ส่วนที่ 5 ตอนที่ 26-2 ทำร้ายคนบนถนน

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

ครั้นทั้งสองคนเดินไปไกลแล้ว เยี่ยนหลันก็ดึงเซี่ยฟางหวาเข้ามา กระซิบเสียงเบาว่า “หลี่หรูปี้ไม่สนใจเจิ้งเซี่ยวฉุน วันนี้เกรงว่าคงเสียใจแล้ว คุณชายตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ ถูกจินเยี่ยนแย่งไปเป็นของล้ำค่าแล้ว เห็นเขาหน้าแดง ข้าก็อยากหยอกล้อเขา แต่น่าเสียดายที่ไม่กล้า กลัวว่าองค์หญิงใหญ่คิดว่าข้าจะแย่งลูกเขย หยิบมีดมาสังหารข้าเสียก่อน” 

 

           จินเยี่ยนตีเยี่ยนหลันฝ่ามือหนึ่งอย่างมีน้ำโห “ระวังแม่ข้าได้ยิน จะหยิบมีดมาแทงเจ้าเสียตอนนี้” 

 

           เยี่ยนหลันแลบลิ้นทะเล้นใส่จินเยี่ยน จากนั้นก็หันไปกระซิบกับเซี่ยฟางหวาอีกหน “เจ้ารู้สึกไหมว่าวันนี้หลี่หรูปี้ดูแปลกไป” 

 

           “แปลกอย่างไร” เซี่ยฟางหวามองนาง 

 

           เยี่ยนหลันส่ายหน้า “บอกไม่ถูก คิดว่าจู่ๆ นางก็ไม่มุ่งมั่นออกบวชแล้ว วันนี้หลังออกจวนมาก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น น่าแปลกนัก ไหนเลยจะมีก่อเรื่องวุ่นวายอยู่ตั้งนาน วันนี้กลับไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่เล็กน้อย ควรเล่นก็เล่น ควรยิ้มก็ยิ้ม เจ้าไม่คิดว่าแปลกหรือ” 

 

           “บางทีนางอาจปล่อยวางได้แล้ว ตื่นรู้อย่างแจ่มแจ้ง” เซี่ยฟางหวายิ้ม  

 

           เยี่ยนหลันเกาศีรษะ “ข้าก็ไม่อยากคิดไปในแง่ร้าย หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใด 

 

           ทั้งหมดแย้มยิ้มพูดคุยกันไปยังเรือนลั่วเหมย 

 

           อวี้จั๋วกับหลินชีที่อยู่เฝ้าเรือนลั่วเหมยทราบข่าวก่อนแล้ว พวกซื่อหลานกับซื่อหว่านจึงจัดเตรียมโต๊ะเก้าอี้ น้ำชา และจานผลไม้มาวางในลาน 

 

           หลังทุกคนเข้ามา ไป๋ชิงกับจื่อเย่ก็วิ่งกรูออกมาขวางกลางลานบ้าน แยกเขี้ยวยิงฟันใส่ทุกคน ส่งเสียงขู่คำราม ทำท่าทำทางที่ดุร้ายอย่างยิ่ง 

 

           เจิ้งเย่เวยกับหวางจื่อหมิงที่ขี้กลัวตกใจจนเกือบร้องออกมา 

 

           ตั้งแต่จิ้งจอกขาวกับเตียวม่วงมาอยู่เรือนลั่วเหมยก็มีอาหาร น้ำดื่ม และที่อยู่อาศัยอย่างดี ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาแม้ไม่อยู่ในเรือน แต่หลินชีก็ไม่ลืมที่จะให้อาหารพวกมันสามมื้อต่อวัน เลี้ยงจนเจ้าสองตัวนี้โตกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จากเดิมที่เคยน่ารักไร้พิษสง ยามนี้เผยให้เห็นเขี้ยวฟัน และยังมีกำลังขัดขวางพร้อมอย่างยิ่ง 

 

           “พวกมันไม่ต้อนรับเราหรือ” จินเยี่ยนถาม 

 

           “เหมือนเจ้านายพวกมันมิผิด” เยี่ยนหลันเม้มปาก “ดูท่าจะไม่ต้อนรับพวกเจ้า เมื่อวานตอนที่ข้ามา พวกมันมิได้ไม่ต้อนรับข้าแบบนี้” 

 

           “เจ้าเป็นมิตรกับมันแล้วกระมัง” จินเยี่ยนเหลือกตามองเยี่ยนหลัน 

 

           เซี่ยฟางหวายิ้มขำ โบกมือไล่เจ้าสองตัวน้อย “นี่เป็นแขกที่ข้าพามา” 

 

           เจ้าสองตัวน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ร้องหงิง เก็บท่าทีดุร้าย วิ่งมายังเท้าของเซี่ยฟางหวา คลอเคลียเข้ากับชายกระโปรงของนาง 

 

           เซี่ยฟางหวาย่อตัวใช้มือลูบพวกมัน พวกมันส่ายหางไปมาอย่างสบายใจ ก่อนเดินจากไปอย่างเชื่อฟัง 

 

           “ฉลาดยิ่งนัก” เฉิงอวี้ปิ่งกล่าวด้วยความแปลกใจ 

 

           เซี่ยฟางหวายิ้มพลางเชิญทุกคนเข้าไปข้างใน 

 

           ทุกคนนั่งลง ผลัดกันสนทนา ดื่มน้ำชาพลางพูดคุยสัพเพเหระ 

 

           ดอกเหมยในเรือนลั่วเหมยส่งกลิ่นหอมทั่วสารทิศ ต้นลั่วเหมยถูกสายลมพัดผ่าน กลีบดอกไม้ร่วงหล่นแล้วปลิวละล่อง ห่างไกลจากความวุ่นวายด้านหน้า อบอุ่นแลเงียบสงบอย่างยิ่ง 

 

           “เรือนลั่วเหมยน่าอยู่นัก พี่ฉินเจิงคงเพลิดเพลินยิ่ง ข้าเพิ่งเคยมาเรือนลั่วเหมยครั้งแรก” จินเยี่ยนทอดถอนใจกล่าว “เมื่อก่อนพี่ฉินเจิงไม่เคยให้สตรีคนใดเข้ามาในเรือนของเขา แม้แต่สาวใช้ก็ห้าม” 

 

           “นิสัยประหลาด” เยี่ยนหลันเบียดเซี่ยฟางหวา กระซิบว่า “ข้าได้ยินว่าพี่ชายข้าอยากสู่ขอสาวใช้ของเจ้า มีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือ” 

 

           เซี่ยฟางหวาชะงัก หลุดยิ้มแล้วพยักหน้า 

 

           “สาวใช้คนไหนของเจ้า” เยี่ยนหลันถามทันที  

 

           เซี่ยฟางหวามองรอบกายแวบหนึ่ง แล้วตอบว่า “เป็นผิ่นจู๋” 

 

           “ผิ่นจู๋…” เยี่ยนหลันครุ่นคิด ก่อนกระจ่างแจ้ง “อ้อ ข้ารู้แล้ว คนที่มีสง่าราศีมากคนนั้น” 

 

           เซี่ยฟางหวายิ้มพลางพยักหน้า 

 

           “ว่ามิได้ สายตาของพี่ชายข้ายังไม่เลวจริงๆ” เยี่ยนหลันตอบ 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่พูดอะไร 

 

           “นางไม่ตกลงใช่หรือไม่ มิฉะนั้นวันนี้พี่ชายข้าคงไม่ดูกลัดกลุ้มแบบนั้น” เยี่ยนหลันกล่าวอีก  

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

           “เหตุใดนางถึงไม่ตอบตกลงกับพี่ชายข้า พี่ชายข้าไม่ดีตรงไหน” เยี่ยนหลันสงสัย  

 

           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด ก่อนบอกเรื่องที่ผิ่นจู๋ชอบเซี่ยม่อหานออกไป 

 

           เยี่ยนหลันเข้าใจทันใด “มิน่าเล่า” พูดจบ นางก็แสดงสีหน้ากลุ้มใจ “เทียบกับพี่ชายเจ้าแล้ว พี่ชายข้าดูแล้วไม่น่าเชื่อถืออยู่บ้าง” พูดจบ นางก็กล่าวต่อ “แต่ถึงอย่างไรก็สกุลเซี่ยเหมือนกัน พี่ชายเจ้ามีฐานะเป็นผู้สืบทอดจวนจงหย่งโหว เป็นนายท่านโหวเซี่ย มิอาจแต่งกับนางได้กระมัง เครือญาติตระกูลเซี่ยว่าอย่างไร แม้ตระกูลเซี่ยแยกตระกูลและบรรพบุรุษแล้ว แต่เรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง อีกอย่างพี่ชายเจ้าชอบนางหรือไม่” 

 

           “ข้าก็ไม่รู้ ท่านพี่ไม่อยู่ในเมือง” เซี่ยฟางหวาตอบ 

 

           “วันนี้ข้าจะลองกลับไปถามความเห็นท่านแม่ดู หากท่านแม่ก็เห็นด้วย พวกเรามาช่วยพี่ชายข้ากันเถอะ” เยี่ยนหลันลดเสียงลง “ข้าไม่อยากให้ท่านพี่สู่ขอสตรีที่ถูกใจไม่สำเร็จสักคน จนตัวเองสูญเสียความมั่นใจไป” 

 

           เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม “ท่านโหวน้อยเยี่ยนคิดตก มิได้ไขว่คว้ามากเกินควร ปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ” 

 

           เยี่ยนหลันยกมือกดหน้าผากนาง “เป็นห่วงพี่ชายเจ้าเถอะ เขาก็อายุไม่น้อยแล้ว ตอนนี้อยู่ที่พรมแดน สงครามระหว่างเรากับเป่ยฉีไม่รู้ว่าอีกกี่ปีจะยุติลง แล้วพี่ชายเจ้าจะได้แต่งภรรยาเมื่อไร” 

 

           “ก็จริง” เซี่ยฟางหวาย่นหัวคิ้ว  

 

           เยี่ยนหลันทำให้นางกังวลได้สำเร็จ ตัวเองก็ดีใจไม่น้อย “เห็นไหม เป็นห่วงพี่ชายเหมือนกันแท้ๆ เจ้ายังจะปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติหรือไม่” 

 

           เซี่ยฟางหวาทั้งหมดคำพูดและทั้งยิ้มขำต่อนาง 

 

           ทุกคนนั่งพูดคุยกันราวครึ่งชั่วยาม 

 

           เวลานี้ ซื่อฮว่าเดินมาข้างกายเซี่ยฟางหวา ใช้เสียงทุ้มต่ำรายงานว่า “คุณหนู เมื่อครู่ฮูหยินหมิงส่งข้อความบอกว่า คนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางมิใช่มาแค่สามคน ยังมีคุณชายรองอีกท่านหนึ่งด้วยเจ้าค่ะ” 

 

           “หืม” เซี่ยฟางหวาผินหน้า 

 

           ซื่อฮว่าพยักหน้ายืนยัน “คุณชายรองท่านนี้เป็นน้องชายแท้ๆ ของคุณชายใหญ่เจิ้งเซี่ยวฉุน แต่ไหนแต่ไรเอาแต่เอ้อระเหยลอยชาย ชอบเล่นสนุกทุกรูปแบบ ฟังว่าชั่วชีวิตไม่เคยมีปณิธาน ไร้ซึ่งจุดเด่น ฟังว่าถูกมารดาตามใจเช่นกัน ตอนที่ฮูหยินนายท่านใหญ่ให้กำเนิดเขา หัวใจของมารดากับบุตรชายเชื่อมติดกัน ฮูหยินจึงยอมสละชีพเพื่อช่วยชีวิตเขา ก่อนตายก็ขอร้องให้นายท่านใหญ่กับคุณชายใหญ่ดูแลเขาให้ดี อย่ารังแกเขา ดังนั้น นายท่านใหญ่กับคุณชายใหญ่จึงรักและเอ็นดูเขาอย่างมาก ต้องการสิ่งใดก็หามาให้ จนเติบโตมาเสียคนแล้ว” 

 

           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด “ในเมื่อเขาก็มาด้วย แล้วเหตุใดถึงไม่มีคนมารายงานฝ่าบาท” 

 

           “เขาเข้าเมืองมาช้ากว่าสามคนนั้นก้าวหนึ่ง อีกอย่างเวลาเขาอยู่ในตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็มิใช่ลูกหลานที่โดดเด่นอันใด ใครจะให้ความสนใจเขาเล่า ถึงแม้สังเกตเห็นเขาก็มิได้นำมารายงาน” ซื่อฮว่าตอบ  

 

           “ท่านอาสะใภ้หกยังบอกอะไรอีก” เซี่ยฟางหวาถาม 

 

           “ฮูหยินหมิงแค่อยากบอกให้คุณหนูทราบ มิได้บอกอันใดแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ต้องตื่นตัวต่อตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง คุณชายรองท่านนี้แม้ชื่อเสียงไม่ดี แต่ก็เป็นคนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง มิอาจละเลยได้เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าส่ายหน้า  

 

           “อืม เจ้าตอบกลับไป บอกท่านอาสะใภ้หกว่าข้ารู้แล้ว” เซี่ยฟางหวาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ฝ่าบาทยังไม่เสด็จกลับใช่ไหม” 

 

           “ยังเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าส่ายหน้า 

 

           “เจ้าไปบอกเสี่ยวเฉวียนจื่อให้ทราบด้วย” เซี่ยฟางหวาสั่งงาน 

 

           ซื่อฮว่าพยักหน้าก่อนออกไป 

 

           ซื่อฮว่าเพิ่งไปไม่นาน ด้านหน้าก็แยกย้ายกันแล้ว มีคนมารายงานว่าฮูหยินแต่ละท่านจะกลับจวนแล้ว จึงมาถามดูว่าเหล่าคุณหนูจะกลับจวนพร้อมกันเลยหรือไม่ 

 

           ต่างเล่นจนเหนื่อยมาเกินครึ่งวัน ย่อมเหนื่อยล้าแล้วเช่นกัน เหล่าคุณหนูก็ไม่รั้งอยู่ต่อ ทยอยกันลุกขึ้นออกจากเรือนลั่วเหมย 

 

           เซี่ยฟางหว่าส่งทุกคนออกจากเรือนลั่วเหมย เดิมตั้งใจว่าจะไปส่งที่หน้าจวน 

 

           ทว่าซื่อฮว่าเดินเข้ามาหา แล้วกระซิบว่า “คุณหนู หลังคุณชายรองท่านนั้นเข้าเมืองมาก็ขี่ม้าวางก้ามบนถนน ชนเข้ากับรถม้าจวนเสนาบดีฝ่ายขวาที่กำลังกลับจวนพอดี ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเลิกม่านถามดู นึกไม่ถึงว่าเขาจะสะบัดแส้โจมตีมา พร้อมพูดว่า ‘สุนัขที่ดีไม่ขวางทางบนถนน**[1]’ เพื่อปกป้องฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวา คุณหนูหลี่จึงถูกแส้ตวัดใส่ครึ่งใบหน้า ทำให้เสียโฉมแล้ว มีการสั่งคนจับตัวเขาเอาไว้ บอกว่าส่งให้นายท่านเสนาบดีจัดการเจ้าค่ะ” 

 

           เซี่ยฟางหวาชะงัก “ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวากับหลี่หรูปี้มิใช่กลับไปตั้งนานแล้วหรือ” 

 

           ซื่อฮว่าตอบ “ระหว่างทางฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาแวะซื้อของบางอย่าง จึงล่าช้าอยู่ครู่หนึ่ง ประจวบเหมาะที่คุณชายรองตามเข้าเมืองมาพอดีเจ้าค่ะ” 

 

            

 

            

 

 

 

 

 

[1] **สุนัขที่ดีไม่ขวางทางบนถนน หมายถึง คนดีย่อมไม่ถ่วงความเจริญของผู้อื่น