การแสดงออกทางสีหน้าของอ๋องฉีไม่ได้เปลี่ยนไปเลย อำนาจจากตัวของเขายังคงแผ่ออกมาได้อย่างน่าเกรงขามแม้ว่าจะไม่มีโทสะก็ตาม “จัดการด้วยตัวเองเสีย”

 

 

เฮ่ออีไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ตอบกลับไปทันทีว่า “ขอรับ!”

 

 

กล่าวจบ ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากลานไป

 

 

องครักษ์เงาคนอื่นที่เหลือพากันเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก สายตาจับจ้องไปทางเขาเป็นตาเดียว

 

 

“รอก่อน!” น้ำเสียงตื่นตระหนกของหวงฝู่อวี้ดังขัดขึ้น

 

 

เฮ่ออีหยุดฝีเท้าของตัวเองลงแล้วหันหน้ามองกลับมา

 

 

หวงฝู่อวี้หมุนตัวของเขากลับไปเผชิญหน้ากับอ๋องฉีตรงๆ ก่อนจะขอร้องแทนเฮ่ออีด้วยความลนลานว่า “ท่านพ่อ ที่เฮ่ออีทำแบบนั้นลงไปก็เพราะถูกลูกบีบบังคับ และก็เป็นเพราะข้าอีกเช่นกันถึงทำให้เขาถูกจับเข้าคุก ขอท่านพ่อโปรดเมตตา ลงโทษเขาด้วยสถานเบาด้วยเถิด”

 

 

อ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร

 

 

เฮ่ออีประคองมือทั้งสองข้างของเขาขึ้น ก่อนจะหันไปพูดกับหวงฝู่อวี้ว่า “คุณชายรอง เฮ่ออีทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ สมควรถูกลงโทษแล้ว ขอท่านอย่าได้ขอร้องแทนผู้ใต้บังคับบัญชาอีกเลย”

 

 

เมื่อเห็นว่าอ๋องฉีปฏิเสธไม่เห็นด้วย หวงฝู่อวี้จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปทางหวงฝู่อี้เซวียนแทน ตะโกนเรียกเขาไปด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายว่า “พี่ใหญ่!”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นสายตาคาดหวังที่มองมายังตนเองก็ให้เม้มริมฝีปากลงแน่นแล้วเปิดปากพูดออกไปว่า “ท่านพ่อ เฮ่ออีแม้ว่าจะกระทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่เห็นแก่ความจงรักภักดีของเขา อย่างไรลงโทษเขาด้วยสถานเบาเถิด”

 

 

ใจของอ๋องฉีเริ่มสั่นคลอนขึ้นมาบ้างแล้ว คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

 

 

ทุกคนต่างมองเขาไปด้วยแววตาคาดหวัง

 

 

ภายในลานบ้านยามนี้เงียบสงัด

 

 

รอบด้านถูกความเงียบเข้ากลืนกินไปชั่วขณะ

 

 

ผ่านไปค่อนข้างนานทีเดียว ในที่สุดน้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผยของอ๋องฉีก็ดังขึ้น “ในเมื่อซื่อจื่อขอร้องแทนเจ้า เปิ่นหวางก็จะไว้ชีวิตเจ้าในครั้งนี้ กลับไปรับโทษที่ห้องมืดด้วยตัวเองเสีย”

 

 

การเข้าไปในห้องมืดก็เหมือนกับเอาชีวิตไปทิ้งเก้าส่วนแล้ว อย่างไรก็ตามไม่ต้องถึงขั้นตัดแขนตัดขานับว่ายังรักษาชีวิตเอาไว้ได้อยู่ หวงฝู่อวี้คิดพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

 

เฮ่ออีซึ่งคิดว่าตัวเองต้องตายแน่แล้วในครั้งนี้รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขากระแทกเข่าลงกับพื้นทันทีด้วยเสียงดัง ประกายความยินดีในน้ำเสียงที่กล่าวออกไปไม่อาจปกปิดไว้ได้มิดเลย “ผู้ใต้บังคับบัญชาขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเมตตา ขอบพระทัยซื่อจื่อที่ช่วยขอร้องแทนข้าน้อย”

 

 

อ๋องฉีโบกมือออกไปครั้งหนึ่ง ร่างของเฮ่ออีก็หายไปจากลานบ้านอย่างรวดเร็ว

 

 

มองไปยังกลุ่มคนที่ยังคุกเข่าอยู่ที่ลานบ้าน เสียงทรงอำนาจของอ๋องฉีก็ดังขึ้นอีกครั้ง “คนที่เหลือให้ไปรับโทษโบยยี่สิบไม้ วันหน้าหากยังกล้าทำผิดอีก จะไม่มีปรานีอีกแล้ว”

 

 

เหล่าองครักษ์เงาที่คิดว่าตัวเองคงต้องตายแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่พวกเขาก็จะได้รับการลดหย่อนโทษไปด้วย จึงได้ตะโกนตอบไปด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเมตตา ไม่ตัดสินประหารพวกเรา”

 

 

อ๋องฉีโบกมือออกไปอีกครั้ง

 

 

องครักษ์เงาหลายสิบคนก็ลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยความพร้อมเพรียง ถอยออกไปจากลานบ้านอย่างสงบ ไม่มีเสียงฝีเท้ายุ่งเหยิงดังมาให้ขัดหูเลย

 

 

รอจนกระทั่งองครักษ์เงาทั้งหมดถอยกลับไป ลานแห่งนี้ก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหันไปกล่าวกับอ๋องฉีและพระชายาด้วยท่าทีสุภาพว่า “ท่านพ่อท่านแม่ หากไม่มีเรื่องอันใดแล้วเช่นนั้นลูกขอตัวกลับเรือนก่อน”

 

 

อ๋องฉีพยักหน้าให้เขาเบาๆ

 

 

ตอนนี้เองจู่ๆ หวงฝู่อวี้ก็รีบพูดขึ้น “ข้ากลับไปกับพี่ใหญ่ด้วย”

 

 

อ๋องฉีปรายตามองเขาแวบหนึ่ง

 

 

หวงฝู่อวี้สะดุ้งเฮือกเหงื่อเย็นไหลอาบไปทั่วร่าง เขารีบหดคอหนีทันที มองไปทางอ๋องฉีอย่างหวาดๆ แกมระแวงแล้วไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

 

 

เห็นท่าทีหดหัวหวาดกลัวของเขา อ๋องฉีก็ขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่พอใจนัก

 

 

หวงฝู่อวี้เห็นแบบนี้ก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ กระเถิบถอยไปยืนอยู่ด้านหลังหวงฝู่อี้เซวียน ใช้ร่างของเขาช่วยบังตัวเองไว้

 

 

คิ้วของอ๋องฉีขมวดลึกขึ้นไปอีก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงได้กล่าวออกไปอย่างไม่ทิ้งร่องรอยไว้ว่า “ท่านพ่อท่านแม่ ข้ากับอวี้เอ๋อร์ขอตัวกลับไปก่อน”

 

 

อ๋องฉีเหลือบตามองหวงฝู่อวี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหมุนตัวเดินออกไปจากลานโดยมีหวงฝู่อวี้ตามหลังไปไม่ห่าง

 

 

รอจนกระทั่งเงาร่างของหวงฝู่อี้เซวียนกับหวงฝู่อวี้ลับสายตาไปแล้ว เสียงของอ๋องฉีก็ดังขึ้น “พระชายา อีกเดียวเปิ่นหวางจะไปที่เรื่องของเจ้านะ”

 

 

ทว่าน้ำเสียงไม่เย็นไม่ร้อนของพระชายากลับตอบมาว่า “ซย่าเซินช่วงนี้ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ เกรงว่าคงไม่อาจปรนนิบัติท่านอ๋องได้ อย่างไรทรงไปที่เรือนอื่นดีกว่าเพคะ” กล่าวจบก็ย่อตัวคำนับเขาไปหนึ่งทีแล้วเดินจากไปพร้อมกับสาวใช้ส่วนตัว ตรงกลับไปยังเรือนพักของตนอย่างเบื่อหน่ายยิ่ง

 

 

ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธด้วยท่าทีไม่อ่อนไม่แข็ง อ๋องฉีก็ยกมือขึ้นลูบจมูกตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าเรือนของตนไปด้วยสีหน้าไร้ชีวิตชีวา

 

 

ในตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ไปทานอาหารกลางวันที่จวนของนาง แต่กลับฝากจดหมายให้หวงฝู่อี้ไปส่ง บอกว่าไทเฮาทรงเรียกเขาเข้าเฝ้า ดังนั้นเขาจะรับประทานอาหารกลางวันในวังเลย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปสำรวจความเรียบร้อยที่ร้านของตัวเอง ดูว่าแบบแปลนที่นางออกแบบไว้ตรงกับความต้องการหรือเปล่า หลังจากจัดการกับทุกอย่างจนเกือบเสร็จ จู่ๆ ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาถึงเมืองหลวงได้สิบกว่าวันแล้ว สมควรจะไปเยี่ยมเยือนเหวินซื่อเสียที จึงได้กวักมือเรียกเหวินเปียวเข้ามาแล้วถามเขาไปว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าร้านยาเต๋อเหรินตั้งอยู่ที่ไหน”

 

 

เหวินเปียวตอบนางไปด้วยความเคารพว่า “แม่นาง ร้านยาเต๋อเหรินในเมืองหลวงแห่งนี้มีอยู่ทั้งหมดสามแห่ง แบ่งเป็นเขตตะวันออก เขตใต้ แล้วก็เขตตะวันตก ไม่ทราบว่าท่านต้องการไปที่ร้านไหน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ร้านหลัก ตอนนี้เหวินซื่อเป็นเถ้าแก่ของร้านยาเต๋อเหริน คิดว่าน่าจะอยู่ที่ร้านหลักกระมัง”

 

 

“ทราบแล้วขอรับ หากแม่นางอยากไปข้าจะพาท่านไปเดี๋ยวนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้เขา หลังจากสั่งให้เหวินหู่ดูแลจัดการเรื่องทำความสะอาดต่อ นางก็ขึ้นรถม้าแล้วออกไปทันที

 

 

กัวเฟยยังคงติดตามนางอยู่ไม่ห่าง กระโดดขึ้นไปนั่งอีกฟากของรถม้าตามพวกเขาไปด้วย

 

 

เหวินเปียวคุ้นเคยเส้นทางในเมืองหลวงเป็นอย่างดี โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ไม่ทันไรเขาก็ขับรถม้ามาจนถึงหน้าร้านหลักของร้านยาเต๋อเหรินแล้ว

 

 

รถม้าหยุดลง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลงมาจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปข้างในร้านยาเต๋อเหริน

 

 

กัวเฟยเดินตามหลังนางไปไม่ห่าง

 

 

ร้านยาเต๋อเหรินในเมืองหลวงมีขนาดใหญ่กว่าในเมืองชิงซีมากนัก ท่านหมอที่ประจำอยู่ที่นี่ก็มีมากกว่าสิบคน และแม้ว่าจะเป็นยามอู่ของวันแล้วก็ตาม แต่คนที่เดินเข้าออกก็ยังคงเนืองแน่นพลุกพล่าน ตรงหน้าของหมอแต่ละท่านไม่มีเก้าอี้ไหนว่างเว้นอยู่เลย ล้วนถูกจับจองด้วยผู้ป่วยทั้งสิ้น

 

 

เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา พนักงานของร้านยาเต๋อเหรินผู้หนึ่งก็เข้ามาทักทายพวกเขาอย่างกระตือรือร้น “แม่นาง ไม่ทราบว่ามาหาหมอหรือมาซื้อยาขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเขาไปตามตรง “ข้ามาหาเถ้าแก่ของพวกเจ้า ไม่รู้ว่าอยู่หรือไม่”

 

 

พนักงานหนุ่มผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็กลับมากระตือรือร้นอีกครั้ง ถามนางไปว่า “แม่นางกับเถ้าแก่ของพวกข้ารู้จักกันหรือ ไม่ทราบว่าท่านมาหาเถ้าแก่ของพวกเราด้วยเรื่องอันใด”

 

 

“แม่นางเมิ่ง!” ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะตอบกลับไป จู่ๆ เสียงของพนักงานอีกคนก็ดังเข้ามา เขาตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจ น้ำเสียงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางเขา

 

 

พนักงงานคนนั้นพูดขึ้นอย่างมีความสุขทันทีว่า “แม่นางจำข้าไม่ได้แล้วหรือขอรับ ตอนที่อยู่ที่เมืองชิงซีแล้วร้านยาเต๋อเหรินของพวกเราเกิดเรื่องขึ้น ข้าก็คือคนที่เถ้าแก่สั่งให้นำจดหมายไปส่งให้ท่าน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมีความสามารถผ่านตาไม่ลืมเลือน แน่นอนย่อมต้องจำเขาได้ในทันที ดังนั้นจึงพยักหน้าให้เขาไปเล็กน้อย

 

 

“ทำไมแม่นางท่านถึงมาที่เมืองหลวงเล่า หรือว่าจะมาหาเถ้าแก่ของพวกเราโดยเฉพาะ” พนักงานคนนั้นถามออกมาเป็นชุด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขากลับไปว่า “ข้ามาอยู่ที่เมืองหลวงได้หลายวันแล้ว วันนี้ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็เลยมาที่นี่เพื่อพบเถ้าแก่ของเจ้า”

 

 

“เถ้าแก่ของพวกเราอยู่ที่ชั้นบนขอรับ ประเดี๋ยวข้าจะพาท่านขึ้นไปที่นั่น” หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปอธิบายกับพนักงานที่อยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้ามีความสุขว่า “แม่นางท่านนี้กับเถ้าแก่ของพวกเราเป็นคนรู้จักเก่ากัน ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นที่เมืองชิงซีก็ได้แม่นางท่านนี้แหละที่ช่วยเหลือ ข้าจะพานางไปพบกับเถ้าแก่เดี๋ยวนี้”

 

 

เมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าว ท่าทีกระตือรือร้นของพนักงานคนนั้นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น “แม่นาง เชิญขึ้นไปชั้นบนขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าแล้วเดินตามพนักงานอีกคนขึ้นชั้นบนไป

 

 

ทันทีที่ขึ้นมาถึงชั้นบน นางก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างที่ปะทะเข้าหา ฝีเท้าของพนักงานคนที่เดินนำนางขึ้นมาหยุดชะงักลงอย่างชัดเจน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสังเกตเห็นถึงการเคลื่อนไหวของเขาจึงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นแล้วกระซิบบอกกับพนักงานคนนั้นไปว่า “ไม่รบกวนเจ้าแล้ว ข้าเข้าไปเอง”

 

 

พนักงานคนนั้นดูเหมือนจะหวาดกลัวอะไรบางอย่าง แต่หลังจากได้ฟังคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วเขาก็ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะกระซิบบอกนางไปว่า “ตอนนี้เถ้าแก่ของพวกเรากำลังอารมณ์ไม่ดี แม่นางดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ พบเขาแล้วก็ระวังตัวหน่อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าให้

 

 

พนักงานคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วก็เดินกลับลงไปชั้นล่างอย่างเงียบๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกระซิบกับกัวเฟยไปว่า “เจ้ารอข้าอยู่ที่หน้าประตู”

 

 

กัวเฟยขานรับกลับมาเสียงต่ำแล้วถอยออกไปยืนอยู่อีกฟากหนึ่ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ

 

 

เสียงมืดมนทุ้มต่ำดังออกมาจากทางด้านในว่า “เข้ามา!”

 

 

ทันทีที่เมิ่งเชี่ยนโยวผลักประตูให้เปิดออกแล้วก้าวเข้าไปข้างใน นางก็ได้เห็นเหวินซื่อกำลังขมวดคิ้วจ้องบัญชีที่วางอยู่ตรงหน้าเขม็ง

 

 

เหวินซื่อคิดว่าคนที่เข้ามาคงเป็นพนักงานสักคนหนึ่ง จึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองแม้แต่น้อย ปากถามออกไปว่า “มีอะไร”

 

 

ไม่มีเสียงใดดังตอบกลับมา

 

 

เหวินซื่อรู้สึกงงงวยอยู่บ้าง แต่เพียงแค่เขาเงยหน้าขึ้นมาแสงเย็นเยียบพลันก็บินจากทางประตูมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว

 

 

เหวินซื่อตกใจมาก เบี่ยงตัวหลบทันควันก่อนจะตะโกนถามกลับไปด้วยเสียงดังลั่นว่า “เจ้าเป็นใคร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไปด้วยเสียงใสว่า “คนทวงหนี้”

 

 

เหวินซื่อที่กำลังจะโจมตีกลับหยุดชะงักลงพลางมองไปยังทิศทางของต้นเสียงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

 

 

ในมือของเมิ่งเชี่ยนโยวกริชด้ามงามกำลังหมุนควงเป็นรูปวงกลม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บมันเข้าที่ แล้วมองไปทางเหวินซื่อด้วยรอยยิ้ม

 

 

ใบหน้ามืดมนของเหวินซื่อฉายแววประหลาดใจขึ้นมาทันใด “ยัยเด็กน่าตาย ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่เมืองหลวงเล่า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งตีหน้าขรึม ถามเหวินซื่อกลับไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เถ้าแก่เหวินไม่เจอกันตั้งหลายปี ท่านลืมคำเตือนที่ข้าให้ท่านไปแล้วหรือ”

 

 

เหวินซื่อหัวเราะฮ่าๆ แล้วเดินขึ้นไปข้างหน้า คิดอยากจะตบไหล่นางแรงๆ สักหลายที แต่แล้วก็รู้สึกว่าการกระทำของเขานั้นไม่เหมาะสม จึงได้เปลี่ยนท่าทางไปเป็นชี้เก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างๆ แทน แล้วพูดออกไปว่า “นั่งสิ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ถ่อมตัวเลย นั่งลงบนเก้าอี้อย่างใจกว้าง