ตอนที่ 667

The Divine Nine Dragon Cauldron

667 – เรื่องในที่ลับ

 

ซือหยูสับสนเมื่อเห็นว่ายอดเขายักษ์ของอาณาจักรทมิฬนั้นถูกล้อมในทุกทิศทางไม่ต่างกับถูกปิดตาย

 

พวกเขาจะมีทรัพยากรจํานวนมหาศาลเพียงพอได้อย่างไร?

 

“นี่มัน…”

 

หัวหน้าผู้ตรวจการไปไม่อยากจะตอบเลย

 

“ท่านเจ้าพันธมิตรสายตาเฉียบแหลมนัก! อาณาจักรทมิฬของเรามีแหล่งเก็บทรัพยากรแบบอื่นอยู่ สิ่งของต่างๆถูกเก็บที่นั่น ด้วยจํานวนคนเท่านี้ก็มากเกินพอที่เราจะอยู่ได้อีกร้อยปี ท่านไม่ต้องกังวลเลย”

 

เขาไม่ได้พูดว่าทรัพยากรเหล่านั้นมาจากไหน เพราะเขาก็ต้องเก็บความลับเอาไว้ ซือหยูเองก็ไม่สืบเรื่องไปมากกว่านี้ เพราะนั่นจะเป็นการหยาบคาย

 

ซือหยูพยักหน้าและไม่ถามอะไรอีกหลังจากนั้น ซือหยูเงยหน้ามองไปยังท้องนภาห่างไกล เขาพบชั้นที่แปดอยู่ตรงหน้า ขณะที่ชั้นเก้าบนสุดอยู่เหนือมัน

 

ว่ากันว่าราชาแห่งความมืดอาศัยอยู่ในชั้นที่เก้า และเขาไม่ออกมาแม้แต่ก้าวเดียวในหลายร้อยปีที่ผ่านมาดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่

 

เหตุที่ซือหยูเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อขอกําลังเสริมจากราชาแห่งความมืดเพื่อที่จะได้ต่อกรกับกองทัพของห้าศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่เขาก็ต้องลังเลเมื่อได้พบกับหลงควน เพราะกองทัพของอาณาจักรทมิฬไม่เคยต่อสู้เลยสักครั้ง นั่นทําให้เขาสงสัยว่าเขาจะได้อะไรกลับไปหรือไม่

 

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คนแรกที่เขาจะต้องไปหาก่อนก็คือราชาแห่งความมืด เมื่อได้พบแล้วจึงจะตัดสินใจว่าจะขอกําลังเสริมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าราชาแห่งความมืดเป็นคนแบบไหน

 

“เจ้าพันธมิตรซือหยูโปรดรอสักครู่ ข้าจะพาท่านไปตําหนักเจ็ดจ้าวเดี๋ยวนี้”

 

ไปจงพาซือหยูไปที่หน้าตําหนักโบราณ

 

มีชายแก่สองคนอยู่ด้านข้าง ทั้งคู่กําลังเล่นหมากรุก พวกเขากําลังเล่นหมากรุกกันอย่างตั้งใจ

 

เมื่อซื้อหมูมองทั้งคู่ก็พบพลังชีวิตมหาศาลที่บ่งบอกว่าทั้งคู่จะเป็นภูติระดับสามในอีกไม่นานนั่นทําให้เขาสงสัยว่าทั้งสองเป็นหนึ่งในเจ็ดจ้าวแห่งความมืดของตําหนักนี้หรือไม่

 

“ท่านผู้เฒ่าขาวผู้เฒ่าดํา ข้ามาเพื่อบอกว่าเจ้าพันธมิตรชื่อมาถึงที่นี่แล้วจะได้หรือไม่?”

 

ไปจงเรียกทั้งสองอย่างสุภาพ

 

ทั้งสองที่กําลังจะเป็นภูติระดับสามเป็นแค่คนเฝ้าประตูหรอกรี?

 

ซือหยูตกใจเมื่อคิดได้ดังนี้ ถ้าเช่นนั้น พลังที่อาณาจักรทมิฬซ่อนเอาไว้ก็คงจะแข็งแกร่งอย่างที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน!

 

“หืม? คนนั้นคือเจ้าพันธมิตรชื่อหรอกรึ?”

 

สองผู้เฒ่ามองซือหยูด้วยความแปลกใจ เขาแววตาทั้งคู่ดูใจเย็นหนักแน่นไม่เหมือนคนอื่นพวกเขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเลย

 

“อืม รอพวกข้าเล่นจบตานี้ก่อน”

 

ผู้เฒ่าทั้งสองมองซือหยูเพียงครั้งเดียวก่อนจะหันมามองกระดานหมากรุกตามเดิม

 

พวกเขาทําให้กลับขอให้ซือหยูรอ นอกจากจะไม่สุภาพ มันยังเป็นการดูหมิ่นซือหยูอีกด้วยต่อให้จะไม่ใช่คนอย่างซือหยูที่เป็นตัวแทนของทั้งสํานัก คนที่เป็นแค่คนเฝ้าประตูก็ไม่ควรจะละเลยคนที่มาอยู่หน้าปกติมันบ้ามาก!

 

ไปจงหนักใจ

 

“นะ…เขาคือเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่เดินทางมาจากแดนห่างไกล! ทําเช่นนี้ไม่”

 

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสิน ถ้าเขาอยากรอก็ให้เขารอ ถ้ารอไม่ได้ก็ไปซะ”

 

หนึ่งในผู้เฒ่าตอบ

 

ผู้เฒ่าพูดโดยไม่มองหน้าใคร ทั้งคู่ยังรักษาแววตาหนักแน่นที่มีความหยิ่งยโสเอาไว้

 

“ก็เหมือนกับที่ชั้นเจ็ดนั่นแหละ พวกที่เป็นยาม ยิ่งทํางานมากก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น”

 

ซือหยูเยาะเย้ยพวกเขา เขามองทั้งสองอย่างดูถูก พวกแค่เป็นแค่คนเฝ้าประตูแต่ก็อวดดีถึงเพียงนี้! เขาคิดว่ามันทั้งตลกและน่าเวทนา

ตัวหมากรุกหล่นลงพื้นผู้เฒ่าชุดดํามองเขาสีหน้าของเขายังคงใจเย็นหนักแน่น

 

“ประตูตําหนักเจ็ดจ้าวไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาพูดแบบนี้ได้ จงจําไว้ว่าการพูดไม่คิดจะมอบภัยให้กับตัวเจ้า”

 

ซือหยูเพียงแค่ยิ้มกับคําขู่

 

“ง่ายดายนักหากพวกเจ้าอยากจะไปหาจ้าวนรก แต่ก็ยังยากนักถ้าต้องเจอกับอสูรร้อยเฝ้าประตู เจ้าทํางานเป็นคนเฝ้าประตูอย่างที่ใจอยากเถอะ ลาก่อน!”

 

ซือหยูหมดหวังไปตั้งแต่ได้เจอหลงควนแล้ว เขาอยากจะกลับจริงๆ แต่เมื่อมาถึงที่นี่แล้วเขาก็อยากจะทํามันต่อไปให้จบ แต่ตอนนี้กลับถูกพวกคนเฝ้าประตูชั้นต่ํามาขวาง เขาพบว่าการได้เข้าไปตําหนักเจ็ดจ้าวนั้นยากมากถ้าจะไปหาราชาแห่งความมืดก็คงจะยากกว่า!

 

“ข้ามาเสียเที่ยวจริงๆ”

 

ซือหยูหัวเราะเยาะตัวเองข้างใน ถ้าเขารู้ว่ามันจะลงเอยอย่างนี้เขาก็คงจะไม่มีที่อาณาจักรทมิฬตั้งแต่แรก

 

พี่บ!

 

“รับไปซะ จะนํามันไปส่งดีๆหรือไม่ก็ตามใจพวกเจ้า”

 

ซือหยูหยิบเอาจดหมายลายมือผู้เฒ่าจิวโยนลงบนกระดานหมากรุก

 

ไปจงดูเป็นกังวล สองผู้เฒ่ายังคงไม่แยแสสนใจราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของพวกเขา แม้ว่าทั้งคู่จะทําตัวน่ารังเกียจ แต่ไปจงก็ไม่กล้าจะตําหนิ

 

ไปจงเพียงแค่ไล่ตามซือหยูไปและขอโทษเขาซ้ําแล้วซ้ําเล่า

 

“ท่านเจ้าพันธมิตรซื้อ ได้โปรดรอแล้วฟังข้าก่อน”

 

ซือหยูปัดมือไม่สนใจ

 

“หัวหน้าไป มันไม่ใช่เรื่องของท่าน ข้าควรจะขอบคุณด้วยซ้ําที่ทําทางข้ามาที่นี่ สบายใจเถอะข้าจดจําน้ําใจของท่านได้”

 

“อารมณ์ของผู้เฒ่าขาวดําแปรปรวนเช่นนี้เสมอ พวกเขาสองคนอวดดีหยาบคาย! พวกเขาทําให้หลายคนโกรธอยู่เสมอ ท่านไม่ต้องลดตัวไปอยู่ระดับเดียวกับสองคนนั้นเลย”

 

ไปจงถอนหายใจอย่างอ่อนแรง

 

เจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะต้องมาที่นี่ด้วยเรื่องสําคัญ แต่ผู้เฒ่าขาวดําก็อวดดีเกินกว่าจะมองเรื่องของคนส่วนใหญ่คือความรุนแรงของสถานการณ์

 

ซือหยูไม่คิดจะเสียเวลาคิดเรื่องผู้เฒ่าขาวดํา เขารีบเปลี่ยนเรื่อง

 

“หัวหน้าไป ที่นี่มีร้านขายโอสถหรือไม่?”

 

เขาหยิบเอารายการสิ่งของรวมถึงโอสถหางวิหคเพลิงม่วงและโอสถจันทร์ลับอดุลและโอสถอื่นๆ ทั้งหมดคือสิ่งจําเป็นที่จะใช้รักษาผู้เฒ่าฉิว

 

ไปจงตกใจกับคําถาม เขาหยิบเอารายการโอสถขึ้นไปดูและขมวดคิ้ว

 

“ข้ามีโอสถหางวิหคเพลิงม่วง ข้าให้ท่านเป็นของขวัญได้ แต่ยากนักที่จะหาโอสถจันทร์ลับอดุล”

 

“พวกเจ้าไม่มีมันขายหรอก”

 

ซือหยูสับสนที่รู้ว่าอาณาจักรทมิฬไม่มีโอสถนี้ข

 

ไปจงส่ายหน้า

 

“มิใช่ว่ามันวางขายไม่ได้ แต่โอสถนี้พิเศษมาก มันต้องการแสงจันทร์ในการปรุงพอป รุงแล้วก็เก็บได้เพียงครึ่งเดือนก่อนจะเสียพลังไปทั้งหมด”

 

เขาพูดต่อ

 

“ขณะนี้เป็นยามจันทร์ครึ่งดวง ต่อให้มีโอสถจันทร์ลับอดุล มันก็คงจะหมดพลังไปแล้ว และถ้าท่านอยากจะได้โอสถนี้ ท่านก็ต้องรอจนกว่าจะถึงเดือนใหม่ ขออภัยท่านเจ้าพันธมิตรชื่อ ท่านมาผิดเวลาแล้วล่ะ”

 

ครึ่งเดือนรึ? ข้าจะรอนานขนาดนั้นได้ยังไง กองทัพของห้าศักดิ์สิทธิ์กําลังจะมาทําลายทวีปอยู่แล้ว!

 

และอาการของผู้เฒ่าฉิวก็ไม่ได้เบาบาง ถ้าไม่ได้โอสถทั้งหมดที่ต้องใช้ นางก็อาจจะแย่ยิ่งกว่าเดิมนางอาจจะหลับไปตลอดกาลก็ได้

 

“อืม อ้อ…มิใช่ว่าจะไม่มีทางอื่นเลย แต่มันยากนัก…”

 

ไปจงพูดขึ้นมา ซื้อหมูสนใจในทันที

 

ซือหยูเลิกคิ้ว

 

“ท่านหัวหน้าไป พูดมาเลย…”

 

“เรามีที่ลับ เป็นขอบแดนลับที่เวลาไหลต่างจากภายนอก ข้าคิดดูแล้ววันนี้จะเป็นวันจันทร์เต็มดวงของที่นั่นท่านไปหาแสงจันทร์เต็มดวงจากที่นั่นได้ แสงจันทร์นั่นจะใช้ปรุงโอสถจันทร์ลับอดุล!”

 

ไปจงเสนอทางแก้ปัญหา

 

ซือหยูตกใจมาก

 

“มีที่แบบนั้นอยู่ในชั้นแปดด้วยรี?”

 

แม้แต่สถานที่ที่ยิ่งใหญ่อย่างตําหนักเจ็ดจ้าวยังตั้งอยู่ในชั้นเจ็ดเขาจึงบอกได้ว่าชั้นแปดสําคัญเพียงใด

 

“ท่านเจ้าพันธมิตรซื้อหลักแหลมนัก”

 

ไปจงพูดด้วยรอยยิ้ม

 

ซือหยูครุ่นคิดและถาม

 

“เช่นนั้น ชั้นแปดก็เป็นที่เก็บทรัพยากรทั้งหมดของอาณาจักรสินะ?”

 

“มิได้ เหตุที่ชั้นแปดไม่เป็นที่อยู่อาศัยมิใช่เพราะเก็บทรัพยากรไว้ที่นั่นแต่เป็นเพราะมิตินั้นไม่มั่นคงมีรอยแยกมิติปรากฏอยู่บ่อยๆมันอันตรายและไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย ผู้คนเลยมักจะไม่เข้าไป

 

เขาหายใจเข้าลึกและพูดต่อ

 

“แต่เพราะรอยแยกมิติพวกนั้น เวลาของที่นั่นกับโลกภายนอกเลยต่างกันมีบางคนที่ใช้เหตุก ารณ์นี้เข้ามาบ่มเพาะพลัง บ้างก็มีคนมาเก็บแสงจันทร์ที่นี่”

 

ใช้การไหลเวลาที่ต่างกันบ่มเพาะพลังรึ? ซือหยูคิดถึงพลังเร่งเวลาที่เขาเคยมี

 

“เวลาในชั้นแปดช้ากว่าโลกภายนอกเท่าใดรี?”

 

ซือหยูถาม

 

“ครึ่งชั่วยามที่ชั้นแปด เท่ากับหนึ่งชั่วยามของโลกภายนอก”

 

ความต่างนี้ค่อนข้างดี ไม่แปลกที่อาณาจักรทมิฬจะสร้างภูติได้หลายคนในเวลาเพียงสามปี โดยเฉพาะถ้าพวกคนเหล่านั้นใช้ความได้เปรียบนี้!

 

“แต่คนมักจะไม่เข้าไปนานเกินสองชั่วยามข้างในนั้น จะมีหมอกพิษปรากฏในทุกหนึ่งชั่วยาม มันเป็นพิษร้ายแรงที่ภูติระดับสามอาจจะสลบถ้าสัมผัสกับมันดังนั้นทุกหนึ่งชั่วยามจะมีคนจากข้างในออกมาและรออีกหนึ่งชั่วยามเพื่อที่จะเข้าไปใหม่”

 

ซือหยูลูบคาง ดูเหมือนว่าความต่างของเวลาจะใช้ไม่ง่ายอย่างที่เขาคิดในที่แรก

 

“เจ้าพันธมิตรซือหยู ท่านรอที่นี่ให้ข้าไปเก็บแสงจันทร์จะดีหรือไม่?

 

ไปจงค่อนข้างเอาใจใส่

 

ซือหยูอับอายจากการดูแลของเขา เพราะซือหยูเองยังขโมยม้าเมฆาของเขามา!แต่เป็นเพ ราะความต่างในด้านฐานะ แม้จะไม่นับเรื่องความนับถือต่อซือหยูไปจงก็ไม่เคยพูดถึงมันเลย

 

แล้วตอนนี้เขาจะให้ไปจงไปเสี่ยงแทนได้อย่างไร? ถึงไปจงจะไม่พูดอย่างละเอียด ซือหยูก็บอกได้ว่าที่นั่นมันไม่ปลอดภัย

 

“หัวหน้าไป ข้าขอเข้าไปเองไม่ได้รี?”

 

ซือหยูถาม

 

ไปจงลังเลเล็กน้อย

 

“ตามกฏมีแค่คนอาณาจักรทมิฬเท่านั้นที่จะได้เข้าไป”

 

ไม่แปลกที่เป็นเช่นนั้น คงจะไม่ฉลาดแน่ถ้าปล่อยให้คนนอกเข้าไปในที่สําคัญเช่นนั้น

 

“แล้วถ้าข้าปิดบังตัวเองเล่า?”

 

ซือหยูหยิบเอาหน้ากากมาสวม

 

ไปจงลังเล ก่อนจะยอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก

 

“ย่อมได้ อย่างไรก็ไม่มีของมีค่าที่นั่น อาณาจักรมิได้เสียหายอะไรท่านตามหลังข้ามาก็พอ”

 

หลังจากครึ่งชั่วยามที่ขอบของชั้นเจ็ด มีลําดับยักย้ายที่เก่าแก่เสียหายตั้งอยู่

 

พรึ่บ!

 

แสงส่องประกาย จํานวนคนมากมายออกมา สภาพของคนด้านหน้าดูไม่เป็นอะไรและใจเย็น แต่คนข้างหลังล้วนสภาพย่ําแย่ บางคนหมดสติและถูกคนของตัวเองช่วยออกมา

 

มีหลายคนตกใจและแปลกใจ พวกเขาพูดคุยกันไม่นานที่ลําดับยักย้ายก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

ไปจงใจเต้นแรงและเดินไปยังคนที่หมดสติ เขาเป็นชายอายุสามสิบใบหน้าดูสีม่วงเพราะต้อ งพิษ

 

“ท่านหัวหน้าผู้ตรวจการ”

 

ทุกคนต่างเรียกเขาด้วยความนับถือเมื่อเห็นไปจง

 

“ท่านหัวหน้าผู้ตรวจการ นี่เป็นเพราะหมอกพิษ”

 

หญิงสาวที่ช่วยชายที่ถูกพิษพยุงเขาให้ลุกขึ้นมา

 

ดูเหมือนนางจะเป็นภรรยาของเขา น้ําตาไหลนองใบหน้า เขามองนางและเห็นว่าใบหน้าของผู้ เป็นภรรยามีสีม่วงอยู่บ้างเช่นกัน

 

ไปจงเลิกคิ้ว

 

“มีใครเจ็บหนักนอกจากเขาอีกหรือไม่?”

 

เรื่องแบบนี้มักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมีหลายคนที่ไม่บ่มเพาะพลังเพียงลําพังนั่นช่วยให้ พวกเขารอดจากอันตรายอย่างการบ่มเพาะจนเลยเวลาจนถูกพิษ!

 

แต่ตอนนี้อาณาจักรได้ทําสัญลักษณ์ของจุดปลอดภัยรอบๆลําดับยักย้ายไว้แล้วถ้าพวกเขาไม่ออกจากที่นั้นก็จะไม่เป็นอันตรายดังนั้นจึงเป็นเวลานานมากแล้วที่มีคนบาดเจ็บจากหมอกพิษ