บทที่ 160
การปะทะ
“เข้าใจแล้ว ฉันแค่ล้อเล่น” มู่หรงเสวี่ยทำหน้าซุกซน
ชูอี้เสิ่นพามู่หรงเสวี่ยเดินไปตลอดทางจนถึงโต๊ะเจ้าหน้าที่ซึ่งดึดดูดสายตาของคนได้มากมาย เหตุผลหลักการเพราะรูปร่างหน้าตาของพวกเขาสะดุดตาอย่างมาก ดังนั้นผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะจ้องมากขึ้นไปอีก
หลังจากที่จัดการธุระเสร็จ ชูอี้เสิ่นก็พามู่หรงเสวี่ยกลับไปที่วิลล่าและอุ้มเธอไปตลอดทางจนถึงโซฟา “นั่งลงก่อน ฉันจะทำอาหารค่ำให้ เธอน่าจะหิวแล้ว” ชูอี้เสิ่นพูดอย่างอ่อนโยน
ตอนแรกเธอก็ไม่ได้รู้สึกหิวอะไรจนกระทั่งพี่ชูพูดขึ้นมา
ถ้าเธอไม่รู้จักพี่ชู เธอคงนึกภาพเขาเข้าครัวไม่ออกแน่ๆแต่หลังจากที่รู้จักเขามานานเธอก็ไม่เห็นข้อบกพร่องของเขาเลย พี่ชูเป็นคนที่ดีมากๆ ทำไมคนที่ดีขนาดนี้ถึงไม่มีแฟนได้นะ
แต่ใครจะพูดแทนความรู้สึกของคนอื่นได้ เหมือนกับเธอที่ต้องเจ็บปวดมามากจนไม่อยากที่จะไปมีความรู้สึกกับคนที่ไม่คู่ควรอีกแล้ว เธอหวังจริงๆว่าพี่ชูจะหาความสุขและภรรยาที่อบอุ่นได้จริงๆ
เธอควรจะคิดถึงเรื่องที่จะคุยกับพ่อแม่ เธอจะไปรู้ได้ยังไงว่าการที่ขอให้พี่ชูมาช่วยแล้วเธอจะต้องมาเผชิญหน้ากับพ่อแม่เมื่อกลับไปแบบนี้ แต่ถ้าเป็นแบบนี้แล้วมันก็ง่ายกว่าที่เรื่องนี้เป็นพี่ชู
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยก็ค่อยๆรู้สึกว่าหนังตาหนักอึ้งแล้วเธอก็เอนพิงไปที่โซฟาและหลับไปในที่สุด
มู่หรงเสวี่ยที่นอนพิงอยู่บนโซฟาพร้อมริมฝีปากที่เผยอเปิดออกเล็กน้อยและผมยาวของเธอก็แผ่ออกอย่างไม่เป็นระเบียบ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอมีรอยเขียวช้ำแต่ชูอี้เสิ่นที่เพิ่งทำอาหารค่ำเสร็จกลับรู้สึกราวต้องมนตร์ เขาเอื้อมมือออกไปสัมผัสที่ใบหน้าละเอียดอ่อน นี่ไม่ระวังตัวเลยจริงๆ เขาไม่รู้ว่าถ้าเธอเปิดใจให้เขาจริงๆเขาควรจะมีความสุขหรือเสียใจดี
ในที่สุดเขาก็พยักหน้าและเปล่งเสียงเรียกออกมาอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวเสวี่ย ตื่นมากินข้าวก่อนเถอะ…” มันไม่ดีที่จะกินข้าวช้าเกินไป อีกอย่างเสี่ยวเสวี่ยยังหิวอยู่ด้วย
มู่หรงเสวี่ยค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหล่าของเขาอยู่เบื้องหน้า เธอลืมตาขึ้นในทันทีและรีบยื่นแขนออกไปผลัก “พี่ชู ทำไมอยู่ใกล้ฉันขนาดนี้?! ตกใจหมดเลย…”
“ตื่นได้แล้ว เธอนี่อย่างกับหมูเลย! แค่แป๊บเดียวก็เผลอหลับไปซะแล้ว…” ชูอี้เสิ่นทำตลกกลบเกลื่อนความตึงเครียดในหัวใจและจังหวะหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ
แน่นอนว่าทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็เปลี่ยนอารมณ์ทันที พร้อมหยิบหมอนขึ้นมาจากโซฟาและโยนไปที่ชูอี้เสิ่น “พี่สิเป็นหมู พี่แหละหมู ขนาดรองเท้าพี่ยังเป็นหมูเลย!”
“ฮ่าฮ่า! มีแต่หมูเท่านั้นแหละที่จะโมโห” ชูอี้เสิ่นรับหมอนมาพร้อมหัวเราะแล้วอุ้มมู่หรงเสวี่ยขึ้นมา “รีบมากินข้าวเถอะ เดี๋ยวเย็นหมดจะไม่อร่อย…”
มู่หรงเสวี่ยที่เดิมทีอยากที่จะจัดการผมให้เป็นระเบียบก่อนก็เงียบทันทีที่ได้ยินคำว่ากิน เธอหิวมากจริงๆด้วย!!!
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ มู่หรงเสวี่ยพูดกับชูอี้เสิ่นที่กำลังเก็บจานและตะเกียบอยู่ “พี่ชู พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปที่จังหวัด A พี่จัดการเรื่องงานหรือยัง เรื่องนี้จะกินเวลาพี่มากเกินไปไหมแล้ววันนี้พี่ก็มาอยู่กับฉันที่โรงพยาบาลทั้งวันด้วย…” มู่หรงเสวี่ยรู้ว่างานของชูอี้เสิ่นจะต้องยุ่งมากแน่ๆและคงไม่มีเวลามากที่จะมาจัดการเรื่องธุรกิจของตระกูลชู
ชูอี้เสิ่นแตะที่หัวเธอและพูดว่า “ฉันบอกเธอตั้งนานแล้วไง ไม่ต้องห่วงเรื่องเวลา ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน ฉันจัดการแล้ว…” เธอเป็นห่วงเรื่องงานของเขาได้ เขารู้สึกพอใจอย่างมาก ตอนนี้เขาไม่ขออะไรมาก เขาเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่ฟ้าเปิด สักวันเสี่ยวเสวี่ยจะต้องเข้าใจความรู้สึกของเขา
“อีกอย่างนะพี่ชู พรุ่งนี้จะมีเพื่อนฉันกลับไปด้วย ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ เธอเป็นคนที่สำคัญสำหรับฉันมาก”
“ผู้ชายหรือผู้หญิง?” นี่เป็นคำถามที่เขาหวั่นใจ
“ผู้หญิง เป็นเด็กสาวที่น่ารักและสวยมากเลยนะ โอ้ แล้วเธอก็เป็นเพื่อนคนแรกของฉันด้วย…” เมื่อคิดถึงโม่อ้ายลี่ มู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ชูอี้เสิ่นไม่สนใจผู้หญิงคนอื่นแต่ในเมื่อเธอมีความหมายกับเสี่ยวเสวี่ยอย่างมาก เขาก็จะใจดีด้วย เมื่อสองวันก่อนเขาได้ยินจากลูกน้อง ถ้าอยากที่จะเข้าให้ถึงใจของใครบางคน เขาจะต้องเข้าให้ถึงครอบครัวและเพื่อนของเธอซะก่อน ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจแต่เขาก็จะพยายามลองให้ถึงที่สุด
“ทำไมพี่ชูยังสวมแหวนนี่อยู่อีกล่ะ?” ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็เห็นผลงานแกะสลักชิ้นแรกของเธอและถามออกไปอย่างประหลาดใจ
ชูอี้เสิ่นมองไปที่แหวนที่สดใสและเป็นประกายที่อยู่ที่นิ้วและพูดออกมาด้วยความพอใจ “แน่นอน นี่เป็นขอรักของหวงของฉันเลยนะ…” ของขวัญชิ้นโปรดที่คนพิเศษที่สุดเป็นคนให้ ตอนนี้เขายังพูดอะไรเรื่องนี้ไม่ได้แต่สักวันเขาจะต้องบอกให้เธอรู้
“ถ้าพี่ชอบ ในตอนนั้นฉันเกือบจะทำไม่ได้อยู่แล้วเพราะมันเป็นครั้งแรกที่ฉันแกะสลักและฉันก็ยังไม่คุ้นกับการแกะสลักด้วย…โชคดีที่หยกมีคุณภาพดีมากไม่งั้นฉันคงไม่กล้าเอาออกมาแน่ๆ…” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างอายๆ
“ฉันมีความสุขมาก ขอบคุณนะเสี่ยวเสวี่ย!” ชูอี้เสิ่นเดิมตรงเข้ามาและจูบอย่างอ่อนโยนที่หน้าผากของเธอ
มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งทื่อ หลังจากนิ่งไปสักพักเธอก็รู้สึกว่าที่หน้าผากและหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อเธอพูดติดอ่าง “ชู…ชู พี่ชู พี่จะทำอะไรเนี่ย?”
ชูอี้เสิ่นเผยรอยยิ้มสดใส “นี่เป็นจูบขอบคุณ เธอสมควรได้แล้ว ขอบคุณนะ…” มู่หรงเสวี่ย
ทันใดนั้นความเขินอายก็หายไปหมดสิ้น
หลังจากนั้นไม่นาน ชูอี้เสิ่นก็พูดขึ้นมาว่าเขาต้องกลับไปที่จัดการงานที่บริษัทก่อน ชูอี้เสิ่นจองตั๋วเครื่องบินสำหรับสามคนไว้แล้วและหลังจากที่นัดกันเรื่องพรุ่งนี้เสร็จเขาก็กลับไป
มู่หรงเสวี่ยเข้าไปอาบน้ำ แล้วก็เข้าไปในห้อง ล็อกประตูและเข้าไปที่มิติลับ ยารักษาแผลที่เธอปรุงในมิติลับใช้ง่ายมากกว่ายาภายนอกของโรงพยาบาลมาก เธอจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บไม่ได้ พรุ่งนี้เธอจะต้องกลับบ้าน ถ้าพ่อแม่เธอเห็นว่าเธอเดินไม่เป็นธรรมชาติ พวกท่านจะต้องเป็นห่วงอีกแน่ๆ โชคดีที่เวลาหนึ่งคืนเพียงพอที่จะให้เธอรักษารอยช้ำที่ท้องในมิติลับได้
ในรุ่งเช้าวันต่อมา โม่อ้ายลี่มาหาเธอแต่เช้า
“เสี่ยวเสวี่ย ทำไมเธอดูสวยขึ้นกว่าเดิมอีกหลังจากที่ไปฝึกทหารมาได้ยังไงกัน? ผิวเธอก็ผ่องและละเอียด…ดูฉันสิ ผิวฉันดำไปหมดแล้ว…” โม่อ้ายลี่ตะโกนออกมาทันทีที่เธอเข้าประตูมาแล้วก็จับหน้ามู่หรงเสวี่ยมาแล้วเอาแต่ลูบไปมา
“ไปกันเถอะ นี่มันน่าปวดใจจริงๆ…” มู่หรงเสวี่ยตบเบาๆไปที่มือของโม่อ้ายลี่และนวดไปที่หน้าเธอจนเกือบจะเบี้ยว แล้วก็กลอกตาและพูดออกมาว่า “เธอเป็นเจ้าของเลิฟสโนว์นะ ไม่ได้ใช้เองเลยหรือไง?! หลังจากที่ใช้เลิฟสโนว์ ในไม่ช้าผิวเธอก็จะฟื้นฟูเองแหละ…น่าปวดใจจริงๆ…”
“อ่า?!! นี่ฉันเอามาหรือเปล่านะ?!! แต่การฝึกทหารก็เหนื่อยจนรากเลือด ฉันเลยขี้เกียจไปหมดเลย…” โม่อ้ายลี่พูดอย่ารู้สึกผิด
“สมควรแล้วล่ะ!” มู่หรงเสวี่ยกรอกตาอีกครั้ง
ทันใดนั้นโม่อ้ายลี่ก็กระโดนไปมา บิดดึงตัวมู่หรงเสวี่ยไปมาจนกระทั่งมู่หรงเสวี่ยต้องขอร้องให้หยุด
หลังจากนั้นสักพัก ชูอี้เสิ่นก็เข้ามาเช่นกัน
“นาย!” ผู้ชายหยิ่งยโส
“เธอ!” แม่เด็กขี้โกง
ชูอี้เสิ่นและโม่อ้ายลี่จ้องหน้ากันและกัน
“มีอะไรกันเหรอ? ทั้งสองคนรู้จักกันด้วยงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย
“เธอรู้จักด้วยเหรอ!” โม่อ้ายลี่มองค้อน
สีหน้าของชูอี้เสิ่นก็ไม่ดีเท่าไร เขาไม่คิดว่าเพื่อนแสนดีที่เสี่ยวเสวี่ยพูดถึงจะเป็นเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา เขาไม่คิดว่าเธอน่ารักเลยสักนิด เธอมันก็แค่เด็กป่าเถื่อน
ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับสองคนนี้แน่ๆ ไม่งั้นท่าทางคงไม่เป็นแบบนี้หรอก “มีใครอยากจะบอกฉันไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น? พวกเธอสองคนต่างก็เป็นเพื่อนฉัน ช่วยหยุดทะเลาะกันทีได้ไหม?”
“เสี่ยวเสวี่ย เธอไปรู้จักผู้ชายหยิ่งยโสแบบนี้ได้ยังไง?” โม่อ้ายลี่ไม่สนใจสีหน้าเคร่งขรึมของชูอี้เสิ่นและพุดออกมาอย่างดูถูก
มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหันไปเผชิญหน้ากับคนที่แก่กว่า “เกิดอะไรขึ้นพี่ชู ทำไมพี่ถึงใจร้ายขนาดนั้น?” หลังจากนั้นเธอเองก็มองไปที่พี่ชูและเห็นว่าเขาขยิบตามาให้เธอ นี่ไม่ตลกเลย มู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะกดเสียงหัวเราะไว้
เมื่อนึกถึงเรื่องอุบัติเหตุเมื่อวาน โม่อ้ายลี่ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาเลย เมื่อวานเธอเพิ่งจะฝึกทหารเสร็จและแทบจะหมดแรง เธอแค่อยากที่จะซื้ออาหารที่ข้างทาง แต่ผลก็คือมีรถขับฝ่าไฟแดงมาและเธอก็ไม่ทันมองด้วย ถึงแม้เธอจะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ก็ยังล้มไปกองอยู่กับพื้น ชูอี้เสิ่นลงมาจากรถ มองไปที่เธอและเมื่อเห็นว่าเธอไม่เป็นอะไร เขาก็เปิดกระเป๋าและโยนเงินปึกหนึ่งใส่เธอ ไม่มีคำขอโทษแม้สักคำ ในตอนนั้นเธอโกรธมากและจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายหนีไปได้ง่ายๆ
เมื่อเธอลุกขึ้น เธอจับเสื้อของชูอี้เสิ่นและบอกให้เขาขอโทษ “ขอโทษมาซะ นายขับรถชนคนนะ ไม่รู้จักคำว่าขอโทษหรือไง?”
ชูอี้เสิ่นมองมาที่เด็กสาวที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรด้วยสายตาเย็นชา อีกอย่างเขาต้องรีบไปหามู่หรงเสวี่ย เขารู้สึกไม่พอใจและหน้าก็เริ่มเคร่งขรึม “เงินไม่พอหรือไง?! นั่นมันไม่พอหรือไง?” เขาหยิบเงินออกมาอีกปึกและยื่นให้เธอ
โม่อ้ายลี่โกรธมาก เธอไม่ยอมรับเงินของเขา ตอนที่เขาฝ่าไฟแดงมาแล้วชนเธอ เธอก็ยโสมากพอแล้ว เธอไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ๆ “ขอโทษมาก่อน ไม่งั้นนายไม่ได้ไปไหนแน่ๆ!”
“ฉันขอเตือนนะ อย่ามาโลภ!!! ถ้าพอใจแล้วก็เอามือออกไปซะ” เมื่อพูดจบ เขาก็ดึงมือเธอออก เขาหันไปกลับไปและเดินขึ้นรถแล้วขับออกไป
อย่างไรก็ตามโม่อ้ายลี่ที่ถูกเขาผลักและล้มลงไปที่ข้างถนน เมื่อเธอคิดที่จะตามไป เธอก็พบว่าตามไปไม่ทันแล้ว เธอโกรธมากจนถึงกับกระทืบเท้า
“เธอไม่คิดว่าเขาน่าเกลียดงั้นเหรอ?” โม่อ้ายลี่บ่นถึงเรื่องที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมเมื่อวานและจ้องไปที่ชูอี้เสิ่น
“พี่ชู…” ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายแต่ก็ไม่คิดว่าพี่ชูจะมีด้านนี้ด้วย
ชูอี้เสิ่นรู้สึกอับอายนิดหน่อยเพราะเขาไม่อยากที่จะเสียภาพลักษณ์ต่อหน้าเสี่ยวเสวี่ย เขารู้ว่าโม่อ้ายลี่เป็นเพื่อนของเสี่ยวเสวี่ยและเขามีความรู้สึกที่ดีกับเธอจริงๆ