ตอนที่ 668

The Divine Nine Dragon Cauldron

668 – รอยแยกประหลาด

 

“ไม่มีเลย…”

 

หญิงสาวผู้เป็นภรรยาส่าบหน้า

 

“แต่มีอยู่สองคนที่ไม่รอดออกมา”

 

“มีคนตายในนั้นรึ?”

 

ไปจงตกใจ

 

“เจ้าออกไปจากจุดปลอดภัยรี? เพราะพวกเจ้าออกไปใช่ไหมถึงหนีมาไม่ทัน?”

 

เขามองรอบๆและเห็นหลายคนหน้าซีด ไปจงรู้สึกว่ามันแปลกไป

 

“ไม่เลย พวกเราทุกคนอยู่ในจุดปลอดภัย แต่หมอกพิษมันไม่ได้ออกมาตามเวลาที่เป็นปกติจู่ๆมันก็พุ่งขึ้นมา พวกเราอยู่ใกล้ทางออกกันหมดและออกมาทันแต่สองคนในนั้นกลับมาไม่ทัน…”

 

จู่ๆหมอกพิษก็ระเบิดออกมา? ไปจงสับสน

 

“สองคนนั้นเป็นใคร? พวกนั้นออกจากจุดปลอดภัยแล้วไปที่ส่วนลึกที่สุดใช่ไหม?”

 

นางพยักหน้า

 

“ใช่แล้ว สองคนนั้นบอกว่าทําภารกิจ ต้องเข้าไปส่วนลึกเพื่อซ่อมรอยแยกแต่ไม่นานพอสองคนเข้าไปหมอกพิษก็ระเบิดออกมา”

 

นางพูดต่อ

 

“สองคนนั้นน่าจะเป็นเจ้าตําหนักหนานกวงกับผู้ตรวจการไปหยุนข้าได้ยินว่าทั้งสองเข้าไปทําภารกิจอันตรายเพื่อแก้ไขความผิดพลาดในอดีต”

 

ไปจงพยักหน้า ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“ให้เขาพักเถอะ แต่พวกเจ้าทุกคนห้ามพูดว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่”

 

ไปจงพูดอย่างเย็นชา

 

ไม่มีใครกล้าขัดไปจง เพราะหลังจากเจอเรื่องเมื่อครู่ พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าไปเพื่อบ่มเพาะพลัง อีกแล้ว

 

“เจ้าพันธมิตรชื่อ ดูเหมือนเราจะต้องรอแล้วล่ะ ข้าไม่คิดว่าจู่ๆหมอกพิษจะระเบิดออกมามันอันตรายเกินไป”

 

ไปจงถอนหายใจ

 

ซือหยูครุ่นคิด เขาเห็นสถานการณ์มาตั้งแต่แรก

 

ดูเหมือนว่าไปจงจะปิดบังอะไรเอาไว้ เจ้าตําหนักหนานกวงกับไปหยุนถูกลงโทษให้มาทําภารกิจอันตราย แต่ไปจงก็ไม่คิดจะเผยความจริงว่าภารกิจนั้นคืออะไรเขายังสั่งให้คนที่นี่ให้ปิดปากเงียบอีก

 

“ย่อมได้ เราจะรอ”

 

ซือหยูพูดอย่างหมดหวัง

 

ขณะที่รอ ไปจงยื่นน้ําเต้าหยกเย็นๆให้กับซือหยู

“มันเป็นน้ําเต้าที่ทําจากหยกจันทร์เย็น มันใช้เก็บแสงจันทร์ได้พอท่านเข้าไปท่านจงตามหาที่ที่มีแสงจันทร์เพียงพอ ใช้เวลาสักถ้วยชาเดียวก็คงได้แสงจันทร์มากพอแล้ว พอท่านกลับมาข้าจะทําโอสถจันทร์ลับอดุลให้ท่าน”

 

เขาพูดต่อ

 

“ตามปกติ ทุกแห่งในระยะหกสิบลี้ใกล้ลําดับยักย้ายจะรับว่าเป็นจุดปลอดภัยมีที่ให้ท่านเก็บแสงจันทร์อยู่แล้ว ท่านอย่าไปไกลกว่านี้มิเช่นนั้นท่านจะกลับมาไม่ได้หากมีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกับพวกที่ออกมา”

 

ซือหยูดูมั่นใจ

 

“เข้าใจล่ะ”

 

หนึ่งชั่วยามผ่านไป

 

“หมอกพิษคงจะลดลงไปแล้ว ท่านเข้าไปได้เลย”

 

ไปจงอัดพลังชีวิตลงในลําดับที่ประตู

 

ครั้งนี้มีเพียงซือหยูคนเดียวที่จะเข้าไป

 

“อีกเดี๋ยวข้าจะกลับมา”

 

ะสานหมัดให้ไปจงและก้าวเข้าไปทันที

 

ไปจงที่ยืนอยู่ที่เดิมก็ก้าวเข้าไปข้างในด้วย เขาดูเป็นกังวล

 

“ข้าหวังว่ามันจะดีขึ้นแล้วนะ”

 

พูดจบ ไปจงได้เข้าไปข้างใน แต่ที่ที่เขาเข้าไปนั้นต่างจากจุดที่เขาส่งซือหยู

 

พรบ

 

ซือหยูลืมตาขึ้น เขาได้กลิ่นเหม็นเน่ารอบๆ เขาใช้พลังชีวิตไล่กลิ่นเหม็นเน่านั้นออกไป

 

เขาเห็นโลกที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีม่วงบางๆ ราวกับว่าที่นี่อยู่บนยอดเขาสูง

 

“พวกนี้คงเป็นไอพิษที่เหลืออยู่ ถึงผลทางพิษจะหายไปแล้ว หายใจเอามันมากเกินไปก็ยังมีอันตราย”

 

เขาพบว่าพลังวิญญาณของที่นี่หนาแน่นน้อยกว่าข้างนอก พลังวิญญาณในที่นี่เบาบางกว่าอย่างมาก

 

หากพูดด้วยเหตุผล ที่นี้ไม่เหมาะที่จะฝึกฝนเลย แต่เวลาที่ช้ากว่าข้างนอกทําให้คนอื่นอยากจะเข้ามา

 

ซือหยูเร่งรีบเพราะไม่มีเวลามากนัก เขาใช้เนตรวิญญาณมองรอบๆ แม้ว่าหมอกจะทําให้มองดูยากเขาก็เห็นทุกสิ่งในระยะหกสิบลี้ได้อย่างชักเจน

 

“นั่นไงแสงจันทร์”

 

ซือหยูพบลําแสงอ่อนๆห่างออกไปราวสิบลี้ แสงจันทร์นี้มาจากภูเขาลูกเล็กที่อยู่เหนือกว่า

 

ซือหยูไปถึงที่นั่นโดยการกระโดดเพียงไม่กี่ครั้ง เขาเห็นว่าท้องนภาเต็มไปด้วยเมฆสีม่วงแสงจันทร์ที่ทะลุผ่านเมฆาเหล่านั้นดูงดงามเป็นอย่างมาก

 

เขามองตามแสงจันทร์ไปพบกันดวงจันทร์ดวงใหญ่บนฟ้า! ซือหยูหยิบเอาน้ําเต้าหยกวางลงบนก้อนหิน น้ําเต้าเริ่มที่จะดูดซับแสงจันทร์เข้าไป

 

ซือหยูยืนข้างน้ําเต้าและมองรอบๆ เขาพยายามจะตื่นตัวเผื่อว่าหมอกพิษจะระเบิดขึ้นมาอีกค

 

ในตอนนั้นเอง เขาเห็นร่างคนหนึ่งในระยะหกลี้ มันดูมองยาก ร่างนั้นตัวสั่นและกําลังเคลื่อนที่ช้าๆไปยังทางออก

 

ไม่นานร่างนั้นก็ล้มลงกับพื้นและไม่ยืนขึ้นมาอีกเลย

 

“ใครน่ะ?เจ้ายังมีชีวิตอยู่ไหม?”

 

ซือหยูตกใจและบินไปดู

 

เมื่อเข้าใกล้คนที่ล้มลงไปมากพอ เขาก็อุทานออกมา

 

“นี่เจ้า! เจ้าตําหนักหนานกวง!”

 

คนที่ล้มลงกับพื้นคือสตรีวัยกลางคน ขนตาของนางสั่นไม่หยุด แม้ดวงตาจะปิดแน่น ก็บอกได้ว่าดวงตาของนางกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว หน้าผากขาวราวหิมะยังตึงเครียดแสดงถึงความเจ็บปวด

 

“แม้แต่ภูติระดับสามก็ต้องหมดสติเพราะพิษของที่นี่ แต่เจ้ากลับรอดแล้วมาได้ไกลเช่นนี้”

 

ซือหยูแปลกใจมาก 

 

เขาก้มลงและพบผ้าคลุมสีแดงรอบคอของนาง มีสร้อยติดกับผ้าคลุมที่ซุกอยู่ในอก ซือหยูไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรแต่บอกได้ว่าหมอกพิษอ่อนๆรอบๆเจ้าตําหนักหนานกวงถูกดูดเข้าไปในสร้อย

 

นี่จะต้องเป็นสิ่งที่ทําให้นางยังมีชีวิตอยู่!

 

การที่นางถูกลงโทษนั้นไม่แปลกนักเพราะนางกอบกู้ทวีปเหนือไว้ไม่ได้ แต่การลงโทษนี้ก็เกี่ยวข้องกับซือหยูเพราะเขาเป็นคนที่ผลักให้นางตกอยู่ในสภาพนี้ ดังนั้นเขาจึงอยากจะช่วยนาง

 

ซื้อหยื่นั่งขัดสมาธิ เขาวางมือทั้งสองลงบนหลังของนางและอัดพลังชีวิตลงไป เขาคิดจะกําจัดพิษเหล่านั้น น่าตกใจที่เมื่อพลังชีวิตเข้าไปในร่างของนาง พิษนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

“ถึงสร้อยนี้จะล้ําค่าที่ปกป้องชีวิตนางได้ แต่มันก็ดูดพลังชีวิตข้าเข้าไปด้วย!”

 

ซือหยูเห็นต้นตอของปัญหา เขาไม่มีทางเลือกนอกจากถอยสร้อยของนาง

 

“หวังว่านางจะไม่เข้าใจข้าผิดนะ”

 

ซือหยูหัวเราะอย่างขมขื่นและถอดสร้อยออกจากคอของนาง

 

หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มอัดพลังชีวิตให้นางเพื่อฟื้นฟู พิษในร่างนางซึมออกมาผ่านรูขุมขน

 

ในตอนนั้น ร่างของเจ้าตําหนักหนานกวงรายล้อมไปด้วยชั้นหมอกสีม่วง มันคือชั้นพิษที่ถูกขับออกมา

 

ไม่นานก็ไม่มีพิษเหลืออยู่ในร่างกายนางอีก สีหน้าเจ็บปวดของนางหายไปแล้ว นางดูหลับอย่างสงบ

 

ซือหยูดึงมือออกจากร่างของนางและรู้ตัวว่าถึงเวลาที่จะเก็บน้ําเต้าแล้ว เพราะมันควรจะเก็บแสงจันทร์ได้มากพอ

 

ซือหยูแบกเจ้าตําหนักหนานกวงไปในที่ที่เขาเก็บแสงจันทร์ หลังจากมองดูน้ําเต้าก็พบว่ามันเต็มไปด้วยบางอย่างที่ทองราวกับวารีทองคํา มันเปล่งแสงจ้า

 

“แสงจันทร์เต็มดวง!”

 

ซือหยูหยิบเอาน้ําเต้าขึ้นมาปิด เขาเก็บมันไว้กับตัว

 

“ถึงเวลาไปแล้ว”

 

ซื่อหยูพูดกับตัวเอง

 

เมื่อซือหยูอุ้มเจ้าตําหนักหนานกวงเตรียมตัวจะออกไป กล่องหยกใบหนึ่งก็ได้ร่วงลงมาจากตัวของนางซือหยูเรียกมันมาไว้ในมือและเริ่มที่จะเดินทางกลับ

 

แต่เขาสังเกตเห็นของที่อยู่ในกล่องหยก เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้และก็ต้องตกใจ

 

“ขนม้าเมฆา!”

 

เขาตกใจมาก

 

กล่องหยกนี้มีขนสีขาวอยู่หนึ่งเส้น ซือหยูมีเส้นขนแบบนี้เช่นกัน! เขายังมีขนแบบเดียวกันนี้นับสามร้อยเส้น เพราะเขาได้มันมาจากม้าเมฆา!

 

“ทําไมนางถึงมีขนของม้าเมฆาล่ะ?”

 

เขาสงสัย

 

เส้นขนนี้มีพิษร้ายถึงตายที่สังหารทุกคนที่มีพลังต่ํากว่าภูติระดับสี่ ซื่อหยูเองก็เคยหายใจเอาพิษส่วนน้อยของมันเข้าไปและเกือบตาย! เขายังระแวงพิษของมันมาจนถึงวันนี้

 

ซือหยูเองก็ได้รับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของม้าเมฆา มันทําให้เขาเป็นภูติที่มีแก้วสามดวงได้ทันทีมันเพิ่มพลังให้เขาอีกหนึ่งขั้น

 

ซือหยูใจเต้น เขาคิดถึงภารกิจลับที่เจ้าตําหนักหนานกวงรับผิดชอบ และคําพูดที่ไปจงเพิ่งจะพูด

 

เขาหันไปมองพื้นที่ส่วนที่ลึกเข้าไปและสงสัย

 

หรือว่าม้าเมฆาจะเติบโตที่นั่น?

 

มันดูเป็นไปไม่ได้สําหรับเขา ตามที่หยุนย่าสีบอก แม้แต่กระโจมเทพสวรรค์ก็ไม่เหมาะกับการปลูกม้าเมฆา ดังนั้นมันจะต้องไม่เติบโตในชั้นแปดของอาณาจักรทมิฬที่มีพลังวิญญาณน้อยนิดแต่ซื่อหยูก็ยังมีข้อกังขาอยู่บ้าง

 

เขากระโดดไปยังทางออกและวางเจ้าตําหนักหนานกวงไว้ที่นั่น เขาส่งนางไปยังด้านนอก

 

แต่ตัวเขาเองกลับบินขึ้นฟ้าไปในพื้นที่ส่วนลึก ไม่นานเขาก็ถึงจุดที่ไกลกว่าจุดปลอดภัย

 

หมอกพิษเริ่มหนาขึ้นในตอนที่เขาก้าวออกจากจุดปลอดภัย แค่หายใจก็ทําให้ซือหยูมีนหัว เขาไม่สบายใจอย่างมากและหยิบเอาสร้อยของเจ้าตําหนักหนานกวงออกมา

เขารู้สึกดีขึ้นทันทีที่ถือมันไว้ในมือซื่อหยูรีบบินไปต่อขณะที่ถือสร้อยเอาไว้

 

ที่นี่ไม่กว้างนัก ไม่กี่นาทีซือหยูก็มาไกลเป็นพันๆลี้! ยิ่งไปลึกเท่าใด มันก็ยิ่งรกร้างเท่านั้น

 

แน่นอนว่าเขาเห็นซากศพมาตลอดทาง เขาไม่แน่ใจว่าคนเหล่านี้ตายมานานเท่าไหร่แล้ว

 

เมื่อไปถึงจุดลึกสุด เขาได้เห็นรอยแยกที่ดูอันตรายเต็มไปหมด

 

แผละ

 

จู่ๆซือหยูก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่นิ่มๆระเบิด เขาเริ่มใจเต้นแรง

 

เขาเห็นรอยแยกสีดําขนาดเท่าเส้นผมต่อปรากฏอยู่ตรงจุดที่ขาขวาของเขาเคยอยู่ ซือหยูตื่นตัวอย่างมาก เขารู้ว่าถ้ารอยแยกนี้ผ่านขาของเขาไป มันจะตัดขาเขาจนขาด! ที่นี่อันตรายจริงๆ!

 

แต่ที่นี่กว้างมาก เขาไม่รู้ว่าเจ้าตําหนักหนานกวงเอาขนของม้าเมฆามาจากที่ไหน

 

ตอนนั้นเอง เขารู้สึกถึงคลื่นพลังชีวิตมาจากระยะยี่สิบลี้ ซือหยูหันไปมองและพบว่ามีแผ่นศิลาบางๆถูกปกคลุมไปด้วยหมอกพิษ

 

แปลกมาก! มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยรึ?

 

ซือหยูบินเข้าไปด้วยความสงสัย เขาพบซากศพนอนอยู่ใต้แผ่นศิลา และเขาก็คือไปหยุน!

 

แต่ร่างของไปหยุนถูกพิษกัดจนเปื่อยยุ่ย เขาถูกพิษคร่าชีวิตไป

 

มีรอยแยกบนแผ่นศิลานั้น มันกว้างพอจะให้คนผ่านเข้าไป เทียบกับรอยแยกอื่น ตอนแยกนี้ดูเสถียรกว่าดังนั้นมันจึงไม่หายไปเมื่อผ่านไปครู่หนึ่งเหมือนกับรอยแยกอื่น

 

คลื่นพลังชีวิตถูกปล่อยออกมาจากรอยแยกนี้

 

หรือว่าม้าเมฆาจะมาจากที่นี่?

 

ซือหยูมองรอบๆและตัดสินใจเข้าไปในรอยแยกนี้ แต่เมื่อเขาเข้าไปก็มีเงาดําเริ่มจู่โจมเขา

 

และเงาดํายังมีพิษที่ทําให้ตัวสั่นด้วยความกลัว! มันคือพิษของม้าเมฆา!

ซือหยูหวาดกลัวมากเขารู้ว่าพิษนี้ร้ายแรงเพียงใดเพราะเคยเจอมากับตัว เขาไม่กล้าจะแตะมันเลย!