ฉินอวี้ยิ้มพลางให้คนจัดหาที่นั่ง
เจิ้งอี้ เจิ้งเฉิง และเจิ้งเซี่ยวฉุนทยอยนั่งลง
ฉินอวี้ก็ทำเหมือนเซี่ยฟางหวา ถามคนจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางทั้งสามว่าเหตุใดจึงมาถึงเร็วขนาดนี้ ท่านปู่เจิ้งก็ตอบแบบเดียวกับที่ตอบเซี่ยฟางหวา
ฉินอวี้ยิ้มพลางพยักหน้า
ทักทายกันพักหนึ่ง เวลาก็ล่วงเลยสู่ยามอู่แล้ว พระชายาอิงชินอ๋องสั่งสี่ซุ่นกับชุนหลันให้นำคนยกอาหารที่ตระเตรียมไว้แล้วมาที่ศาลาริมน้ำ
ฉินอวี้ยกมือเรียกเยี่ยนถิง หลี่มู่ชิง กับพวกเฉิงหมิงมาร่วมโต๊ะด้วยกัน
เจิ้งอี้เห็นว่าฉินอวี้มิได้วางมาดฮ่องเต้แม้แต่น้อย หากแต่พูดคุยกับท่านโหวน้อยเยี่ยนแห่งจวนหย่งคังโหว คุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา และคนอื่นๆ อย่างสบายๆ พร้อมยิ้มอ่อนโยน สมคำร่ำลือว่าเป็นคนละมุนละม่อมอ่อนโยน ไม่แตกต่างจากตอนยังเป็นองค์ชายสี่และรัชทายาท จิตตื่นตระหนกที่เริ่มระแวดระวังตอนมาถึงนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายลงกว่าครึ่ง
บนโต๊ะอาหาร เจิ้งอี้ถามว่า “คุณชายทุกท่านล้วนอยู่พร้อมหน้า ไฉนถึงไม่เห็นท่านอ๋องน้อยเจิง”
ฉินอวี้ผินหน้ามองไปยังเซี่ยฟางหวาซึ่งนั่งที่โต๊ะแขกสตรีแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยอารมณ์เล็กน้อย “ฟังว่าดอกฉิงเหริน*[1]ที่อายุห้าร้อยปีบนเขาชางอู๋ใกล้บานแล้ว เขาไปที่นั่นเพื่อเก็บดอกฉิงเหรินกลับมา”
เจิ้งอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง
“เหตุใดถึงเป็นดอกฉิงเหริน” เจิ้งเฉิงสงสัย
“ฟังว่าดอกไม้ชนิดนี้บานบนหน้าผาสูงชันบนยอดเขาชางอู๋ หากคู่รักได้กินมันด้วยกัน ก็จะไม่แยกจากกันอีกตลอดชีวิต ครองคู่กันไปจนแก่เฒ่า” ฉินอวี้เอ่ย “หลังเขาได้ยินก็ไม่สนใจการงานแล้ว รีบไปเก็บมันมา”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าบนโลกนี้มีดอกไม้ชนิดนี้ด้วย” เจิ้งเฉิงกล่าว
“ใต้หล้ากว้างใหญ่ เรื่องมหัศจรรย์มีอยู่เต็มไปหมด” ฉินอวี้เอ่ย
เจิ้งอี้ครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้น “ข้าคล้ายเคยได้ยินว่ามีดอกไม้ชนิดนี้เช่นกัน แต่คิดว่าเป็นแค่ตำนาน ไม่คิดเลยว่าจะมีอยู่จริง และนึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องน้อยเจิงจะเดินทางไปยอดเขาชางอู๋แล้ว น่าจะห่างจากเมืองหลวงหลายพันลี้กระมัง”
“มิใช่หรือ เขาชางอู๋อยู่ไกลจากเมืองหลวง ต้องขี่ม้าเร็วเดินทางถึงเจ็ดวันกว่าจะไปถึง” เยี่ยนถิงแค่นเสียงในลำคอ “เดิมข้าคิดจะตามไปด้วย แต่เขากลัวว่าข้าจะไปแย่งดอกฉิงเหรินของเขา หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมให้ข้าไปด้วย”
“ท่านอ๋องน้อยเจิงยึดอารมณ์เป็นที่ตั้ง” เจิ้งอี้กล่าว
“ไม่ยอมทำการทำงาน” ฉินอวี้แค่นเสียงแผ่วเบา
เจิ้งอี้มองฉินอวี้แวบหนึ่ง คิดบางสิ่งขึ้นได้ นัยน์ตาเกิดประกายแวบผ่านอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเด็กบ้านั่นมีหรือจะทำการทำงาน หวาเอ๋อร์หนีไปไหนไม่ได้แล้ว ไปเก็บดอกฉิงเหรินอะไรนั่นบนเขาชางอู๋ที่สูงขนาดนั้น หน้าผาก็สูงขนาดนั้น น่าเป็นห่วงจะแย่” พระชายาอิงชินอ๋องสมทบ “แต่เขาเอาแต่ใจจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว ตอนที่อดีตฮ่องเต้ อดีตไทเฮา และฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ เขาก็กำเริบเสิบสานอย่างยิ่ง ทำตามอำเภอใจ อยากทำอะไรก็ทำ ล้วนถูกตามใจจนเคยตัว ตอนนี้หากดัดนิสัยเขา คงแก้มิได้แล้ว”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไฉนพี่สะใภ้ถึงไม่บอกว่าเจ้าเองก็ตามใจเขาเช่นกัน แต่ผลักให้คนที่เคยมีชีวิตอยู่ทั้งหมด”
พระชายาอิงชินอ๋องถลึงตามองไทเฮา “ตอนนี้ข้านึกเสียใจแล้ว เป็นห่วงเขาทุกวัน”
“ในเมื่อเขาไปเก็บดอกไม้ที่เขาชางอู๋ แสดงว่ามีความสามารถที่จะเก็บมันมาได้ ข้าว่าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก เขาไม่ยอมให้ตัวเองเป็นอะไรไปแน่ ในบ้านยังมีหวาเอ๋อร์อยู่ เขามิได้โง่” ไทเฮายิ้มเอ่ย
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “ก็จริง” พูดจบก็กล่าวต่อ “อย่ามัวคุยเล่นเลย อย่าลืมเรื่องสำคัญที่พวกท่านปู่เจิ้งเข้าเมืองหลวง”
ไทเฮายิ้มแล้วพยักหน้า เอ่ยถามองค์หญิงใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง “ข้าว่าคุณชายเจิ้งทั้งบุคลิกและรูปลักษณ์ล้วนโดดเด่น ตระกูลที่เจ้าสนใจจะเกี่ยวดองด้วยนั้น ไม่เลวเลยจริงๆ”
องค์หญิงใหญ่ยิ้มพลางพยักหน้า พึงพอใจในตัวเจิ้งเซี่ยวฉุนอย่างยิ่ง เห็นว่าจินเยี่ยนเองก็มิได้มีแนวโน้มต่อต้าน จึงยิ้มกล่าวว่า “ท่านปู่เจิ้ง นายท่านใหญ่ และคุณชายก็เห็นเยี่ยนเอ๋อร์แล้ว ไม่รู้ว่าคิดเช่นไร” หยุดชั่วครู่ก็เสริมว่า “เยี่ยนเอ๋อร์คนนี้ก็ถูกข้าตามใจมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน”
เจิ้งอี้ลูบเคราหัวเราะยกใหญ่ “ข้าคิดว่าท่านหญิงจินเยี่ยนดีมาก แม้ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางของเรามีกฎในตระกูลเยอะ และมีการอบรมสั่งสอนที่เข้มงวด แต่ย่อมปฏิบัติต่อท่านหญิงอย่างโอบอ้อมอารี”
เจิ้งเฉิงก็ผงกศีรษะ ยิ้มกล่าวว่า “ท่านหญิงจินเยี่ยนเป็นบุตรีขององค์หญิงใหญ่ ที่ผ่านมาองค์หญิงใหญ่วางตัวดีจนผู้คนล้วนชื่นชม ท่านหญิงจินเยี่ยนย่อมมิได้น้อยหน้า” หยุดชั่วครู่ มองเจิ้งเซี่ยวฉุนแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “แต่เจ้าลูกชายคนนี้มีนิสัยซื่อๆ ไม่ชอบพูดจา กลัวว่าจะทำให้ท่านหญิงลำบากใจแล้ว”
ใบหน้าเจิ้งเซี่ยวฉุนแดงแล้วแดงอีก
องค์หญิงใหญ่ได้ยินเจิ้งเฉิงชมตนก็มีความสุขอย่างยิ่ง ยิ้มพลางส่ายหน้าว่า “ข้าว่าคุณชายเจิ้งมีบุคลิกดียิ่ง ข้าไม่ชอบคนประเภทที่ชอบพูดจาโอ้อวดเกินจริง ขอเพียงดีต่อเยี่ยนเอ๋อร์ ไม่ชอบพูดจาแล้วจะเป็นไรไป”
“เจ้าลูกชายถูกหมายตาจากองค์หญิงใหญ่ เป็นวาสนาของเขา” เจิ้งเฉิงกล่าวทันใด
เจิ้งอี้ยิ้มพลางหันไปมองฉินอวี้ที่นั่งตำแหน่งประธาน ยกมือประสานต่อเขา “ฝ่าบาท ข้ามีเรื่องอยากขอความกรุณา”
“ท่านปู่เจิ้งโปรดพูดมา” ฉินอวี้ยิ้มพลางพักหน้า
“พวกเราพึงพอใจท่านหญิงจินเยี่ยนอย่างมาก องค์หญิงใหญ่กับท่านหญิงจินเยี่ยนดูแล้วก็มิได้มีความเห็นต่อหลานชายเซี่ยวฉุนเช่นกัน มิสู้ถือโอกาสนี้ฝ่าบาททรงออกสมรสพระราชทาน มอบความสุขแก่ทุกฝ่าย” เจิ้งอี้ตอบ
ฉินอวี้ยิ้มอ่อนโยน “สองฝ่ายล้วนพึงพอใจ เราออกสมรสพระราชทานให้ย่อมง่ายมาก” เอ่ยจบ เขาก็เปลี่ยนน้ำเสียงไป “แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงไว้ทุกข์แก่อดีตฮ่องเต้ ถึงอย่างไรน้องจินเยี่ยนก็เป็นเครือญาติราชนิกุล อดีตฮ่องเต้มีหลานสาวเพียงคนเดียว รักใคร่เอ็นดูมาตั้งแต่เด็ก นางก็ต้องรอให้ครบระยะเวลาไว้ทุกข์ก่อนถึงจะสมรสได้”
“นี่ย่อมแน่นอน ความกตัญญูยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นอดีตฮ่องเต้เพิ่งสวรรคต ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์แห่งชาติ ย่อมต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เซี่ยวฉุนกับท่านหญิงจินเยี่ยนให้หมั้นหมายกันไว้ก่อน ปีหน้าค่อยแต่งก็ยังไม่สายเช่นกัน พวกเขายังเยาว์วัย รอโตกว่านี้สักปีสองปี ย่อมไม่เป็นปัญหา” เจิ้งอี้กล่าวทันใด
ฉินอวี้มองไปยังองค์หญิงใหญ่กับจินเยี่ยน
องค์หญิงใหญ่ยิ้มพลางพยักหน้า
จินเยี่ยนไม่มีความเห็น พยักหน้าตามเช่นกัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้เราก็จะออกโองการ เราเห็นว่าคุณชายเจิ้งทั้งบุคลิกและความประพฤติล้วนไม่เลว นับว่ายอดเยี่ยม วงศ์ตระกูลสองฝ่ายก็เหมาะสมกัน ต่างฝ่ายต่างไม่เสียเกียรติ ฝากฝังน้องจินเยี่ยนให้คุณชายเจิ้งได้ ถ้าคุณชายเจิ้งดูแลเป็นอย่างดี เราก็ปลื้มใจแล้วเช่นกัน” ฉินอวี้ยิ้มเอ่ย
เจิ้งเซี่ยวฉุนลุกขึ้นยืนทันที ประสานมือคำนับ มองจินเยี่ยนด้วยหน้าแดงระเรื่อ “หากท่านหญิงไม่รังเกียจ ผู้น้อยจะต้องดูแลท่านหญิงเป็นอย่างดี รักใคร่ปรองดองกัน”
ใบหน้าจินเยี่ยนเองก็แดงระเรื่อเช่นกัน พยักหน้าตอบ
ฉินอวี้เห็นเช่นนี้ก็เงียบลงพักหนึ่ง ก่อนสั่งเสี่ยวเฉวียนจื่อไปนำพระราชโองการมาเขียนร่าง
พักใหญ่ถัดมา ฉินอวี้จับพู่กันเขียนพระราชโองการให้ มอบสมรสพระราชทานแก่เจิ้งเซี่ยวฉุนและ
จินเยี่ยน ณ ที่แห่งนั้น
เมื่อสมรสพระราชทานออกมา ภายในศาลาริมน้ำก็ครึกครื้นขึ้นมาทันตา
บุรุษหนุ่มทั้งหมดดื่มอวยพรแก่เจิ้งเซี่ยวฉุน เยี่ยนถิงกับหลี่มู่ชิงลากเขาไปดื่มสุราด้วย ส่วนฝ่ายหญิงก็ดึงจินเยี่ยนออกมา พากันกล่าวแสดงความยินดีกับนาง
เยี่ยนหลันยิ้มพลางกระทุ้งจินเยี่ยน “เจิ้งเซี่ยวฉุนไม่เลวเลยจริงๆ เจ้าดูสิ เขาอยู่ร่วมกับพวกพี่ชายแล้ว แม้ไม่ชอบพูดจา แต่ยังคงอากัปกริยาสง่างาม ดูแล้วน่าคบหาไม่เบา อีกอย่างเขาก็มิได้เหล่มองมาทางพวกเราแม้แต่น้อย เห็นได้ถึงความซื่อสัตย์ คนซื่อย่อมมีข้อดีของคนซื่อ ไม่ชายตามองสตรีอื่น”
จินเยี่ยนไอขึ้นมาจนเกือบสำลัก
เซี่ยฟางหวาหันไปมองทางนั้นด้วยรอยยิ้มขำแวบหนึ่ง “แม้ไม่ชอบพูดจากับคนอื่น มีศีลธรรมดีงาม แต่คุณชายเจิ้งก็ดื่มสุราเก่งไม่เบา” พูดจบก็หยอกล้อจินเยี่ยน “เจ้าก็ควรฝึกดื่มสุราเช่นกัน อย่าได้คืนเข้าหอเจ้าเมาอ้อแอ้ ทำเสียเรื่องหมด”
“วันนี้เจ้าช่างน่าตีนัก” จินเยี่ยนวางถ้วยน้ำชาลง ยกมือตีเซี่ยฟางหวา ถลึงตาด้วยความโกรธว่า “ตอนที่เจ้าเข้าหอ อย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้ จนตะวันสายโด่งแล้วยังไม่ลุกขึ้นมา ยังมีหน้ามีหยอกล้อข้าอีกรึ”
เซี่ยฟางหวากระแอมไอขึ้นมาทันที ใบหน้าก็แดงเช่นกัน “ระวังคนอื่นได้ยินเข้า คนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางจะคิดว่าเจ้ามุทะลุ รีบถอนหมั้นทันที”
จินเยี่ยนแค่นเสียง ก่อนออกแรงหยิกเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวายิ้มพลางถือโอกาสนี้จูงนาง แล้วเอ่ยบอกทุกคน “ข้าว่าพวกเรากินกันไปพอสมควรแล้ว ไปนั่งเล่นที่เรือนลั่วเหมยของข้าเป็นเช่นไร เหนื่อยมาตลอดช่วงเช้าแล้ว ทุกคนก็ไปพักผ่อนที่เรือนข้าเถิด”
“เรือนลั่วเหมยของพี่ฉินเจิงไม่เคยให้คนนอกเข้าไป” จินเยี่ยนกล่าว “เจ้าแน่ใจหรือ”
“แน่นอน เขาไม่อยู่ ข้าเป็นเจ้าของ” เซี่ยฟางหวาปั้นหน้าขึงขัง
“ตกลง ไปกันเถอะ” จินเยี่ยนเรียกคนอื่น
เวลานี้ ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาก็เดินมาหา พูดกับหลี่หรูปี้ว่า “ปี้เอ๋อร์ แม่เหนื่อยแล้ว เรากลับจวนกันเถอะ เริ่มจะเย็นแล้ว”
“ท่านแม่ พวกเราตรงนี้ยังไม่แยกย้ายเลย ฝั่งฮูหยินก็เหนื่อยกันแล้วหรือ” หลี่หรูปี้ยิ้มกล่าว
“เป็นแม่ที่เริ่มจะเหนื่อยแล้ว” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาส่ายหน้า
หลี่หรูปี้ครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้ ข้ากลับพร้อมท่าน” พูดจบ นางก็บอกเซี่ยฟางหวากับพวกเยี่ยนหลันว่า “พวกเจ้าไปเล่นกันต่อเถอะ ท่านแม่เหนื่อยแล้ว ข้าจะกลับจวนกับท่านแม่”
“ในเมื่อฮูหยินเหนื่อยแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปกับนางเถอะ วันหลังค่อยมาใหม่” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว
หลี่หรูปี้พยักหน้า
เซี่ยฟางหวาจะไปส่งฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวากับหลี่หรูปี้กลับจวน ทว่าหลูเสวี่ยอิ๋งก็เดินมาหา ยิ้มบอกว่า “น้องสะใภ้ เจ้าพาพวกนางไปเรือนลั่วเหมยเถอะ ข้าจะไปส่งฮูหยินกับคุณหนูหลี่เอง”
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ
หลูเสวี่ยอิ๋งส่งทั้งสองออกจากจวน
[1] *ดอกฉิงเหริน แปลตรงตัวว่า ดอกคนรัก