เหวินซื่อก้าวอาดๆ ไปที่ประตู ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออกและกำลังจะเปิดปากสั่งให้พนักงานยกชามาสักกา แต่แล้วก็เป็นอันต้องสะดุดไปเพราะเห็นกัวเฟยเสียก่อน

 

 

กัวเฟยทักทายเขาด้วยความเคารพ “เถ้าแก่เหวิน”

 

 

เหวินซื่อจำเขาได้จึงพยักหน้าให้เขาเล็กน้อยจากนั้นก็เดินไปทางบันไดที่อยู่ตรงสุดทางเดิน ตะโกนสั่งลงไปว่า “ชงชาดีๆ มาสักกาแล้วเอาขึ้นมาให้ข้า”

 

 

พนักงานที่อยู่ชั้นล่างขานรับกลับไป

 

 

เหวินซื่อหมุนตัวกลับมาแล้วพูดกับกัวเฟยอย่างสุภาพว่า “ท่านหัวหน้ากัวเองก็เข้าไปดื่มชาด้วยกันเถิด”

 

 

กัวเฟยรีบตอบกลับไปทันทีว่า “ขอบคุณเถ้าแก่เหวิน แต่ข้าขอเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูดีกว่า หากท่านมีอะไรก็สั่งข้ามาได้”

 

 

เหวินซื่อรู้ฐานะของเขาดี ดังนั้นจึงไม่ได้รบเร้าเขา เดินกลับเข้าห้องไปแล้วไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเมิ่งเชี่ยนโยว อดไม่ได้ที่จะถามนางไปอีกครั้งว่า “สรุปแล้วเจ้ามาทำอะไรที่เมืองหลวง”

 

 

“แน่นอนว่าต้องมาทวงหนี้อยู่แล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาท่านส่งแต่ตั๋วเงินไปให้ข้าทุกๆ วันปีใหม่ แต่ว่าบัญชีทั้งหลายแหล่กลับไม่เคยส่งมาให้เห็นแม้แต่เล่มเดียว ข้ารู้สึกว่างเหลือเกิน ช่วงที่ไม่มีอะไรทำพอดีลองคิดคำนวณดูเล่นๆ รู้สึกว่าเงินที่ท่านส่งมาขาดไปไม่น้อย ก็เลยลากคนมาทวงหนี้ท่านถึงที่” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไปอย่างซุกซน

 

 

เหวินซื่อหัวเราะเสียงดังแล้วพูดออกไปว่า “ไม่เจอกันนานหลายปี แม่นางน้อยเจ้าเติบโตขึ้นเป็นสาวแล้ว แต่นิสัยของเจ้ากลับไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อครู่นี้หากข้าหลบช้ากว่านี้อีกนิด กริชเล่มนั้นคงกระแทกเข้ากลางกระหม่อมข้าแล้ว หากใบหน้าข้าเกิดมีรอยขีดข่วนขึ้นมา เจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร”

 

 

“ก็แค่รอยขีดข่วนไม่ใช่เหรอ กลัวอะไร อย่างไรเสียในมือของข้าก็มียารักษารอยแผลเป็นอีกเป็นกระบุง มากสุดนำออกมาให้ท่านแบบไม่คิดเงินสักสองสามขวด เท่านี้ก็จบปัญหาแล้ว”

 

 

เหวินซื่อหัวเราะลั่นอีกครั้ง

 

 

พนักงานที่รับหน้าที่ยกชาขึ้นมารู้สึกกังขานัก หลายปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงหัวเราะสะใจเช่นนี้จากปากของเถ้าแก่ ไม่รู้ว่าแม่นางเมิ่งกับเถ้าแก่พูดเรื่องอะไรกันถึงได้ทำให้เขามีความสุขมากขนาดนี้

 

 

กัวเฟยช่วยเคาะประตูแทนเขา

 

 

เหวินซื่อมีคำสั่งลงไป “เข้ามา!”

 

 

พนักงานคนนั้นเปิดประตูออก จากนั้นก็เดินเข้าไปรินชาให้กับพวกเขาคนละถ้วยด้วยความเคารพ

 

 

เหวินซื่อกล่าวต่อว่า “เจ้าลงไปได้แล้ว ไม่ต้องอยู่รอปรนนิบัติที่นี่”

 

 

จากนั้นพนักงานคนนั้นขานรับออกมาคำหนึ่งแล้วเดินออกจากประตูไป ก่อนไปยังช่วยปิดประตูให้พวกเขาอย่างเบามือ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าเบาๆ หลังจากจิบลงไปเล็กน้อย กลิ่นหอมของใบชาก็กระจายฟุ้งไปทั่วปากของนางทันที ได้แต่ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “พอได้มาเป็นเถ้าแก่ของร้านยาเต๋อเหรินแล้วก็ต่างออกไปมากจริงๆ ขนาดใบชายังเป็นของชั้นสูงเลย”

 

 

เหวินซื่อหัวเราะอย่างโกรธๆ “แค่ใบชาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หากเจ้าชอบรู้สึกว่ารสชาติดีจะเอากลับไปด้วยก็ได้ ไยต้องกล่าววาจากระแนะกระแหนให้เหม็นเปรี้ยวไปทั่วเช่นนี้ด้วย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยววางถ้วยชาลงแล้วโบกมือกลับไป “ลืมไปเสียเถอะ ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับใบชาแม้แต่น้อย มอบใบชาชั้นดีเช่นนี้ให้ข้า มีแต่จะเสียของเปล่า”

 

 

เหวินซื่อยิ้มแล้วส่ายหัวให้กับนาง มือยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็ถามออกไปว่า “เจ้ามาทำอะไรที่เมืองหลวง อย่าได้หลอกลวงข้า ข้าเข้าใจนิสัยใจคอของเจ้าดี เจ้าไม่ใช่คนที่จะออกมาเพียงเพื่อเล่นสนุกแน่ๆ”

 

 

สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้เปลี่ยนไปเลย นางมองเขาก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อบังคับคนให้แต่งงาน”

 

 

มือของเหวินซื่อสั่นสะท้าน ถ้วยชาในมือของเขาเกือบจะร่วงลงกับพื้นหลังจากได้ยินคำที่นางกล่าว ยืนยันออกไปอีกครั้งด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่า “เจ้าพูดใหม่อีกครั้งสิ เจ้ามาทำอะไรที่เมืองหลวงนะ”

 

 

ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาที่เกินธรรมดาของเขาจะทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวพอใจมาก นางเลิกคิ้วขึ้นอย่างซุกซนแล้วย้ำออกไปว่า “มาบังคับคนให้แต่งงาน”

 

 

คราวนี้เหวินซื่อได้ยินมันอย่างชัดเจนแล้ว เขาวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ แล้วถามออกไปด้วยความประหลาดใจว่า “บังคับให้ใครแต่งงานกับใคร”

 

 

“แน่นอนย่อมต้องเป็นซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีอยู่แล้ว ข้ากับเขามีสัญญาแต่งงานกันมาตั้งแต่เยาว์วัย ตอนนี้เขาโตแล้ว ข้าก็เลยมาบังคับเขาให้แต่งงานกับข้า” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ

 

 

“โครม!” แต่ก่อนที่นางจะได้พูดอะไรต่อ เหวินซื่อก็ล้มลงไปนอนกับพื้นแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแอบหัวเราะให้กับปฏิกิริยาแปลกๆ ของเขา จงใจถามออกไปด้วยน้ำเสียงเสแสร้งว่า “เถ้าแก่เหวิน ท่านเป็นอะไรของท่าน ให้ข้าช่วยพยุงท่านขึ้นมาดีไหม”

 

 

เหวินซื่อนั่งอยู่บนพื้น โบกมือให้นางเป็นเชิงปฏิเสธ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนางแล้วถามออกไปด้วยความลนลานว่า “ไม่กี่วันที่ผ่านมามีข่าวลือไปทั่วเมืองหลวงว่าซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีอุ้มแม่นางน้อยคนหนึ่งเข้าจวนท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมาก แม่นางผู้นั้นคงไม่ใช่เจ้ากระมัง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าด้วยท่าทีเมินเฉย “เป็นข้าเอง ไม่คิดว่าแม้แต่ท่านก็เคยได้ยินข่าวลือนี้ด้วย”

 

 

ทันใดนั้นเหวินซื่อก็ยืนขึ้นแล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายว่า “เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร ก่อนเจ้าจะไปที่จวนอ๋องฉีเหตุใดถึงไม่มาหาข้าก่อน ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีมีสัญญาหมั้นหมายกับคุณหนูจวนราขเลขาผู้นั้นตั้งแต่พวกเขายังไม่เกิดแล้ว ตอนนี้เจ้า ตอนนี้เจ้า…” คำพูดต่อจากนั้นขาดช่วงไปราวกับว่าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงจงใจถามเขาไปอย่างซุกซน “ข้าเป็นเช่นไรในตอนนี้”

 

 

เหวินซื่อประหนึ่งถูกเหล็กร้อนจี้ก้นก็มิปาน ตวาดออกไปว่า “เจ้านะเจ้า แต่ก่อนไม่ใช่ฉลาดมากหรอกหรือ ไยเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปีกลับกลายเป็นคนไม่มีหัวคิดเสียแล้ว เจ้าเอาทั้งชีวิตของตัวเองทุ่มลงไปเช่นนี้ ประกอบกับนิสัยของเจ้า อีกหน่อยจะอยู่รอดในจวนอ๋องฉีต่อไปได้อย่างไร”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วแซวเขาต่อไป “ทำไม นิสัยแบบข้าจะเอาตัวรอดในจวนอ๋องฉีไม่ได้เชียวเหรอ”

 

 

เหวินซื่อกลับขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ หันหน้าไปปะทะกับนางตรงๆ แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีคือคนที่จะสืบทอดตำแหน่งอ๋องฉี สืบทอดจวนอ๋องฉีในอนาคต สามภรรยาสี่อนุแน่นอนย่อมไม่มีขาด กับเจ้าที่อุปนิสัยเช่นนี้ แต่งเข้าจวนอ๋องฉีไปจะต้องถูกพระชายาเอกของเขากดหัวเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเจ้าอยากจะขัดขืนต่อต้าน มีแต่จะถูกคนอ้างกฏของจวนทรมาณจนตาย”

 

 

สีหน้ามีความสุขของเมิ่งเชี่ยนโยวจางหายไป ความตื่นตระหนกฉายขึ้นมาแทนที่ “เช่นนั้นข้าควรจะทำอย่างไรดี ข้าตกลงแต่งงานกับเขาไปแล้ว”

 

 

“เจ้า…” เหวินซื่อเบิกตากว้าง มองนางอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ไหวอีกต่อไป ฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น

 

 

น้ำเสียงกังวลของเหวินซื่อดังขึ้นเหนือหัวของนาง “เจ้ายังหัวเราะออกอีก อีกหน่อยคอยดูว่าจะมีแต่น้ำตาให้ซับ!”

 

 

เสียงหัวเราะของเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งดังก้องกังวานขึ้นกว่าเก่า

 

 

เหวินซื่อเดินไปรอบๆ ห้องราวกับหนูติดจั่น

 

 

หลังจากนั้นไม่นานเมิ่งเชี่ยนโยวก็หยุดหัวเราะ นางปาดน้ำตาออกจากหางตาก่อนจะพูดกับเขาไปว่า “ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด เขาจะไม่แต่งงานกับคนอื่นแน่นอน แล้วข้าก็จะไม่ยอมเป็นอนุให้เขาด้วย”

 

 

เหวินซื่อหยุดเดินแล้วมองมาที่นางด้วยความสงสัย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวผายมือเป็นเชิงบอกให้เขานั่งลง

 

 

เหวินซื่อกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ว่างตรงหน้าอีกครั้ง

 

 

รอยยิ้มเล่นๆ บนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวบัดนี้ไม่หลงเหลืออีกต่อไปแล้ว นางกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึมว่า “ท่านน่าจะรู้ว่าซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีก็คือน้องชายตัวน้อยบ้านข้าที่อายุยังน้อยก็สอบผ่านตำแหน่งถงเซิงผู้นั้น”

 

 

เหวินซื่อพยักหน้า “ข้ารู้ ตอนที่พี่ใหญ่ฉู่พาเขากลับเข้าเมืองหลวงเมื่อสี่ปีก่อนข้าก็รู้เรื่องนี้แล้ว ทั้งยังเกือบถูกพี่ใหญ่ฉู่ตีตายแน่ะ บอกว่าข้าติดต่อกับเจ้ามาตั้งนานแต่กลับไม่รู้ว่าเขาก็คือน้องชายตัวน้อยของเจ้า ไม่รู้ว่าเขาก็คือคนที่ตามหามาตลอดหลายปีผู้นั้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฟังแล้วก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “สมควรแล้ว คนที่ตามหาอยู่ใต้จมูกแท้ๆ แต่ท่านกลับหาไม่เจอ แม่ทัพฉู่ไม่ตีท่านจนตายข้าว่าเขาเมตตาท่านมากแล้วนะ”

 

 

เหวินซื่อสำลักแล้วตวัดสายตาขึ้นจ้องนาง “ล้วนเป็นเพราะเจ้าไม่ใช่เหรอ เจ้าเองน่าจะรู้ดียิ่งกว่าใครว่าคนที่พวกเราตามหาก็คือเขา แต่กลับไม่ปริปากให้รู้สักคำ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธที่จะยอมรับ นางโต้เถียงกลับไป “ทำไม ท่านโทษข้าเหรอ เป็นพวกท่านที่ไม่ยอมบอกข้าเองถึงสาเหตุที่เขาถูกนำมาทิ้งบนภูเขา อีกอย่างข้าเคยสอบถามถึงสถานการณ์ภายในจวนอ๋องฉีคร่าวๆ จากท่านแล้ว แต่ท่านก็ไม่ยอมบอกข้า สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย อะไรๆ ก็ไม่ชัดเจน แล้วแบบนี้ข้าจะบอกท่านว่าอี้เซวียนก็คือคนที่พวกท่านกำลังมองหาอยู่ได้อย่างไร”

 

 

เหวินซื่อยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ “ก็ได้ๆ ข้าผิดเอง เป็นความผิดของข้าทั้งหมด รีบเล่ามาเร็วเข้าว่ามันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ข้าสงสัยมาโดยตลอด แต่พอถามพี่ฉู่ไปทีไรเขาก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบสักที ไม่ยอมเล่าให้ฟังเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากที่นางไปส่งอี้เซวียนเข้าสอบซิ่วไฉ รวมถึงเรื่องที่เขายืนยันจะส่งนางกลับบ้านด้วย

 

 

หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เหวินซื่อก็ประหลาดใจนัก ถามนางกลับไปว่า “ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีสัญญาว่าจะแต่งงานกับเจ้าเท่านั้นตลอดทั้งชีวิตนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดังนั้นจนถึงตอนนี้ข้าก็เลยรอข่าวจากเขาอยู่ที่จวนมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อหลายวันก่อนเกิดขึ้น บีบให้ข้าต้องเข้าเมืองหลวงมาหาเขา เกรงว่าคงต้องรออีกสักสองสามปีเลยทีเดียว อย่างไรเสียเขาก็ยังเล็กอยู่”

 

 

เหวินซื่อไม่ได้ถามนางว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ขมวดคิ้วแล้วพูดออกไปด้วยความเป็นห่วงว่า “แม้ว่าเขาจะสัญญากับเจ้าไว้แล้ว แต่ว่าสัญญาหมั้นหมายระหว่างเขากับคุณหนูจวนราขเลขาผู้นั้นก็ใช่ว่าจะยกเลิกได้ง่ายๆ ข้ากลัวว่าการปรากฏตัวของเจ้า จะทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้เขาอย่างไม่ยี่หระ “อี้เซวียนยังเด็ก ดังนั้นอย่าเพิ่งเป็นกังวลไป เราจะค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ถึงตอนนั้นต้องหาวิธีได้แน่”

 

 

เมื่อเห็นว่านางไม่ได้สนใจเลย เหวินซื่อก็ยิ่งรู้สึกเป็นกังวล ทว่าคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยังคิดหาวิธีช่วยเหลือนางไม่ออก สุดท้ายจึงได้แต่นิ่งเงียบไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองการเคลื่อนไหวของเขาอยู่ตลอดมีหรือจะไม่สังเกตเห็นถึงอารมณ์ที่ดิ่งลงของเขา ขณะที่กำลังจะเปิดปากเอ่ยปลอบไปอยู่นั้นเอง น้ำเสียงเคารพของพนักงานคนหนึ่งก็ดังส่งมาจากทางนอกประตู “เถ้าแก่ขอรับ ฮูหยินท่านมาหา บอกว่ามีเรื่องต้องการจะคุยกับท่านขอรับ”

 

 

—————————-