทษกับซื่อจื่อที่เรือนของเขาด้วยตัวเอง”
ยามที่เฝ้าประตูอยู่พยักหน้าให้ เบี่ยงตัวให้เล็กน้อย องครักษ์เงาสิบกว่านายก็ทยอยกันเดินเข้าไปในจวน
ยามที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูมองตามแผ่นหลังของพวกเขาไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ส่ายหัวให้เบาๆ
ต้องบอกก่อนว่ากลิ่นตัวของคนสิบกว่าคนนี้เหม็นมากจริงๆ ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าประตูจวนมา คนในจวนก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นเหม็นที่ปะทะเข้าจมูกอย่างจัง สายตาของทุกคนที่เดินผ่านตวัดไปทางพวกเฮ่ออีเขม็ง กลุ่มของพวกเฮ่ออีพอได้รับสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อจากคนอื่นๆ ก็ทั้งรู้สึกอับอายและอึดอัดใจยิ่ง
พลันเฮ่ออีรวมถึงคนอื่นที่เหลือรีบวิ่งกลับไปยังที่พักของตัวเองทันที ใช้น้ำเย็นชำระร่างกายให้สะอาด ผลัดเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ หลังจากจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก็นำขบวนคนมุ่งตรงไปยังเรือนที่พักของหวงฝู่อี้เซวียนเพื่อขอรับโทษ
ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าประตูจวนมา พ่อบ้านประจำจวนก็ได้รับข่าวนี้แล้ว คิดว่าตอนนี้พวกเขาน่าจะจัดการทำความสะอาดตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินมาหาพวกเขาถึงที่พักขององครักษ์เงา พูดกับเฮ่ออีไปว่า “ท่านอ๋อง พระชายา ซื่อจื่อแล้วก็คุณชายรองทุกท่านยามนี้กำลังรับสำรับอยู่ที่เรือนหลัก พวกเจ้ารีบไปขอรับโทษที่นั่นเสีย”
เฮ่ออีกล่าวขอบคุณเขาไปคำหนึ่ง จากนั้นก็นำองครักษ์เงาคนอื่นๆ ไปยังเรือนหลัก คุกเข่าลงพร้อมกันที่หน้าเรือน รอให้อ๋องฉีกับเจ้านายคนอื่นๆ รับสำรับจนเสร็จ
ตอนที่เฮ่ออีก้าวเข้ามาในลาน ตอนนั้นอ๋องฉีรวมถึงคนอื่นๆ ก็รับรู้ถึงการมาของพวกเขาแล้ว
อ๋องฉียังคงทานข้าวต่อไปอย่างสบายใจ การเคลื่อนไหวไม่ได้ชะงักลงเลยแม้แต่น้อย
ทางฝั่งของพระชายา เมื่อเห็นว่าอ๋องฉียังคงเพิกเฉยไม่แยแสต่อเรื่องดังกล่าว ก็ให้มองข้ามเรื่องนี้ตามไปด้วย แสดงท่าทีว่าไม่แยแสเหมือนกัน
หวงฝู่อี้เซวียนราวกับถอดแบบมาจากอ๋องฉีไม่ผิดเพี้ยน ยังคงกินอาหารในชามไปอย่างไม่สะทกสะท้าน ทำราวกับว่าไม่รู้สึกถึงการคุกเข่าของคนสิบกว่าคนด้านนอกแม้แต่น้อย
จะมีก็แต่หวงฝู่อวี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น ด้วยเพราะมีชนักติดหลังจึงรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่ง สายตามองไปทางอ๋องฉีทีหวงฝู่อี้เซวียนที จากนั้นก็เม้มปากลงแน่นไม่กล้าเอื้อนเอ่ยถ้อยคำขอร้องใดๆ ออกมา
หวงฝู่อี้เซวียนใช้ตะเกียบคีบกับข้าวจานโปรดลงในชามของเขา “อวี้เอ๋อร์ กินเร็ว”
“พี่ใหญ่” หวงฝู่อวี้เสียงสั่น ใช้สายตาอ้อนวอนมองเขา
หวงฝู่อี้เซวียนเตือนเขาไปว่า “เวลากินห้ามพูด เวลานอนห้ามเอ่ยถ้อยคำ เจ้าอยากให้ท่านพ่อลงโทษเจ้าหรือ?”
หวงฝู่อวี้ได้ยินดังนั้นก็รีบก้มหน้าลงคีบกับข้าวเข้าปากอย่างว่าง่ายทันที
เฮ่ออีและคนอื่นๆ ที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่ลานบ้าน ด้วยเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนเวลาทานประทานอาหารของท่านอ๋องฉี พวกเขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะแสดงอารมณ์ออกมา ได้แต่รอรับการตัดสินใจของอ๋องฉีอย่างกระวนกระวายใจ
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยามได้ ในที่สุดหลายคนก็ทานอาหารเสร็จ รอจนกระทั่งสาวใช้เก็บกวาดสำรับบนโต๊ะออกไปเรียบร้อย อ๋องฉีก็นั่งต่อตรงที่เดิมอีกสักพัก หลังจากนั้นจึงเดินออกไปที่ประตูแล้วถามเฮ่ออีไปแบบไม่รีบไม่ร้อนว่า “เจ้า รู้ความผิดของตัวเองหรือไม่?”
เฮ่ออีคุกเข่าลงกับพื้น ไม่มีการโต้แย้งใดๆ ทั้งสิ้น ตอบกลับไปว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชารู้ความผิดขอรับ”
อ๋องฉีกวาดตามององครักษ์เงาที่อยู่ในลานทั้งหมดรอบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็กลับมาตกอยู่ที่ร่างเขาอีกครั้ง “ในฐานะหัวหน้าองครักษ์เงา แอบพาองครักษ์เงาออกจากเมืองหลวงไปโดยไม่ผ่านการเห็นชอบจากข้า นี่คือความผิดข้อที่หนึ่ง ทั้งที่คุณชายรองติดตามพวกเจ้าออกไปจากเมืองหลวงด้วย แต่พวกเจ้ากลับปล่อยให้เขาตกอยู่ในอันตราย นี่คือความผิดข้อที่สอง พวกเจ้าในฐานะขององครักษ์เงา แต่เดิมสมควรอยู่แต่ในที่มืดไม่อาจก้าวออกมายังที่สว่างได้ ทว่ากลับถูกจับเข้าคุก เปิดเผยฐานะและใบหน้าตัวเองต่อหน้าสาธารณะและผู้คนมากมาย นี่คือความผิดข้อที่สาม กับความผิดทั้งสามข้อนี้ บอกข้าสิว่าควรลงโทษอย่างไร?”
เฮ่ออีตอบกลับไปโดยไม่มีความลังเลอยู่เลย “เรียนท่านอ๋อง ความผิดทั้งสามข้อรวมกัน ผู้ใต้บังคับบัญชาสมควรถูกตัดแขนตัดขาทิ้ง โยนเข้าค่ายลับ ปล่อยให้ตกตายไปตามยถากรรมขอรับ”