การเดินบนถนนนับสิบไมล์มันไม่ได้มากอะไรเลยสำหรับเฉินเฉินที่เกิดในหมู่บ้าน หลังจากผ่านไปประมาณชั่วโมงหนึ่ง เขาก็สามารถไปยังเมืองของมณฑลเสฉวนได้
มณฑลเสฉวนไม่ได้เป็นมณฑลที่ใหญ่อะไร มันไม่มีแม้แต่กำแพงเมือง ในตอนกลางคืนนอกจากสถานบันเทิง สถานที่แห่งอื่นต่างจมอยู่ในความมืด
“มันมีอะไรล้ำค่าอยู่แถวนี้ไหม?”
เฉินเฉินปรากฏตัวขึ้นในสถานที่บันเทิง ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คน และเขากำลังใช้งานระบบตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
เขาไม่ได้วางแผนที่จะไปสถานที่ที่คนยากจนอยู่กัน เขาไม่น่าจะหาของที่ร่ำรวยได้
“มันไม่มีอะไรในระยะสิบเมตรนี้”
“มันมีอะไรล้ำค่าอยู่แถวนี้อีกไหม?”
“ห้าเมตรด้านหน้า มีหยกที่หล่นอยู่ตรงนั้น”
ได้รับจี้หยกที่สูญหาย +1
“มันมีอะไรล้ำค่าอยู่แถวนี้ไหม?”
….
“สามเมตรด้านหน้า ตรงรอยต่อของถนน มีเหรียญทองแดงตกอยู่”
…
“สองเมตรด้านหน้า ด้านข้างกำแพง มีเหรียญเงินตกอยู่จำนวนหนึ่ง”
….
“ห้าเมตรด้านหน้า มีที่คาดผมประดับมุกหล่นอยู่”
…
“ในพุ่มไม้ด้านหน้ามีหญ้ากลายพันธุ์อยู่”
….
ในค่ำคืนเดียว เฉินเฉินได้เดินไปมาตลอดหลายชั่วโมง ก่อนจะถึงฟ้าสาง เขาก็มีกระเป๋าอีกใบอยู่บนหลังเขา ด้านในมันเต็มไปด้วยของหลายต่อหลายอย่าง ซึ่งมันต่างเป็นของที่มีค่าซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าร้อยเหรียญ!
ด้านในนั้นมันยังมีเงินมากกว่าอีกยี่สิบเหรียญเงิน! เมื่อเทียบกับยี่สิบเหรียญเงินนี้แล้ว เหรียญทองแดงพวกนี้มันก็ไม่ได้มีค่ามากอะไรเท่าไหร่
ภายในมณฑลเสฉวน หนึ่งตำลึงเงินมีค่าเท่ากับหนึ่งพันทองแดง ในอีกความหมายหนึ่ง จำนวนเงินที่เขาหยิบมาตอนกลางคืนก็พอที่จะเลี้ยงชาวนายี่สิบครอบครัวได้แล้ว
‘เมืองแห่งนี้มันร่ำรวยมากจริงด้วย แค่ของหล่นหายในเมืองก็มากพอที่จะหาของกินยัดท้องให้กับชาวบ้านได้แล้ว’ เฉินเฉินคิด ในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกมีความสุข เมื่อเขาไม่ได้อยู่ในโลกที่ต้องใช้คิวอาร์โค้ดในการสแกนจ่ายเงินอีก ไม่อย่างงั้นแล้ว เขาคงจะหาเงินที่ตกลงอยู่บนพื้นไม่ได้
‘การเก็บเงินแบบนี้มันทำได้เพียงแค่ครั้งเดียวนี่สิ ฉันกลัวว่าของพวกนี้มันเป็นของที่หายมาไปหลายสิบปีแล้วในมณฑลเสฉวน’
เขาก็ส่ายหัว เฉินเฉินก็เดินกลับไปยังหมู่บ้านหิน
ในเวลาเดียวกัน เขากังวลว่าจะโดนปล้นอย่างมาก
…
ยังไงก็ตาม เฉินเฉินก็คิดมากเกินไป ถึงแม้ว่าเขาจะแบกของมีค่ามาหลายอย่าง ชุดที่เขาแต่งมันก็ไม่ได้แสดงออกให้เห็นว่าเป็นคนรวยเลยสักนิด
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะเดินสวนกับคนจำนวนมากก็ตามที ตลอดทางการไปยังเมืองหิน มันก็ไม่มีใครแทบจะเหลือบมองเขาเป็นครั้งที่สองเลย
นี่ทำให้เขาคิดถึงก้อนขี้ที่เขาฝังไปก่อนหน้านี้
‘เห้ย! ฉันคิดบ้าอะไรกันอยู่วะเนี่ย! ฉันไม่ต้องคิดอะไรเกี่ยวกับก้อนอุจจาระนั่นแล้ว!’ เฉินเฉินบ่นกับตัวเอง เมื่อเขากลับไปถึงบ้าน มันกลับกลายเป็นว่าพ่อแม่ของเขายังกลับมาไม่ถึงบ้าน
ปกติแล้ว พวกเขาคงจะออกกันไปทำนากันในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไร่นาถูกน้ำท่วมอยู่ แล้วพวกเขาไปอยู่ไหนกัน?
เขาก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ เฉินเฉินซ่อนของอย่างจี้หยกและที่คาดผมไว้ก่อนและหยิบแค่เงินออกมาใส่กระเป๋าตัวเอง
เมื่อเขาซ่อนของเสร็จแล้ว เขาก็เดินออกจากบ้านมาและเดินไปเคาะประตูของป้าหลี่
“เอ้อหยา ป้าหลี่อยู่บ้านไหม? เห็นพ่อแม่ฉันบ้างหรือเปล่า?”
“พี่เฉิน พ่อแม่ของพี่ถูกเรียกไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อปรึกษาอะไรกันบางอย่างหน่ะ” เอ้อหยาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก จากภายในบ้าน
เมื่อเขาได้ยินที่เธอตอบ เฉินเฉินเดินกลับเข้าบ้านและไปนั่งรออย่างเงียบๆ เขายังใช้เวลานี้ในการเดินไปให้อาหารกับเหลาเฮยอีกด้วย
เหลาเฮยเลียมือของเขาเหมือนกับที่เคยและส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ
เฉินเฉินยิ้มเมื่อเขาเห็นมัน “เจ้าหมูตัวนี้มันเข้าใจมนุษย์ได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆเลยนี่ แต่มันน่าเศร้าจริงที่เจ้าเป็นแค่หมูตัวหนึ่ง เจ้าไม่สามารถที่จะตามฉันไปเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตนได้ สุดท้ายแล้วฉันก็ไม่สามารถที่จะขี่หมูออกไปสู้ได้ เมื่อฝ่ายตรงข้ามของฉันขี่มังกร มันคงดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เจ้าคิดว่ายังไง?”
“อู๊ด อู๊ด!”
เหลาเฮยส่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่พอใจ แม้ว่ามันจะกินอาหารหมูอยู่ก็ตาม เฉินเฉินก็ไม่มั่นใจว่ามันต้องการที่จะสื่ออะไรออกมา
ในเวลาเดียวกัน คนกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าของหมู่บ้าน
เฉินเฉินสังเกตเห็นพ่อแม่ของเขาในทันที แต่สีหน้าของพวกเขาต่างดูไม่ดีกันทั้งนั้น
เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้เดินมาใกล้เฉินเฉินมากขึ้น เขาถึงได้สังเกตเห็นว่ามีชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าหรูหราอยู่ด้านหลังของพวกเขา ชายหนุ่มคนนี้มีไฝดำบนแก้มและมีท่าทางที่ดูเย่อหยิ่งมาก เขาอยู่ห่างจากคำว่า ‘ตัวร้าย’ เพียงแค่หนึ่งก้าว เขามีคนยืนคุมอยู่ด้านหลังอีกเจ็ดถึงแปดคน
ลูกน้องด้านหลังของเขาทั้งหมดต่างถือไม้ยาวกันไว้ในมือ ใบหน้าของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความดุร้าย
“มันยังเหลือตั้งอีกสามวันก่อนที่จะถึงวันที่จะต้องจ่ายเงินนี่นา ทำไมเขาถึงมาวันนี้กัน?” เฉินเฉินพึมพำ
เขารู้จักเด็กหนุ่มคนนี้ดี เขาเป็นบุตรชายคนโตของหนึ่งในสามครอบครัวใหญ่จากเมืองนี้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ หวังเฟิง ไร่นาที่ชาวบ้านจากหมู่บ้านหินทำนากันอยู่นั้นเป็นที่ของครอบครัวหวัง
ในโลกใบนี้ มันมีราชวงศ์มากมายนับไม่ถ้วน ราชวงศ์ที่เฉินเฉินอยู่นั้นมีชื่อว่าราชวงศ์จิน ซึ่งมีมณฑลอยู่ถึง 36 รัฐที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จิน ทุกรัฐต่างมีเมืองมากกว่า 12 เมืองและมณฑลเสฉวนอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐจีเมืองเฟยหยุน
เมื่อเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของมณฑล มันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเท่าไหร่ แต่พวกเขาเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในมณฑล ซึ่งเป็นบางสิ่งบางอย่างที่คนธรรมดาอย่างเขาไม่สามารถเทียบเคียงได้
แม้ว่าสามตระกูลใหญ่จะสังหารคนไปด้วยความเกรี้ยวกราด พวกเขาก็จ่ายเงินค่าปรับแค่เล็กน้อยเท่านั้น
“คุณชายหวัง พวกเราจะจ่ายเงินค่าทำนาให้กับคุณในอีกสามวันอย่างแน่นอน คุณชายไม่ต้องมาที่นี่ด้วยตัวเองหรอกครับ”
หัวหน้าหมู่บ้านที่แก่แล้วเดินตามหลังหวังเฟิงมา เขามีใบหน้าอ้อนวอนเหมือนกับสุนัขตัวหนึ่งมาก
หวังเฟิงไม่ได้สนใจอะไร เขาหัวเราะออกมา และก็พูดขึ้น “ฮ่าๆๆๆ! พวกชาวป่าอย่างพวกเจ้าจะจ่ายค่าทำนาด้วยอะไร? มันก็คงไม่ได้มีอะไรนอกจากไปขายนั่นและขายนี่ ตั้งแต่ที่พวกเจ้าต้องไปขายของอยู่ดี ถ้างั้นข้าเดินไปรอบๆ หาของที่ข้าต้องการจะดีกว่าไหม?”
“นี่มัน…ได้ครับ” หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าอย่างงุ่มง่าม
“ใครเป็นเจ้าของไก่พวกนี้กัน? เอาพวกมันกลับบ้านและไปทำซุปไก่ให้แม่ของข้าสิ” เมื่อเขาเดินผ่าน หวังเฟิงชี้ไปที่เล้าไก่ของบ้านใครสักหลัง
เมื่อได้ยินคำสั่งของเขาแล้ว ลูกน้องที่อยู่ด้านหลังเขาต่างเดินไปและแบกเล้าไก่กลับไป
“คุณชายหวัง ไก่พวกนี้จ่ายได้เท่าไหร่กันครับ?” หัวหน้าหมู่บ้านถามออกมาอย่างรีบร้อน
“มันแค่ค่าดอกเบี้ยเท่านั้นแหละ เจ้าคิดว่าเจ้าไก่พวกนี้มันมีค่ามากเท่าไหร่กัน? หื้ม? เจ้าไม่พอใจ?”
หวังเฟิงจ้องไปที่หัวหน้าหมู่บ้าน พวกนักเลงด้านหลังเขาต่างยกไม้ขึ้นมา
“ไม่…ไม่มีครับ” หัวหน้าหมู่บ้านปาดเหงื่อที่ไหลบนหน้าผาก
เขาจะกล้าไม่ตกลงได้ยังไงกัน? ถ้าเขาไม่ตกลงแล้ว ท่อนไม้เหล่านั้นคงฟาดลงมาที่ใบหน้าของเขา ตอนนี้เขามันเป็นเพียงแค่ท่อนกระดูกแก่หงำเหงือกเท่านั้น เขาจะทนพวกมันไหวได้ยังไงกัน?
สำหรับเจ้าของไก่เหล่านี้แล้ว พวกเขาต่างเงียบงัน แต่เต็มไปด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นในอกของพวกเขา
เฉินเฉินไม่ได้พูดอะไร แต่เขารู้สึกได้ว่าหวังเฟิงกำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่
หรือว่าเขากำลังมองหาสาวงามอยู่กัน?
แต่มันมีสาวงามอยู่ในหมู่บ้านบัดซบนี้ด้วยอีกเหรอ? เท่าที่เฉินเฉินคิดแล้ว ป้าหลี่และพ่อแม่ของเขาต่างกังวลกันมากเกินไป
พร้อมกับหน้าตาของเอ้อหยาแล้ว…. เอิ่ม มันคงไม่มีใครต้องการเธอหรอก
ทันใดนั้นเอง ตาของหวังเฟิงโตขึ้น และเขาส่งสัญญาณให้กับลูกน้องของเขา
ลูกน้องของเขาเข้าใจมันได้ในทันที เขาพุ่งตรงเข้าไปในบ้านและไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ลากเด็กผู้หญิงผมเปียออกมา ซึ่งมีอายุประมาณแค่สิบปีเท่านั้น
“พวกเจ้าทำอะไรกัน? ตั๋วน้อยพึ่งจะเก้าขวบเองนะ!”
ชายวัยกลางคนที่ขาพิการไปข้างหนึ่งโผล่ขึ้นจากฝูงชนและรีบเดินเข้าไปหยุดพวกเขา พยายามที่จะพาเด็กสาวกลับมา แต่เขาก็ล้มลงโดยการทุบตีจากนักเลงด้านหลังหวังเฟิง
“มันเป็นโชคดีของเธอแล้วที่คุณชายเก็บเธอไป เจ้าตะโกนหาพระแสงอะไรกัน?” นักเลงด่าออกมาอย่างเกรี้ยวกราด และมันทำให้สีหน้าของชาวบ้านทั้งหมดต่างซีดเผือด
แม้แต่เฉินเฉินยังเต็มไปด้วยความขยะแขยง เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าหวังเฟิงจะมีงานอดิเรกที่น่ารังเกียจแบบนี้
โรคจิตชะมัด!