บทที่ 389 เตือน
ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยปากพูดออกมาในเวลาที่เหมาะสม “จริงๆ ข้ารู้จักคนผู้หนึ่ง ใช้ได้เลยทีเดียว ไม่รู้ว่าท่านแม่จะพอใจหรือไม่”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินพยักหน้า ปรับสีหน้าท่าทางของตัวเองให้ดีแล้ว ก็พยายามทำท่าทีอ่อนโยนโดยไม่ให้หลงเหลือความโกรธอยู่บนใบหน้า “เจ้าลองพูดให้ข้าฟังเถิด” เพื่อเป็นการแสดงความสนิทสนม น้ำเสียงของเพ่ยหยางโหวฮูหยินจึงอ่อนโยนและฟังดูสบายๆ ทั้งสองคนพูดคุยกันเช่นนี้ ก็เหมือนกับทั้งคู่เป็นแม่ลูกกันจริงๆ
“ลูกศิษย์ผู้หนึ่งของใต้เท้าเฉิน ชื่อว่ากู่ลิ่งจือ ถึงแม้ชาติตระกูลจะไม่สูงส่งนัก แต่ก็ถือว่ามีชาติมีตระกูล ที่สำคัญก็คือนิสัยใจคอและความสามารถของเขาค่อนข้างดี ได้ยินท่านอ๋องทรงตรัสว่า ฮ่องเต้ทรงรู้สึกพอพระทัยในตัวเขา แต่ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยแต่งงานมาแล้ว ตอนนี้อายุก็สามสิบกว่า ทั้งยังมีลูกชายอีกหนึ่งคน” ถาวจวินหลันมองเพ่ยหยางโหวฮูหยิน “จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเป็นลูกสาวของบ้านเราก็ได้ ที่ข้ามาพูดก็เพื่อต้องการให้ท่านแม่ช่วยข้าคิดว่า ยังมีลูกสาวตระกูลไหนเหมาะสมอีกบ้าง”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินลังเล ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หากว่าแค่เคยแต่งงานมาก่อนแล้วก็ช่างเถิด แต่นี่ยังมีลูกชายแล้ว จำต้องพูดว่า…”
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของเพ่ยหยางโหวฮูหยิน จึงพยักหน้า “เช่นนี้หากแต่งงานไปจะต้องลำบาก ถึงอย่างไรเป็นแม่เลี้ยงก็ไม่ง่าย อีกทั้งเกรงว่าต่อไปจะเกิดเรื่อแย่งชิงสมบัติกันขึ้น แล้วก็เป็นเพราะเหตุนี้ กู่ลิ่งจือจึงหาคนที่เหมาะสมได้ยาก ข้าถึงคิดอยากจะช่วยเหลือเขาเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันส่งสายตาให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินแสดงความหมายว่า ‘ท่านน่าจะเข้าใจ’
เพ่ยหยางโหวฮูหยินเข้าใจทันที “เจ้าอยากได้ใต้เท้ากู่มาเป็นพวกด้วยวิธีนี้”
ถาวจวินหลันพยักหน้า กระซิบเสียงเบา “ช่วงนี้ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอยากจะเปลี่ยนผู้ว่าการเมืองหลวงหรือเจ้าคะ? ข้ารู้สึกว่ากู่ลิ่งจือมีโอกาสได้เป็นสูงมาก ถึงอย่างไร ชื่อเสียงของใต้เท้าเฉินก็เป็นที่รู้กันทั่ว แล้วเขายังเป็นลูกศิษย์ที่ใต้เท้าเฉินภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก”
ใต้เท้าเฉินได้รับความไว้วางใจมากมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างยอมรับ ตอนนี้ลูกชายทั้งสามคนของใต้เท้าเฉินต่างก็มีตำแหน่งที่สำคัญ จึงไม่มีทางมาแย่งชิงตำแหน่งนี้อย่างแน่นอน แต่ว่าจากชื่อเสียงและความสามารถของใต้เท้าเฉินแล้ว หากลูกศิษย์ของเขาจะได้รับตำแหน่งนี้ไป ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร
เพ่ยหยางโหวฮูหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็พยักหน้า “เรื่องนี้ให้เวลาข้าคิดทบทวนดูก่อน ถึงแม้ลูกสาวของจวนเราจะไม่ได้ แต่ข้าก็รู้จักกับตระกูลที่มีลูกสาวถึงวัยเหมาะแต่งงานมากมาย ถึงอย่างไรก็จะต้องมีสักคนที่เหมาะสม”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็รู้ได้ว่าเรื่องภรรยาของกู่ลิ่งจือเป็นอันเสร็จเรียบร้อย จึงยิ้มออกมา “ขอบคุณท่านแม่มากเจ้าค่ะ”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินฝืนยิ้ม จากนั้นก็ถอนใจทันที “กลับเป็นข้าที่ต้องขอบใจเจ้า ไม่อย่างนั้นก็คงถูกคนอื่นเล่นงานโดยที่ข้าไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย”
ถาวจวินหลันเองก็ถอนใจเบาๆ “จริงๆ ที่ข้ามาในวันนี้ ข้ายังมีเรื่องอยากพูดคุยกับท่านแม่เป็นการส่วนตัว”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินได้ยินแล้ว ก็สั่งให้สะใภ้ทั้งสี่คนออกไป “พวกเจ้าไปดูในครัวก่อน อากาศร้อนเช่นนี้บอกให้พวกเขาทำอาหารที่กินแล้วสดชื่นหน่อย อย่าใส่น้ำมันเยอะ เดี๋ยวจะมันเลี่ยนจนเกินไป”
พอทุกคนออกไปแล้ว เพ่ยหยางโหวฮูหยินจึงมองมาทางถาวจวินหลัน
ถาวจวินหลันค่อยๆ ถอนใจออกมาเบาๆ ทำท่าทีเคร่งขรึมแล้วพูดขึ้นว่า “ครั้งก่อนที่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ถึงแม้ว่าจะเรียกให้ท่านพี่สี่มาแล้ว แต่ก่อนหน้าที่ท่านพี่สี่จะเข้ามา จริงๆ แล้วคนงานผู้นั้นก็พูดอะไรออกมาไม่น้อย ทุกคำพูดต่างทำให้อดคิดไม่ได้ว่าจวนเพ่ยหยางโหวเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินพลันทำหน้าเคร่งขรึม เพิ่งจะยกแก้วชาขึ้นมาก็วางลงไปทันที จากนั้นก็พูดอย่างโกรธแค้นว่า “พวกบ่าวสารเลว สมควรตายเสียจริง! ไว้ชีวิตเอาไว้ถึงทุกวันนี้ถือว่าเป็นอันตราย!”
ถาวจวินหลันเองก็คิดเช่นนั้น
“เช่นนั้นตวนอ๋อง…” ถึงแม้เพ่ยหยางโหวฮูหยินจะเข้าใจว่าตวนอ๋องไม่มีทางเชื่อ แต่ก็อดไม่สบายใจไม่ได้ หากเชื่อจริงๆ ไม่เท่ากับเกิดรอยแผลอยู่ในใจหรอกหรือ?
ถาวจวินหลันส่ายหน้าเล็กน้อย แต่กลับตั้งใจถามออกไปว่า “วันนี้ข้าขอให้ท่านแม่พูดความจริงกับข้า เรื่องนั้น ท่านแม่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแม้แต่น้อยจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะทันที แล้วพูดด้วยความสัตย์จริง “เรื่องนั้นข้าไม่มีส่วนรู้เห็นเลยแม้แต่น้อย! จวนเพ่ยหยางโหวจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไรกัน? เจ้าเป็นลูกสาวบุญธรรมของข้า แล้วข้าจะต้องทำร้ายเจ้าไปเพื่ออะไรกัน?”
“ตอนนี้อยู่ๆ ท่านอ๋องก็ทรงหายเป็นปกติ มีคนไม่น้อยเตรียมการจะลงมือทำเรื่องเลวร้าย พวกเราเองก็รู้สึกกลัวอยู่เช่นกัน” ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างขมขื่น “แล้วก็มีคนไม่น้อยที่สร้างเรื่องว่าพวกเรากับฮองเฮาและคังอ๋องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน ช่างมีจิตใจต่ำช้าเหลือเกิน”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินเลิกคิ้ว น้ำเสียงฟังดูขุ่นเคืองใจ “หรือว่าตวนอ๋องทรงสงสัยว่าพวกเรามีความคิดเช่นนี้?” สักพักก็รีบอธิบายว่า “แม้ว่าข้ากับฮองเฮาจะไม่ลงรอยกัน แต่ข้าก็ไม่กล้าทำเรื่องเสี่ยงเช่นนี้ แล้วยิ่งไม่มีทางเอาตัวเองไปสอดอยู่ตรงกลางมิใช่หรือ? เจ้าไม่รู้หรอกว่า ฮ่องเต้ทรงตำหนิท่านพ่อบุญธรรมของเจ้าไปแล้ว พวกเราเองก็เดือดร้อนไปไม่น้อยเช่นกัน หากว่าพวกเราเป็นคนลงมือทำจริงๆ แล้วทำไมพวกเราถึงต้องกลายเป็นเช่นนี้ด้วยรึ?”
ท่าทีร้อนอกร้อนใจของเพ่ยหยางโหวฮูหยิน ทำให้ถาวจวินหลันอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ “ทำไมข้าจะไม่รู้? ท่านอ๋องเองก็ทรงเชื่อเช่นกัน ข้าแค่กลัวว่าหากเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก ถึงตอนนั้นข้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าต้องการยื่นมือมายุ่งเรื่องของฝั่งท่านแม่ แต่เป็นเพราะข้ารู้สึกว่าท่านแม่ควรจะตรวจสอบคนข้างกายของท่านแม่ให้ดี อย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก”
เพ่ยหยางโหวฮูหยินกัดฟัน “เป็นเช่นนั้น ตอนแรกข้าคิดอยู่ว่าจะแสดงจุดยืนที่แท้จริงออกมาไม่ได้ แต่ตอนนี้พอมองดูแล้ว หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะถูกคนรังแกจนไม่เหลืออะไรเลย!”
ตอนที่เพ่ยหยางโหวฮูหยินพูดออกมานั้น จำต้องพูดว่าน้ำเสียงมีความเสียใจอยู่ ต้องรู้ด้วยว่า ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนของจวนเหิงกั๋วกง ที่นั่นเป็นบ้านแม่ของนาง จะตัดความสัมพันธ์กับบ้านแม่ของตัวเอง เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงจนไม่สามารถอธิบายได้ อีกทั้งถูกบ้านแม่ของตัวเองเล่นงานเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ชวนให้รู้สึกดีใจและสบายใจได้
ถาวจวินหลันรู้สึกว่า เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ก็ทำเกินไป ถึงแม้จะเป็นลูกสาวที่เกิดจากอนุ แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็นคุณหนูของจวนเหิงกั๋วกง ไม่เพียงแต่ไม่ไว้หน้า แต่กลับทำเช่นนี้…ก็ไม่แปลกที่เพ่ยหยางโหวฮูหยินจะแปรพักตร์จากจวนเหิงกั๋วกง
แล้วก็ไม่แปลกที่ถึงแม้เพ่ยหยางโหวฮูหยินจะไม่ชอบลูกสาวที่เกิดจากอนุ แต่นางก็ปฏิบัติอย่างดีกับคุณหนูทั้งสองคนนั้นมาโดยตลอด
ถาวจวินหลันถอนใจ เรื่องที่นางพูดในวันนี้ ถึงแม้จะตั้งใจพูดเพื่อให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินกับบ้านแม่แตกแยกกัน แต่หากไม่มีลม ควันไฟพวกนี้ก็ไม่มีทางโหมขึ้น เกรงว่าในใจของเพ่ยหยางโหวฮูหยินคงรู้สึกขุ่นเคืองและทุกข์ใจมาตั้งนานแล้ว
“ต่อไปท่านแม่อยู่ห่างจากจวนเฝินหยางโหวเอาไว้จะดีกว่า” ถาวจวินหลันเตือนอีกครั้ง “หากว่าต้องไปแปดเปื้อนเข้า ถึงตอนนั้นจะลบอย่างไรก็ลบออกไปไม่ได้ คนเลวอย่างเฝินหยางโหว ไม่ใช่ลูกเขยที่ดีแน่นอน อีกทั้ง ไม่แน่ว่าทางฝั่งฮองเฮา…” ก็อาจจะยื่นมาเข้ามายุ่ง ถึงตอนนั้นฮองเฮาทรงออกหน้าว่าจะเป็นแม่สื่อให้ แล้วใครจะกล้าปฏิเสธ
ท่าทีของเพ่ยหยางโหวฮูหยินดูเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ขอบใจเจ้ามากที่มาเตือน เรื่องนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
ถาวจวินหลันพยักหน้า ต่อจากนั้นก็ไม่ได้พูดเรื่องวุ่นวายใจพวกนี้อีก ต่างเปลี่ยนเรื่องคุยและไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้
เพียงแต่ตอนที่ถาวจวินหลันกลับมาถึงเรือนเฉินเซียงนั้น ถึงได้รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนอยู่รับประทานอาหารที่เรือนเฉินเซียง
ตอนที่หงหลัวพูดเรื่องนี้ สีหน้าก็ปกปิดความรังเกียจเอาไว้ไม่อยู่
ถาวจวินหลันจิ้มไปที่ปลายจมูกของนาง “ท่าทีของเจ้าเช่นนี้อย่าให้ใครมาเห็นเอาได้”
หงหลัวพยักหน้ารับคำ แล้วยังขมวดคิ้วและถามว่า “ชายารองควรหาวิธีจัดการเสียหน่อย เป็นเช่นนี้ทุกวัน เห็นแล้วไม่สบายใจจริงๆ เจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันหัวเราะ “มีอะไรให้เจ้าไม่สบายใจกัน แดดร้อนเช่นนี้ นางอยากเดินมาไม่กลัวแดดเผาไม่กลัวเหนื่อยก็ตามใจนาง ข้าแค่รอดูละครสนุกๆ เท่านั้น” ถึงอย่างไรเจียงอวี้เหลียนก็ไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งจนเกินไป อีกทั้งสำหรับหลี่เย่แล้ว ที่เจียงอวี้เหลียนทำเช่นนี้ เขาอาจจะรำคาญเสียด้วยซ้ำ
เกรงว่าในใจของหลี่เย่คงจะไม่สบอารมณ์มานานแล้ว
เป็นดั่งที่คิด กลางคืนหลี่เย่ก็พูดเนิบๆ ว่า “ในเมื่อเสด็จพ่อทรงประทานบ้านพักที่มีน้ำพุร้อนให้ พวกเราก็ไปดูเสียหน่อยดีหรือไม่ ที่นั่นยังอยู่ใกล้กับวังหลวง ทหารรักษาความปลอดภัยก็แน่นหนา อีกทั้งยามนี้อากาศก็ค่อยๆ ร้อนบ้างแล้ว มีคนไม่น้อยวางแผนออกไปหลบร้อนกัน”
ถาวจวินหลันตั้งใจกลั่นแกล้ง จึงยิ้มแล้วถามเขาว่า “พวกเราไปกันแค่สองคนคงจะไม่คึกคักนัก สู้พาคนอื่นๆ ในจวนอ๋องไปด้วยกันดีหรือไม่? ถึงอย่างไรบ้านพักก็กว้างใหญ่ ไม่ต้องกลัวว่าที่จะไม่พอคนอยู่ ถือว่าจะได้พาทุกคนไปดูอะไรใหม่ๆ บ้าง”
หลี่เย่พูดอย่างหนักแน่นว่า “พวกเราไปกันแค่สองคนก็พอ พาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูไปด้วย ก็ถือว่าคึกคักพอแล้ว หากว่าไม่ได้ ก็พาจิ้งหลิงกับถาวจือไปด้วย ส่วนเจียงซื่อก็ให้นางอยู่คอยดูแลจวนอ๋อง ปีหน้าข้าค่อยพานางไป ก็ถือว่ายุติธรรมแล้ว” ส่วนปีหน้าเขาจะมีเวลาว่างเช่นนี้หรือไม่ นั่นก็ไม่สามารถรู้ได้แล้ว
ถาวจวินหลันได้แต่ยิ้มแล้วไม่พูดอะไร มองหลี่เย่อย่างหยอกล้อ
หลี่เย่ถูกถาวจวินหลันมองจนรู้สึกไม่สบายใจ จึงถอนใจและยอมรับ “ช่างเถิด เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายของข้าอีกหรือ? ที่นางมาเช่นนี้ดูไม่เหมาะสมนัก แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์ ข้าจะไม่ไว้หน้านางก็คงไม่ได้”
ถาวจวินหลันพยักหน้า และไม่พูดล้อเล่นต่อ “ที่นางทำเช่นนี้ดูไม่เหมาะสมจริงๆ แต่ว่าข้ากับนางต่างเป็นชายารอง ข้าจะไปว่ากล่าวอะไรนางไม่ได้ แยกตัวออกไปเช่นนี้ก็ดี จะได้ทำให้นางเข้าใจขึ้นมาบ้าง”
หลี่เย่พยักหน้า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้”
ดังนั้นเรื่องไปพักผ่อนหลบร้อนจึงกำหนดตามนี้ ถาวจวินหลันรู้ดีว่า ที่หลี่เย่แยกตัวออกไปสักพักถือเป็นแผนการที่ดี อีกทั้งตอนนี้เขายังต้อง ‘ฟื้นฟูร่างกาย’ จึงต้องแสดงท่าทีให้ผู้อื่นดูเสียหน่อย
“เดาว่าหลังจากพวกเรากลับมาแล้ว พวกเราก็จะได้รับอะไรดีๆ อีกแล้ว” หลี่เย่ยิ้ม หรี่ตาลงราวกับจิ้งจอกที่กำลังวางแผนสักอย่าง
ถาวจวินหลันมองเขาอย่างงุนงง แต่เขากลับไม่ยอมอธิบาย “ถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถาวจวินหลันจึงได้แต่ปล่อยให้ผ่านไป คิดอยู่สักพักก็ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เช่นนั้นเชิญองค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าไปด้วยดีหรือไม่ จิ้งผิงก็ต้องฟื้นฟูร่างกาย องค์หญิงเก้าก็เพิ่งจะหายดี หากเปลี่ยนบรรยากาศแล้วอาจจะอารมณ์ดีขึ้น แล้วก็จะยิ่งหายเร็วขึ้น”
หลี่เย่ครุ่นคิดอยู่สักพัก “ก็จัดการเช่นนี้เถิด แต่ไม่รู้ว่าน้องเขยแปดจะมีเวลาหรือไม่”
พระสวามีขององค์หญิงแปดทำงานอยู่กับฮ่องเต้ ถือว่าได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างมาก โดยปกติแล้วจะมีเวลาว่างน้อยมาก
จากนั้นหลี่เย่ก็พูดต่อว่า “ในเมื่อจะออกไปสักพัก อย่างน้อยก่อนจะออกไปเจ้าก็ควรเข้าวังไปถวายพระพรไทเฮาแทนข้าเสียหน่อย จะได้ทำให้ผู้ใหญ่วางใจเรื่องอาการบาดเจ็บของข้า”
ถาวจวินหลันยิ้มแล้วรับคำ “พอดีข้าจะได้พาซวนเอ๋อร์ไปด้วย เกรงว่าไทเฮาคงคิดถึงซวนเอ๋อร์ ถึงอย่างไรก็จะต้องไปอยู่ที่นั่นสักพัก”
หลังจากปรึกษาหารือกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมา แม้แต่เรื่องจะเอาอะไรไปบ้างก็ปรึกษากันเป็นอันเรียบร้อย
พอทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว ถาวจวินหลันถึงสั่งให้คนแจ้งเรื่องนี้ออกไป…เพื่อเป็นการปกปิดและหลอกผู้อื่น นางยังพาอี๋เหนียงในจวนอ๋องไปด้วย