“ไปบอกฮูหยินว่าข้ากำลังพบแขกอยู่ หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนอันใดก็ให้นางรอข้าข้างล่างก่อน” เหวินซื่อตอบกลับไปด้วยเสียงทุ้ม
พนักงานคนนั้นขานรับทันทีและกำลังจะเดินจากไป
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็เรียกเขาเอาไว้ “เดี๋ยวก่อน”
เหวินซื่อมองนางอย่างสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วอธิบายกับเขาไปว่า “ข้าอยากเห็นมานานแล้วว่าฮูหยินที่ท่านเถ้าแก่เหวินปักใจรักมาตั้งแต่ยังเล็กนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร วันนี้บังเอิญได้มาเจอกัน ไม่สู้เรียกให้ขึ้นมาทำความรู้จักกันไว้จะไม่เป็นการดีกว่าหรือ”
เหวินซื่อหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด เขาแสร้งกระแอมออกไปเบาๆ ก่อนจะสั่งพนักงานคนนั้นลงไปว่า “ให้ฮูหยินขึ้นมา”
พนักงานคนนั้นรับคำ จากนั้นก็เดินลงไปชั้นล่าง ไม่นานนักสาวสวยนางหนึ่งก็เดินขึ้นมาบนชั้นนี้พร้อมกับสาวใช้สองนาง นางผงะไปทันทีเมื่อเห็นกัวเฟยยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู
เหวินซื่อทันทีที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอกก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูให้
ฮูหยินเหวินไม่ได้เดินเข้าไปด้านในทันที น้ำเสียงอ่อนหวานดังผ่านประตูเข้ามาเบาๆ “ได้ยินว่าท่านกำลังต้อนรับแขกอยู่ ข้าไม่ได้มีเรื่องเร่งด่วนอันใด หากว่าท่านไม่สะดวก ข้าจะกลับออกไปก่อน ไว้เย็นนี้ท่านกลับถึงเรือนแล้วพวกเราค่อยคุยกันก็ได้”
“ไม่ใช่คนนอกหรอก เป็นแม่นางเมิ่งที่ข้าเคยพูดให้เจ้าฟังอยู่บ่อยๆ นางมาที่เมืองหลวงแล้ว ดังนั้นวันนี้ก็เลยแวะมาเยี่ยมเยียนข้าสอบถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไปก็เท่านั้น” หลังจากเหวินซื่อพูดจบ เขาก็เบี่ยงกายไปด้านข้างเล็กน้อย
ฮูหยินเหวินมองตามเข้าไปด้านในห้อง จากนั้นนางก็เห็นแม่นางน้อยรูปร่างบอบบางผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วมองมาทางนางด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“เจ้าก็คือแม่นางเมิ่งนี่เอง สามีของข้าหลังจากที่กลับมาก็เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังอยู่ตลอด บอกว่าเจ้าช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ข้าอยากจะเจอเจ้าสักครั้งมาตั้งนานแล้ว น่าเสียดายที่เมืองชิงซีอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากเหลือเกิน ประกอบกับไม่ค่อยมีเวลาว่างเลยไม่เคยได้ไปเยี่ยมเยือนเจ้าเลย ดียิ่งที่เจ้ามาเมืองหลวงในครั้งนี้” ฮูหยินเหวินเปิดปากพูดไปอย่างกระตือรือร้น เท้าพลางสาวเข้าไปหาเมิ่งเชี่ยนโยวติดๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่ทั้งสิ้น ไม่น่าพูดถึงหรอก ฮูหยินอย่าได้เก็บไปใส่ใจนักเลย”
ฮูหยินเหวินจับมือนางขึ้นมา พูดด้วยท่าทีตื่นเต้น “จะไม่ให้ข้าเก็บไปใส่ใจได้อย่างไร บุญคุณของการช่วยชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือนยิ่ง หากว่าเจ้ามีปัญหาใดๆ ในอนาคต โปรดพูดออกมา พวกเราจะพยายามช่วยเจ้าทำมันให้สำเร็จให้ได้”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอขอบคุณฮูหยินเหวินท่านล่วงหน้าแล้ว ข้าจะบอกแก่ท่านแน่นอนเมื่อข้าประสบปัญหาในอนาคต” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
เหวินซื่อปิดประตูลง แล้วให้สาวใช้ทั้งสองยืนรออยู่ข้างนอก
ฮูหยินเหวินยังคงจับมือของเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรักใคร่และเอ็นดู นางหย่อนกายลงบนเก้าอี้แล้วพูดต่อว่า “เจ้าไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตสามีข้าเท่านั้น แต่ยังช่วยเขาลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าออกไปอีก ข้ารู้สึกขอบคุณเจ้าจากใจจริง อันที่จริงข้าคิดมาตลอดว่าอยากจะหาโอกาสตอบแทนเจ้าในสักวันหนึ่ง ดียิ่งนักที่เจ้ามาอยู่เมืองหลวงในตอนนี้ แบบนี้วันข้างหน้าพวกเราก็จะมีโอกาสพบเจอกันมากขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและพูดออกไปว่า “ฮูหยินเหวินเห็นข้าเป็นคนนอกเกินไปแล้ว เถ้าแก่เหวินกับข้าอย่างไรก็นับว่าเป็นสหายกัน ช่วยเหลือกันก็เป็นเรื่องที่สมควรไม่ใช่หรือ”
ฮูหยินเหวินยิ้มแล้วพยักหน้าให้ “ในเมื่อเจ้ามองว่าสามีข้าเป็นสหาย เช่นนั้นก็อย่าได้เรียกข้าว่าฮูหยินอีกเลย ต่อไปเรียกข้าว่าพี่สะใภ้ดีหรือไม่ ข้าแก่กว่าเจ้าเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวตามน้ำไป “พี่สะใภ้ไม่รังเกียจเด็กบ้านนอกอย่างข้า เช่นนั้นข้าก็จะขอหน้าหนาสักหน่อย บังอาจยกตนตีเสมอท่านแล้ว”
“คำพูดของแม่นางเมิ่งพูดไปถึงไหนกัน เจ้าให้เกียรติเรียกข้าว่าพี่สะใภ้ ข้าต่างหากเล่าที่บังอาจยกตนตีเสมอ” ฮูหยินเหวินโบกมือกล่าว
เหวินซื่อรินน้ำชาลงในถ้วย แล้วเลื่อนมันไปไว้ตรงหน้าฮูหยินเหวิน
เมิ่งเชี่ยนโยวถือโอกาสนี้หยอกล้อนางไป “พี่สะใภ้ทักษะของท่านช่างสูงส่งเหลือเกิน เพิ่งผ่านไปได้กี่วันเองก็จัดการกับเถ้าแก่เหวินได้อยู่หมัดเสียแล้ว ดูสิรู้จักปวดใจแทนผู้อื่นแล้ว”
ฮูหยินเหวินกับเหวินซื่อใบหน้าแดงก่ำขึ้นพร้อมกัน
เหวินซื่อกระแอมไอขึ้นมาเบาๆ
ฮูหยินเหวินกล่าวอย่างเขินอาย “ข้าจัดการเขาที่ไหน ตั้งแต่ข้าป่วยหนักเขาก็เปลี่ยนมาเอาอกเอาใจข้ามากขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงล้อไม่หยุด “พี่สะใภ้นี่เรียกว่าหลังจากผ่านเรื่องร้ายไปแล้วจะมีแต่เรื่องดีๆ ดาหน้าเข้าหา”
รอยยิ้มของฮูหยินเหวินจางลงไปมากทีเดียว นางถอนหายใจแล้วพูดออกไปว่า “ข้าหาได้ต้องการเรื่องดีๆ เช่นนี้ไม่”
เมื่อสองสามวันก่อน เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเรื่องของฮูหยินเหวินจากปากของหวงฝู่อี้เซวียนมาบ้างแล้ว พอได้เห็นสีหน้าของนางในยามนี้ จึงได้รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป ในใจก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้ที่ปากไวเกินไป
ฮูหยินเหวินซึมเศร้าอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่แล้วไม่นานนางก็ยกยิ้มแล้วพูดออกไปว่า “พบกันครั้งแรกอย่าได้พูดถึงเรื่องที่ไม่น่ายินดีเหล่านั้นเลย ไม่รู้ว่าแม่นางเมิ่งมาเมืองหลวงด้วยธุระอันใดหรือ มีตรงไหนต้องการความช่วยเหลือบ้างหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งใช้สายตาไม่แยแสปรายไปทางเหวินซื่อแวบหนึ่ง
เหวินซื่อส่ายหัว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มขึ้นทันทีแล้วพูดออกไปว่า “ข้าได้ยินมาว่าการค้าในเมืองหลวงดียิ่งนัก เห็นว่าน่าสนใจจึงได้ลองมาเสี่ยงดวงที่นี่ดู นี่ก็เพิ่งซื้อร้านแห่งหนึ่งตรงข้ามกับเหลาจวี้เสียนไป คิดจะเปิดเป็นร้านขายบะหมี่มันฝรั่ง อีกสองสามวันก็จะเปิดกิจการแล้ว หวังว่าเถ้าแก่เหวินกับพี่สะใภ้จะมาอุดหนุนและเข้าร่วมงานเปิดร้านของเราด้วย”
ฮูหยินเหวินยิ้มอย่างดีใจ “เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดมากเลย พวกเราจะไปร่วมงานอย่างแน่นอน วันนี้รอข้ากลับไปก่อนจะรีบไปเตรียมของขวัญให้เจ้าทันที แล้วจะบอกต่อกับคนอื่นๆ ด้วย จะได้มีคนไปสนับสนุนเจ้าเยอะๆ ถึงตอนนั้นไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าเพราะเห็นว่าเจ้ามาจากบ้านนอกอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณพี่สะใภ้มาก” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นอย่างมีความสุข
ฮูหยินเหวินตบมือของนางเบาๆ “มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อย่าได้เอ่ยขอบคุณ เจ้าไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย”
การพบกันสั้นๆ ในครั้งนี้ ทำเอาเมิ่งเชี่ยนโยวตกหลุมรักตัวละครที่ชื่อว่าฮูหยินเหวินอย่างจัง นางพูดติดตลกออกไปอีกครั้งว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าชาติก่อนรวมถึงชาติก่อนๆ เถ้าแก่เวินทำบุญมาด้วยอะไร ถึงได้แต่งฮูหยินที่ดีอย่างพี่สะใภ้มาเป็นภรรยาได้ คนหรือก็หน้าตางดงาม อุปนิสัยก็ยังเปิดเผยน่าคบหาอีกด้วย”
ได้ฟังเมิ่งเชี่ยนโยวพูดชมตัวเองมีหรือที่ฮูหยินเหวินจะไม่มีความสุข แต่แล้วการแสดงออกของนางก็จืดจางลงอีกครั้ง “ข้าไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ แบบนี้แล้วจะเรียกว่าโชคดีได้หรือ”
เหวินซื่อกลัวว่าฮูหยินตนจะเสียใจ จึงได้รีบหันเหบทสนทนา ชักชวนนางพูดเรื่องอื่นไปเรื่อย “นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าได้พบกับแม่นางเมิ่ง อย่าพูดถึงเรื่องที่ไม่น่ายินดีเหล่านี้เลย”
“นั่นสิ ข้านี่พูดไม่เป็นจริงๆ แม่นางเมิ่งเจ้าอย่าได้ถือสาเลยนะ” ฮูหยินเหวินรู้สึกว่าตัวเองพูดเรื่องเหล่านี้ออกไปไม่สมควรอย่างยิ่งจึงได้รีบกล่าวขอโทษเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวให้อีกฝ่าย “พี่สะใภ้อย่าได้พูดแบบนี้ ในเมื่อท่านไม่เห็นข้าเป็นคนนอก ยอมเล่าเรื่องแบบนี้ให้ข้าฟัง แล้วข้าถือสาได้อย่างไร เพียงแต่…” ถึงตรงนี้นางก็เม้มริมฝีปากลง ลังเลว่าควรจะพูดต่อไปดีหรือไม่
ฮูหยินเหวินมองเห็นความลังเลบนสีหน้าของหญิงสาว คิดว่านางอาจจะอายที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา จึงได้กล่าวออกไปว่า “ไม่เป็นไร หากเจ้าไม่รังเกียจพวกเรา เช่นนั้นมีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองพวกเขาทั้งสองคน
เห็นว่าทั้งคู่มองนางอย่างห่วงใย
ทันทีหัวใจของนางก็พลันอบอุ่นขึ้น นางก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและพูดออกไปว่า “ข้ารู้ทักษะทางการแพทย์อยู่บ้าง ไม่ทราบว่าจะขอจับชีพจรพี่สะใภ้ได้หรือไม่”
ฮูหยินเหวินไม่เข้าใจ มองไปทางเหวินซื่อด้วยสายตาที่งงงวย
เหวินซื่อเข้าใจว่านางหมายถึงอะไร จึงได้มองนางไปอย่างมีความหวัง พูดออกไปซ้ำๆ ว่า “ได้ๆ ได้แน่นอน”
ฮูหยินเหวินยังคงล่องลอยอยู่ในก้อนเมฆ ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
เหวินซื่อไม่ได้อธิบายให้นางฟัง แต่พูดกับนางไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้ายื่นมือออกไปให้แม่นางเมิ่งจับชีพจรหน่อยเถิดนะ”
แม้ว่าฮูหยินเหวินจะไม่เข้าใจ แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความ ยื่นมือออกไปต่อหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแต่โดยดีพร้อมรอยยิ้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวลงมือจับชีพจรของนางทันที หลังจากจดจ่ออยู่กับการวินิจฉัยเป็นเวลานาน นางก็ปล่อยมือออก แล้วสะบัดมือเป็นสัญญาณบอกให้ส่งมืออีกข้างขึ้นมา
ฮูหยินเหวินดึงมือข้างนั้นออกไป ก่อนจะวางมืออีกข้างขึ้นไปไว้ตรงหน้าหญิงสาว
เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งสมาธิอยู่เป็นเวลานาน ยังคงจดจ่ออยู่กับการวินิจฉัย
ฮูหยินเหวินเริ่มจะเดาอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว และแม้จะยังยืนยันไม่ได้แต่ดวงตาของนางก็เริ่มมีประกายแสงแห่งความคาดหวังขึ้นมา
เหวินซื่อยังคงจดจ้องไปที่ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวนิ่ง จับสังเกตทุกการแสดงออกบนใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ให้มีตกหล่น