บทที่ 388 ไปเยือนเพื่อหยั่งเชิง
ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดเช่นไร โดยปกติแล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้ ถึงอย่างไรฝั่งลูกของอนุที่ชื่อจั่วเสี่ยนอวี้ก็ช่วยเหลือฝั่งลูกจากภรรยาเอกจั่วเสี่ยนหลินจัดการเรื่องต่าง ๆ มาโดยตลอด ไม่เพียงแค่เรื่องจัดการเรือนยังช่วยจัดการ เรื่องธุรกิจการค้าอีกด้วย อีกทั้งยังทำได้เป็นอย่างดี ทำให้คนที่ได้รู้เอ่ยชมไม่ขาดปาก
จั่วเสี่ยนอวี้คนนี้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว ลูกชายของเขารุ่นราวคราวเดียวกับซวนเอ๋อร์ ทางบ้านของภรรยานั้นบรรพบุรุษก็เคยเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียง ทั้งสองฝ่ายที่ตระกูลตกยากลำบากเช่นเดียวกัน จึงเข้าหากันได้โดยง่าย
แม้ว่าจั่วเสี่ยนหลินจะอายุมากกว่าจั่วเสี่ยนอวี้ ทว่าก็ยังไม่ได้แต่งงาน แต่กลับทำเรื่องน่ารังเกียจมากมายหลายเรื่อง…ไม่เพียงแต่เรื่องเลี้ยงเด็กผู้ชาย รักร่วมเพศแล้ว นิสัยใจคอก็ไม่ดีนัก หากบ่าวในเรือนทำความผิดอะไรต่อหน้าเขา หากไม่โบยจนตายก็จะถูกขายออกไป อีกทั้งถึงจะยังอายุน้อยเช่นนี้ ก็รู้จักใช้ยาอายุวัฒนะบำรุงร่างกายแล้ว เงินทองในจวนก็ใช้ราวกับสายน้ำไหล
ข้างนอกลือกันให้ทั่วว่า เงินทองที่จั่วเสี่ยนหลินใช้ในแต่ละปีนั้น สามารถเลี้ยงจวนเฝินหยางโหวได้อีกสักสิบจวนโดยไม่มีปัญหา
จั่วเสี่ยนหลินยังมีน้องสาวอีกสองสามคน ไม่ว่าจะเป็นน้องสาวที่เกิดจากลูกภรรยาเอกหรือลูกอนุต่างก็ได้แต่งงานไปกับตระกูลที่ค่อนข้างดี…เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้ไม่น้อยเลย แต่ว่าของขวัญแต่งงานของน้องสาวเขานั้น จั่วเสี่ยนหลินยังแอบยักยอกเข้ากระเป๋าตัวเองไปไม่น้อย หลังจากน้องสาวของเขาแต่งงานออกไปแล้ว หากไม่มีธุระอะไร ต่างก็ไม่กลับมาที่บ้านแม่ของตัวเองเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสนิทสนมระหว่างพวกเขา
ถาวจวินหลันได้ยินเรื่องพวกนี้แล้ว ก็อดจิ๊ปากไม่ได้ “ชื่อเสียงของจั่วเสี่ยนหลินถือว่าเลวร้ายเป็นอย่างมาก” ก็ไม่แปลกที่องค์หญิงเก้าจะยอมทำให้ฮองเฮาทรงกริ้วเสียยังดีกว่าจะยอมแต่งงานออกไป แล้วก็ไม่แปลกที่ตระกูลพอมีฐานะจะไม่ยินยอมยกลูกสาวให้แต่งงานกับจั่วเสี่ยนหลิน จนฮองเฮาถึงขั้นต้องเอามาโยนให้องค์หญิงเก้า
แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าจั่วเสี่ยนหลินไม่เคยพูดเรื่องแต่งงาน ถึงขั้นว่าเขาพูดไปหลายรอบแล้ว รอบแรกเป็นเพราะเรื่องที่เขาแตกแยกกับคู่นอนผู้ชายจนเกือบฆ่าตาย รอบสองด้วยอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เขาใช้ยาบำรุงกำลังยาอายุวัฒนะพวกนี้ ต่อจากนั้นมาก็อีกหลายต่อหลายครั้งที่เขาถูกปฏิเสธเพราะเหตุผลพวกนี้
ดังนั้น ในขณะที่จั่วเสี่ยนหลินยังตัวคนเดียวทั้ง ที่น้องชายของเขาเป็นพ่อคนแล้ว ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องน่าขันของคนทั่วไป
ถาวจวินหลันยิ้มแล้วนั่งครุ่นคิด ไม่รู้ว่าจั่วเสี่ยนหลินรู้สึกว่าตนเองถึงเวลาที่ควรจะต้องแต่งงานแล้วหรือไม่? ดังนั้น เขาจึงสนใจในตัวองค์หญิงเก้า? พอเป็นเช่นนี้แล้ว ก็มีความเป็นไปได้ จั่วเสี่ยนหลินเป็นคนอารมณ์รุนแรง เมื่อรู้ว่าองค์หญิงเก้ายอมแต่งงานกับคนที่ตระกูลล่มสลายยังดีกว่ายอมแต่งงานกับเขา พอโกรธขึ้นมาก็อาจจะส่งคนไปเอาชีวิตขององค์หญิงเก้าได้
บวกกับหลี่เย่เองก็พูดแล้วว่า ครั้งก่อนมือสังหารผู้นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจากเรือนของจวนเฝินหยางโหว ก็ถือว่าเป็นการยืนยันข้อสงสัยของนาง
ดูท่าแล้วจั่วเสี่ยนหลินไม่เพียงแต่จะมีปัญหามาก อีกทั้งยังใจกล้าไม่น้อยเลยทีเดียว ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เช่นนั้นในตอนนี้เขาได้พูดเรื่องแต่งงานอีกหรือไม่?” จั่วเสี่ยนหลินอายุไม่น้อยแล้ว บ้านตระกูลจั่วเองก็คงรอต่อไปอีกไม่ไหวแล้วเช่นกัน
หลิวเอินสืบมาอย่างละเอียด ดังนั้นพอถาวจวินหลันเอ่ยปากถามเรื่องนี้ขึ้น เขาจึงตอบออกมาได้ทันทีว่า “ได้ยินว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ได้รับคุณหนูที่เกิดจากอนุของจวนเพ่ยหยางโหวไปเที่ยวที่จวนของตัวเองมาสองวัน พอดีกับที่วันนั้นเฝินหยางโหวเข้ามาส่งของให้เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่พอดี”
ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ถูกใจคุณหนูที่เกิดจากอนุทั้งสองคนของจวนเพ่ยหยางโหวเช่นนั้นรึ? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าถูกใจแค่เพียงลูกสาวที่เกิดจากภรรยาเอกรึ? ตอนนี้ดูท่าแล้ว น่าจะร้อนใจจนลดคุณสมบัติไปแล้ว”
“จวนเพ่ยหยางโหวมีปฏิกิริยาอย่างไร?” ถาวจวินหลันถามต่อ
หลิวเอินส่ายหัว “ไม่มีปฏิกิริยาเช่นไรขอรับ ข่าวของจวนเพ่ยหยางโหวก็สืบได้ไม่ง่ายนัก บ่าวไม่กล้าทำให้ใหญ่จนเกินไป”
ถาวจวินหลันพยักหน้าแล้วมองเขาอย่างชื่นชม “ทำถูกแล้ว จะให้เรื่องนี้มาทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างพวกเราทั้งสองจวนไม่ได้” ส่วนเรื่องท่าทีของจวนเพ่ยหยางโหวนั้น นางไปถามด้วยตัวเองได้
ในเมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันจึงเดินทางไปจวนเพ่ยหยางโหวเพื่อพบเพ่ยหยางโหวฮูหยินสักครั้ง แน่นอน แจ้งว่าเป็นการเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านแม่
ส่วนการที่อยู่ ๆ ถาวจวินหลันก็กลับมาเยี่ยมนั้น แน่นอนว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินรู้สึกแปลกใจ ทว่าก็ยังจัดงานเลี้ยงต้อนรับลูกสาวกลับมาเยี่ยมบ้านแม่
หลังจากถาวจวินหลันกับบรรดาสะใภ้พบหน้ากันแล้ว นางก็ยิ้มแล้วถามเพ่ยหยางโหวฮูหยินไปว่า “ทำไมถึงไม่เห็นน้องสาวอีกสองคนเจ้าคะ?”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินชะงักไป คิดว่าถาวจวินหลันอยากพบลูกสาวที่เกิดจากอนุสองคนนั้น จึงยิ้มแล้วสั่งให้สาวใช้ไปตามตัวมา
ถาวจวินหลันพิจารณาดูทั้งสองคน จากนั้นก็อดยิ้มบาง ๆ ไม่ได้ “พริบตาเดียวก็กลายเป็นสาวกันแล้ว น้องสาวทั้งสองได้จัดการเรื่องแต่งงานแล้วหรือไม่เจ้าคะ?” ประโยคหลังนั้นนางเอ่ยปากถามเพ่ยหยางโหวฮูหยิน
เพ่ยหยางโหวฮูหยินชะงักไป มองไปทางคุณหนูทั้งสองคนที่ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย แล้วส่ายหัวเบาๆ รู้สึกอึดอัดในใจ ทำไมถึงได้ถามคำถามเช่นนี้กะทันหัน?
ถาวจวินหลันเห็นว่าท่าทีของเพ่ยหยางโหวฮูหยินดูไม่เป็นธรรมชาติ เพียงแต่นางไม่ค่อยมั่นใจ จึงเอ่ยปากพูดออกไปว่า “น้องสาวทั้งสองอยู่ตรงนี้ก็จะเขินอายไปเสียเปล่า กลับไปที่เรือนก่อนเถิด”
นี่ถือเป็นการพูดให้คนอื่นออกไปก่อน เพ่ยหยางโหวฮูหยินดูเหมือนจะเดาออกแล้ว จึงยิ้มบางๆ แล้วมองไปทางคุณหนูสองคนนั้น “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด” พอทั้งสองคนออกไปแล้ว เพ่ยหยางโหวฮูหยินถึงพูดถึงความสงสัยในใจออกมา “คนเป็นพี่สาวอย่างเจ้า คิดอยากจะพูดเรื่องแต่งงานของน้องสาวตัวเองเช่นนั้นรึ?”
ถาวจวินหลันยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า รอจนกระทั่งเพ่ยหยางโหวฮูหยินรู้สึกงุนงงไปหมด นางถึงได้พูดออกมาว่า “ข้าได้ยินมาว่าบ้านตระกูลจั่วคิดอยากจะขอลูกสาวของจวนเพ่ยหยางโหว จึงตั้งใจจะมาถามเรื่องนี้ หากว่ายังไม่มี ข้าก็มีคนอยู่คนหนึ่ง อยากแนะนำให้กับท่านแม่เจ้าค่ะ”
ที่เรียกว่าท่านแม่นั้น แน่นอนว่าก็เพื่อแสดงความสนิทสนมระหว่างนางกับจวนเพ่ยหยางโหว
ใบหน้าของเพ่ยหยางโหวฮูหยินกลับแสดงความตกใจอย่างมาก “เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่รึ? ทำไมข้ากลับไม่รู้อะไรเลย?”
ถาวจวินหลันแสดงท่าทีแปลกใจออกมา แล้วมองไปทางเพ่ยหยางโหวฮูหยิน “จะเป็นไปได้อย่างไร? เรื่องนี้เป็นข่าวที่จวนเฝินหยางโหวเผยแพร่ออกมา น่าจะไม่มีทางผิดพลาด” แน่นอนว่าความจริงนั้นไม่เหมาะที่จะพูดออกไปตรง ๆ ดังนั้นนางจึงโกหกออกไปเช่นนี้ ส่วนเรื่องที่นางรู้เรื่องของจวนเฝินหยางโหวได้อย่างไรนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินฟัง
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าตอนนี้เพ่ยหยางโหวฮูหยินไม่สนใจเรื่องนี้ ความคิดของนางนั้นถูกเรื่องที่ถาวจวินหลันพูดขึ้นมาดึงดูดไปจนหมดสิ้น
ไม่เพียงแต่เพ่ยหยางโหวฮูหยินแสดงสีหน้าตกใจ แม้แต่สะใภ้ทั้งสี่คนก็ยังแสดงอาการตกใจไม่แพ้กัน
ถาวจวินหลันมองไปที่ใบหน้าของทุกคน ใบหน้าของนางมีรอยยิ้มบางๆ สุดท้ายแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ “เหตุใดท่านแม่ถึงไม่รู้เรื่องนี้เจ้าคะ?”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินรู้สึกตัว น้ำเสียงแสดงความมั่นใจ “เรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องโกหก! มิเช่นนั้นข้าจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
ในตอนนั้นเองก็มีคนเอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงแสดงถึงความสงสัย “ไม่ใช่เรื่องที่วันนั้นเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่มาพาน้องหญิงทั้งสองคนไป…”
ถาวจวินหลันมองไปแล้ว คนที่เอ่ยปากพูดนั้นก็คือภรรยาของหยางเจิ้นหนิงลูกชายคนที่สี่ แล้วนางก็ลอบหัวเราะในใจคิดว่า ช่างเฉลียวฉลาดจริงๆ แค่ครู่เดียวก็เดาออกแล้ว
สีหน้าของเพ่ยหยางโหวฮูหยินเปลี่ยนเป็นโกรธทันที พูดจริงๆ แล้ว แม้ว่านางจะไม่ชอบลูกสาวที่เกิดจากอนุสองคนนั้นนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะเอาพวกนางทั้งสองมาเป็นที่ระบายอารมณ์ อีกทั้งเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ทำเช่นนี้ ก็แสดงว่าไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตา ท่าทีเช่นนี้ ทำราวกับไม่เห็นจวนเพ่ยหยางโหวอยู่ในสายตาอย่างไรอย่างนั้น นางรับไม่ได้จริงๆ
เพ่ยหยางโหวฮูหยินกำผ้าในมือแน่น เม้มปากไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ถาวจวินหลันนั่งดูอยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดเสริมไปว่า “จริง ๆ แล้วเครือญาติแต่งงานกันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าจั่วเสี่ยนหลินของจวนเฝินหยางโหวไม่ใช่คนที่พึงพาได้ ข้ารู้สึกไม่วางใจ จึงได้มาถามด้วยตัวเอง”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินได้ยินชื่อเสียงของหนุ่มผู้นี้มาเป็นอย่างดี อีกทั้งเรื่องที่อยู่ ๆ ผู้ชายของจวนเฝินหยางโหวถูกฆ่าตายในคืนเดียวนั้น นางเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ จวนเฝินหยางโหวนั้นนอกจากคังอ๋องจะได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ก็ไม่มีทางพลิกกลับมามีอำนาจได้อีกแล้ว ถึงขั้นว่า หากต่อไปคังอ๋องไม่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้…เช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีอนาคตที่ดีเป็นแน่
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็มองไปทางถาวจวินหลันอย่างสับสน แล้วก็นิ่งเงียบอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดอย่างมั่นใจว่า “เฝินหยางโหวไม่ใช่คนดี แม้ว่าผู้หญิงจากจวนเพ่ยหยางโหวจะไม่ได้แต่งงานไปตลอดชีวิต ก็ไม่มีทางยอมแต่งงานกับคนเช่นนั้นป็นแน่”
ที่เพ่ยหยางโหวฮูหยินพูดออกมาอย่างขึงขังเช่นนี้ ข้อแรกก็เพื่อแสดงท่าทีของตัวเอง ข้อสองก็เพื่อระบายอารมณ์โกรธออกมา
สักพัก เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็สั่งลูกสะใภ้สี่ของตัวเอง “ไป ไปตามคุณหนูทั้งสองคนมา”
ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจว่า เพ่ยหยางโหวฮูหยินจะต้องรู้เรื่องนี้อย่างชัดเจนให้ได้
แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ รอจนกระทั่งคุณหนูทั้งสองคนนั้นเข้ามาแล้ว เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็เอ่ยปากถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าจะถามพวกเจ้า ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเจ้าไปเป็นแขกที่จวนเหิงกั๋วกง มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษหรือไม่?”
คุณหนูทั้งสองทำหน้างุนงง อีกทั้งยังถูกเพ่ยหยางโหวฮูหยินทำให้ตกใจจนเสียงสั่น “ท่านแม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ? หลังจากที่พวกเราไปถึงแล้ว ก็ได้แต่พูดคุยเป็นเพื่อนกับฮูหยินใหญ่เท่านั้น ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นพิเศษ”
“พวกเจ้าได้พบกับผู้ชายจากที่อื่นหรือไม่?” เพ่ยหยางโหวฮูหยินสูดหายใจเข้าลึกแล้วถาม โดยครั้งนี้ถามออกมาตรงๆ
คุณหนูทั้งสองคนหน้าแดง จากนั้นดวงตาก็เป็นประกายวาบ
ดูจากท่าทีเช่นนี้แล้ว เพ่ยหยางโหวฮูหยินจะยังไม่เข้าใจอะไรอีก จึงได้โกรธเป็นอย่างมาก “ได้เจอแล้วใช่หรือไม่?”
“ก็มีเพียงแค่เฝินหยางโหวเข้ามาเยี่ยมฮูหยินใหญ่เท่านั้น พวกเราหลบหลีกไม่ได้จึงทักทายกันไป” หนึ่งในนั้นพอเห็นว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินโกรธมาก จึงไม่กล้าปิดบังอะไรอีก รีบพูดเรื่องทั้งหมดรวมทั้งรายละเอียดต่างๆ ออกมาอย่างชัดเจน “ในตอนนั้นเฝินหยางโหวยังพิจารณาดูพวกเรา จากนั้นก็ออกไปพูดคุยตามลำพังกับฮูหยินใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลย”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกดความโกรธลงไป แล้วพูดเนิบๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนนับตั้งแต่วันนี้ไป ห้ามออกไปที่ใด อีก อยู่แต่ในเรือนเรียนหนังสือและเรียนงานเย็บปักก็พอ”
คุณหนูทั้งสองคนต้องมารับโทษทั้งที่ไม่ได้ทำผิดอะไร แต่พวกนางก็ไม่กล้าอธิบาย ได้แต่กลับออกไปด้วยความรู้สึกสงสัย
ต้องรู้ด้วยว่า โดยปกติแล้วเพ่ยหยางโหวฮูหยินไม่ถือว่าสนิทสนมกับพวกนางเท่าไหร่นัก แต่ก็ทำดีกับพวกนางมาโดยตลอด เทียบกับลูกสาวที่เกิดจากอนุจากบ้านอื่นแล้ว พวกนางก็ถือว่ามีวาสนา วันนี้พอเพ่ยหยางโหวฮูหยินทำเช่นนี้ก็ทำให้พวกนางทั้งสองคนไม่สบายใจขึ้นมาทันที ต่างก็รีบคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดไป กลัวว่าจะทำให้ท่านแม่ใหญ่โกรธแล้วจะไม่เป็นผลดีอะไรต่อตัวพวกนางเอง
ส่วนที่พวกนางไม่รู้ก็คือ หลังจากผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า “รีบหาคนที่เหมาะสม แล้วหมั้นหมายให้พวกนางทั้งสองคนเสีย”