บทที่ 159 สำหรับเธอ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 159
สำหรับเธอ

มู่หรงเสวี่ยค่อยๆลืมตาขึ้น เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เธอกำลังมึนงง เธอกะพริบตาอย่างว่างเปล่า ความเจ็บที่ท้องพุ่งขึ้นมา เธอสูดหายใจ

“เจ็บหรือเปล่า?” ชูอี้เสิ่นถามอย่างเป็นห่วง
มู่หรงเสวี่ยหันหัวทันทีและถามอย่างแปลกใจ “พี่ชู พี่มาที่นี่ได้ยังไง?”

ชูอี้เสิ่นหยิกจมูกเธอ “เธอทำฉันกลัวแทบตาย ทำไมถึงไม่ระวังเลยล่ะ?! เพื่อนนักศึกษาเธอเล่าให้ฉันฟัง…”

มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างเขินๆ “เล่นสเกตจนไม่ระวังจนเป็นแบบนี้ แล้วเพื่อนฉันล่ะคะ?”

“ฉันให้พวกเขากลับไปแล้ว ในตอนนี้แค่แฟนคนเดียวก็เพียงพอแล้ว” ชูอี้เสิ่นจับมือเธอมาจูบอย่างอ่อนโยน

มู่หรงเสวี่ยตกใจและหน้าแดง เธอรีบดึงมือกลับ “พี่ชู พี่…”

ชูอี้เสิ่นไม่สนใจ เขาแตะไปที่หัวเธอและพูดพร้อมรอยยิ้ม “จะอายอะไร? เราเป็นแฟนกันนะ…” เขาไม่อยากที่จะปล่อยมือ

ในตอนนี้ จางหลินหลี่พูดขึ้นมา “เสี่ยวเสวี่ย…”
มู่หรงเสวี่ยตกใจและพูดออกไปว่า “พี่จาง…” มันผ่านมานานมากแล้วตั้งแต่ครั้งที่พวกเขายังเป็นเพื่อนที่ดีกันแต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกแปลกๆ เธอยังมีสีหน้าเดิมแต่เธอไม่รู้สึกดีใจเหมือนช่วงเวลาที่ผ่านมา

“ไม่เจอกันนานเลยนะมู่หรงเสวี่ย ที่ท้องยังเจ็บอยู่ไหม?” จางหลินหลี่ถามอย่างอ่อนโยนโดยไม่สนใจชูอี้เสิ่นที่อยู่ข้างๆ

มู่หรงเสวี่ยยิ้มอ่อน เธอรู้สึกประทับใจพี่จางที่อ่อนโยนและเป็นมืออาชีพ “ค่ะ ไม่เจอกันนานเลย ที่ท้องก็ไม่เป็นไรค่ะ ลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันเองก็เป็นแพทย์แผนโบราณด้วยเหมือนกัน?! อีกเดี๋ยวฉันก็จะกลับไปและปรุงยาให้ตัวเอง อีกอย่างแล้วผู้ชายที่ฉันชนล่ะ? เขาเป็นอะไรหรือเปล่า?”

“เขาไม่เป็นอะไรก็เหมือนกับเธอ แค่ฟกช้ำเล็กน้อยไม่ร้ายแรงอะไร และก็มีเจ้าหน้าที่ลานสเกตเฝ้าอยู่…” จางหลินหลี่ตอบ

“งั้นใส่ชื่อเขาในบัญชีของฉัน ยังไงซะก็เป็นความผิดของฉันเอง” เป็นเพราะเธอไม่มองทางให้ดี พวกเขาจึงต้องชนกัน

“ได้ เสี่ยวเสวี่ยขอฉันคุยกับเธอตามลำพังได้ไหม?” จางหลินหลี่มองไปที่ชูอี้เสิ่นและถามออกมา

คุยตามลำพังงั้นเหรอ?! ชูอี้เสิ่นมองไปที่จางหลินหลี่ราวกับเป็นการเตือน นี่เขายังอยากที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับชางกวนโม่อยู่หรือเปล่า?!!!

มู่หรงเสวี่ยถาม แล้วจึงพูดพร้อมรอยยิ้ม “พี่ชูไม่ใช่คนนอก…” พี่ชูเป็นเหมือนครอบครัวของเธอ
“แต่มีบางเรื่องที่ฉันอยากจะพูดกับเธอตามลำพัง!” จางหลินหลี่พูดเครียด

“งั้น พี่ชู…” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ชูอี้เสิ่นอย่างขอโทษ
ชูอี้เสิ่นมองด้วยสายตาตักเตือนไปที่จางหลินหลี่ แล้วจึงหันไปพูดกับมู่หรงเสวี่ย “ฉันจะอยู่ข้างหน้าประตูนี่แหละนะ ถ้ามีอะไรก็เรียกฉันได้เลย”

“เข้าใจแล้ว!” มู่หรงเสวี่ยยิ้ม
ชูอี้เสิ่นเดินออกไปนอกประตูและตัดขาดจากการสนทนาภายในห้อง เขารู้สึกร้อนใจนิดหน่อย เขาเห็นสิ่งเดียวกันอย่างชัดเจนจากสายตาของจางหลินหลี่ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะบอกเขาเรื่องเสี่ยวเสวี่ยเพื่อที่เขาจะได้ไม่พูดมันต่อหน้าเสี่ยวเสวี่ย หวังว่าเขาจะไม่พูดสิ่งที่ไม่ควรพูด

เวลาผ่านไปสักพักระหว่างคนทั้งสองเงียบเสียง
“ช่วงนี้พี่จางเป็นไงบ้าง?” มู่หรงเสวี่ยถาม
จางหลินหลี่ดึงเก้าอี้มาและนั่งตรงข้ามกับมู่หรงเสวี่ย เขาถอนหายใจเล็กน้อย “ฉันสบายดี ฉันเป็นห่วงเธอ ตั้งแต่นั้นก็ไม่กล้าที่จะติดต่อเธอกลัวว่าจะไปสร้างปัญหาให้เธอ…เรายังเป็นเพื่อนกันได้ไหม?”

“ฉันด้วย โอ้ ฉันเห็นพี่เป็นเพื่อนเสมอ ดูเหมือนว่าฉันไม่ได้ไปเยี่ยมคุณลุงกับคุณป้านานแล้ว ฉันเคยบอกไปว่าจะไปเยี่ยมพวกท่านตอนที่มาเมืองหลวง ฉันรู้สึกผิดจริงๆ…” เธอนึกถึงคู่สามีภรรยาที่เป็นมิตรและรู้สึกอายนิดหน่อยที่ไม่ได้ติดต่อพวกท่านในทันที

“และเสี่ยวเสวี่ย เธอ…คนข้างนอกนั้นเป็นแฟนงั้นเหรอ?” จางหลินหลี่ถามอย่างระวัง

มู่หรงเสวี่ยก้มหัวและเงียบไปนาน ทันใดนั้นหัวใจของจางหลินหลี่ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาเงียบๆและรีบพูดออกมาทันที “ขอโทษนะ ไม่ต้องพูดก็ได้ถ้าไม่อยาก…”

อย่างไรก็ตาม มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นและเผยรอยยิ้มเศร้าๆ “ฉันไม่เป็นไรค่ะพี่จาง ไม่ต้องเป็นห่วง…พี่ชูคือแฟนคนปัจจุบันของฉัน…สำหรับเขาคนนั้น เราจบกันแล้ว…” เธอไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยชื่อของชางกวนโม่และรู้สึกว่ามันหนักอึ้งเกิดกว่าที่จะหายใจได้

“ฉันขอโทษนะเสี่ยวเสวี่ย ฉันขอโทษ…”
มู่หรงเสวี่ยยิ้มปลอบใจจางหลินหลี่ที่พูดขอโทษซ้ำไปซ้ำมา “ไม่ต้องขอโทษฉันหรอกและฉันไม่ได้โทษพี่จาง อีกอย่างฉันลืมไปหมดแล้ว…”

“ผุ้ชายข้างนอกเป็นยังไงบ้าง?” จางหลินหลี่ถามจริงจัง
มู่หรงเสวี่ยตกใจแล้วก็จำได้ว่าเธอยังไม่ได้อธิบายเรื่องความสัมพันธ์กับพี่ชูเลยสักนิดแต่เธอก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะอธิบายเหมือนกัน มันซับซ้อนมากเกินไปที่จะพูดถึงและเธออยากที่จะคุยเรื่องมหาลัยแทน “พี่ชูใจดีกับฉันอย่างมาก เขาเป็นคนดี คอยอยู่กับฉันเสมอเวลาที่ฉันต้องการเขามากที่สุดและเขาก็เป็นสุภาพบุรุษ…เขาเป็นคนสำคัญที่สุดของฉัน…เป็น…แฟน!” เธอเกือบที่จะพูดออกไปแล้วว่าเป็นพี่ชายคนสำคัญที่สุด

เธอเอาแต่พูดว่าชายคนอื่นดียังไงต่อหน้าเขา เขารู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ครั้งนี้เขามาช้าไป โชคชะตามักจะเล่นตลกกับเขาเสมอ ทำไมถึงปล่อยให้เขามาช้าไปเสมอ…แต่ตราบใดที่เธอมีความสุข…ตราบใดที่เธอมีความสุข งั้นเขาก็ยินดีที่จะเก็บความรู้สึกที่มีต่อเธอไปตลอดกาล

“อย่างงั้นเหรอ? ตราบใดที่เธอมีความสุข หลังจากนั้นเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องวิธีการฝังเข็มที่เธอสอนฉันครั้งที่แล้วเลย” เขาไม่อยากที่จะคุยเรื่องนี้อีกแล้วจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องทักษะการแพทย์แทนซึ่งเป็นเรื่องที่เธอกับเขาสนใจอย่างลึกซึ้ง

“ทำไมพี่ถึงไม่เข้าใจล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“เมื่อเธอหายดีแล้วเราค่อยคุยกัน ถ้าเธอมีเวลาก็ไปกินข้าวที่บ้านฉันบ้าง พ่อแม่ฉันพูดถึงเธอตลอด ฉันต้องกลับไปทำงานก่อนแล้วคนที่อยู่หน้าประตูก็คงอยากที่จะเข้ามาเต็มแก่แล้วด้วย…” เสียงฝีเท้าด้านนอกประตูเริ่มที่จะดังขึ้นเรื่อยๆราวกับว่าเขากำลังจะถล่มตึกแล้ว อย่างไรก็ตามท่าทางของเขาก็โล่งใจอย่างมาก อย่างน้อยเขาก็แคร์เสี่ยวเสวี่ยอย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “โอเค อีกสองวันฉันจะกลับบ้านแล้วพอฉันกลับมาเมืองหลวงฉันจะโทรหานะ…”
จางหลินหลี่โบกมือตอนที่เดินออกไป เมื่อเขาออกมาที่ประตู เขาก็กระซิบกับชูอี้เสิ่น “ถ้านายทำเสี่ยวเสวี่ยร้องไห้ ฉันไม่ปล่อยนายไปแน่”

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลเธอไปตลอดชีวิตของฉันเลย!” ชูอี้เสิ่นยิ้ม เขาไม่รู้ว่าเขากับเสี่ยวเสวี่ยแกล้งทำเป็นแฟนกัน นี่หมายความว่าเสี่ยวเสวี่ยไม่ได้ปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขางั้นเหรอ? ในตอนนี้มีความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัวเขาและทุกความคิดก็ทำให้เขาตื่นเต้น

ชูอี้เสิ่นเดินเข้าไปในห้องพร้อมรอยยิ้มงี่เง่าบนใบหน้า
“เป็นอะไรเหรอคะ?! มีเรื่องอะไรทำให้มีความสุขงั้นเหรอ?” การได้เห็นรอยยิ้มสดใสของพี่ชูเป็นเรื่องที่ยากมาก ปกติแล้วพี่ชูมักจะดูหดหู่และเศร้าอยู่หน่อยๆ

มีความสุขสิ! แน่นอนเขามีความสุข!!! แต่เขาไม่บอก เพราะกลัวที่จะผลักไสมู่หรงเสวี่ย “เสี่ยวเสวี่ย เธอยังไม่หายอย่าเพิ่งกลับบ้านเลย แค่โทรไปอธิบายกับคุณลุงคุณป้า…” เมื่อนึกได้ว่ามู่หรงเสวี่ยบอกว่าเธอจะกลับบ้านพรุ่งนี้ ชูอี้เสิ่นเป็นห่วง

มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว “นี่แค่บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอก! ฉันอยากที่จะกลับไปที่วิลล่า แล้วฉันก็คิดถึงพ่อแม่ด้วย ฉันอยากจะกลับบ้านไปหาพวกท่าน…” แล้วผักที่บ้านก็หมดแล้วด้วย ไม่รู้ว่าน้ำแห่งจิตวิญญาณของพ่อแม่เธอจะหมดหรือยังและเธอต้องกลับไปเติมให้พวกท่านด้วย แล้วยังมีอีกหลายอย่างที่เธอต้องกลับไปจัดการด้วย ถึงแม้ท้องเธอจะยังปวดอยู่แต่เธอก็ทนได้ อีกอย่างเธอต้องกลับไปรักษาในมิติลับและคงใช้เวลาไม่นาน

“เธอไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอ?” ชูอี้เสิ่นจับมือเธอมาอย่างเป็นห่วงแล้วถามออกมา ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเสี่ยวเสวี่ยเป็นแพทย์แผนจีน แต่เขาก็อดที่จะห่วงไม่ได้

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “ไม่เป็นไรจริงๆ! พี่ชูเป็นห่วงมากเกินไปเดี๋ยวก็แก่หรอกรู้ไหม?!! ฮ่าฮ่าฮ่า”

“”แก่งั้นเหรอ?! ฉันเพียงจะแค่ยี่สิบกว่าๆเองนะ” ชูอี้เสิ่นขึ้นเสียงสูงทันทีแล้วจึงถามอย่างเป็นกังวล “เสี่ยวเสวี่ย นี่เธอคิดว่าฉันแก่จริงๆเหรอ?” ตอนนี้เสี่ยวเสวี่ยเพิ่งจะ 16 เท่านั้น ดูเหมือนว่าเธอค่อนข้างจะเด็กไปสำหรับเขา เวลาที่เขาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ยเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนเธอเป็นเด็กสาวอายุ 16 เลยสักนิด ตรงกันข้ามเลยเธอเหมือนผู้ใหญ่มากกว่าอีก จนเขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าพวกเขาอายุต่างกันมาก

มู่หรงเสวี่ยตกใจ “ไม่เลยพี่ชู พี่คิดจริงจังมากเกินไปแล้ว ไม่ต้องคิดมากนะพี่ยังหนุ่มอยู่เลย ไม่แก่หรอก!”

“เธอนี่มัน อ่า ช่างกันเถอะขอแค่เธอยิ้มได้มันก็คุ้มแล้ว…” ชูอี้เสิ่นยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

มู่หรงแลบลิ้น “พี่ชูเองก็ดีเหมือนกัน ไปกันเถอะแล้วไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลกัน” มู่หรงเสวี่ยกดไปที่ท้องแล้วลุกขึ้น

ชูอี้เสิ่นเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยเดินงอตัวพร้อมจับที่ท้องแล้วทันใดนั้นก็เดินตรงเข้ามาอุ้มเธอขึ้นมา “ฉันจะอุ้มเธอออกไปเอง!”

ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันที มู่หรงเสวี่ยกอดรอบคอเขาและพูดออกมา “พี่ชู ฉันเดินเองได้…”

“ปวดท้องอยู่อย่ามาทำเป็นเก่งหรือเธออยากจะอยู่โรงพยาบาลต่อ…” ชูอี้เสิ่นมองมาที่เธอ
“ก็ได้พี่ชู ทำไมต้องดุด้วย…” มู่หรงเสวี่ยบ่น
สีหน้าของชูอี้เสิ่นดูงง นี่เขาดุงั้นเหรอ?! เขาดุตั้งแต่เมื่อไร?!!!!! “ฉันดุก็เพราะเป็นเธอไง…”