ภาคที่ 1 บทที่ 147 เย็นยะเยือก (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 147 เย็นยะเยือก (1)

เมื่อคนเพิ่มมาอีกหนึ่ง กำลังของกลุ่มก็เพิ่มสูงขึ้นมาก อาจกล่าวได้ว่าทั้งสามเป็นดั่งเจ้าคุมเขต 1 หากเป็นปกติ ผู้เข้าสอบมักไม่ค่อยจับกลุ่มกันหลายคน ด้วยแต่ละคนต่างอยากได้คะแนนสูง หากคนเยอะคะแนนย่อมลดลงเป็นธรรมดา ดังนั้นการรวมกลุ่มกันจึงได้คะแนนไม่มากเท่าไรนัก

จินหลิงเอ้อร์ ซูเฉิน และหวังโต้วซานจึงเริ่มออกเดินทาง เข้าต่อสู้กับทุกคนที่พบเจอ

หากคู่ต่อสู้เป็นพวกอ่อนแอ พวกเขาก็จะพุ่งเข้าไปประจันหน้าทันที แต่หากคู่ต่อสู้มีฝีมือ คนทั้งสามจะซ่อนฝีมือที่แท้จริงไว้ ซูเฉินและหวังโต้วซานจะเผยฝีมือยามถึงจังหวะเหมาะเท่านั้น ส่วนจินหลิงเอ้อร์จะทำหน้าที่อยู่หน้าฉาก จึงทำให้คู่ต่อสู้พ่ายแพ้ไปนักต่อนัก พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงพ่ายแพ้ไปได้

ทั้ง 3 คนใช้กลลวงเช่นนี้ชิงเอาคะแนนมาได้อย่างเริงร่า ประจันหน้าคนไปทั่วทั้งเขต ไม่ว่าจะย่างกรายไปทางใด ศัตรูต่างรีบหลีกหนีจากพวกเขาให้ไกล

พวกเขาออกล่าคะแนนอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังผ่อนคลายสบายใจยิ่งนัก ไม่รู้เลยว่ามิตรภาพของคนทั้งสามเริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ มาจนถึงจุดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

แรกเริ่มเดิมทีจินหลิงเอ้อร์ยังไม่พอใจซูเฉินเท่าไหร่ แต่เมื่อร่วมมือกันไปเรื่อยจึงรู้สึกว่าเด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้เลวร้ายมาก จริง ๆ แล้วก็มีความยุติธรรมอยู่บ้าง แม้จะตกลงกันว่าให้สลับตาชิงคะแนนกัน หากแต่ซูเฉินจะยกคะแนนของคนที่แกร่งที่สุดให้นางเสมอ ไม่ว่าใครย่อมรู้ว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมมีคะแนนสูงที่สุดเช่นกัน

หลังจากแบ่งคะแนนกันแล้ว หากมีศัตรูมาเพิ่มอีก ซูเฉินก็จะพยายามยกคะแนนให้จินหลิงเอ้อร์เช่นกัน ยิ่งทำให้มุมมองจินหลิงเอ้อร์ที่มีต่อเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ

ความสัมพันธ์มนุษย์ก็แปลกประหลาดเช่นนี้ ซูเฉินเคยชิงคะแนนนางไปเมื่อก่อนหน้า ส่งผลให้นางร่วงจากสิบอันดับแรก หากแต่ตอนนี้กลับพยายามหาคะแนนบางส่วนกลับมาให้นาง ทำให้นางเกือบลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปเสียสิ้น กลายเป็นว่านางกับเขาเข้ากันได้ดีราวกับสนิทสนมเป็นสหายกันมาหลายปี

ครึ่งวันผ่านไป จินหลิงเอ้อร์ก็ได้คะแนนที่ถูกชิงไปกลับคืนมาทั้งหมด ทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางได้คะแนนมามากเช่นนี้ แผนการปิดบังฝีมือที่แท้จริงเช่นนี้ทำให้พวกนางสามารถเลือกเป้าหมายได้หลากหลายมากขึ้น

แต่แน่นอนว่าอย่างไรก็ไม่อาจเลี่ยงการต่อสู้อันดุเดือดได้

หลังจากไล่ล่าคะแนนมาแล้วทั้งช่วงเช้า ในที่สุดพวกเขาก็พบเข้ากับคู่ต่อสู้ที่แท้จริงในช่วงกลางวัน

คืออสูรโลหิตจงติ่ง

อสูรโลหิตจงติ่งมาจากตระกูลธารโลหิต

สายเลือดอสูรธารโลหิตคือสายเลือดที่สืบทอดมาจากอสูรกายโบราณ มีพละกำลังน่าเกรงขาม สมัยราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ สายเลือดอสูรธารโลหิตทั้งหลายสร้างความหายนะให้เผ่ามนุษย์มากมาย ทำให้พื้นที่หลายพันลี้กลายเป็นดินแดนรกร้างคนนับหมื่นล้มตาย สุดท้ายราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ได้ส่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นพลังด่านสู่พิสดารสี่คนออกประมือ หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดกินเวลานานสามวันจบลง จึงสามารถกวาดล้างเหล่าสัตว์อสูรจนสิ้นลงในที่สุด

ในการต่อสู้ครั้งนี้ เผ่ามนุษย์ได้รับสายเลือดอสูรธารโลหิตมา

สายเลือดนี้มอบเป็นของขวัญให้สามตระกูลที่รับใช้บ้านเมือง ตระกูลจงคือหนึ่งในนั้น

อสูรโลหิตจงติ่งคือทายาทที่มีฝีมือโดดเด่นที่สุดในรุ่น หลังจากสายเลือดอสูรธารโลหิตของเขาตื่นขึ้นแล้ว เขาก็สามารถดื่มเลือดศัตรูเพื่อฟื้นคืนพลังกายและพลังต้นกำเนิด ทั้งยังสามารถดื่มเลือดเพื่อสร้างร่างแยกโลหิตที่มีวิทยายุทธสูงส่ง และเคลื่อนร่างจริงไปมาได้อีกด้วย

หากแต่จงติ่งนั้นคล้ายกับจินหลิงเอ้อร์ เขาไม่อาจสร้างร่างแยกโลหิตหลายร่างเกินไปได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะได้รับบาดเจ็บหนัก นับได้ว่าเป็นข้อจำกัดหนึ่งของเขา

ในการต่อสู้ครั้งนี้ จินหลิงเอ้อร์คุมจิตผู้เข้าสอบอยู่คนหนึ่ง เมื่อนับเฉินและหวังโต้วซานรวมจึงถือเป็นสี่รุมหนึ่ง อสูรโลหิตจงติ่งสร้างร่างแยกโลหิตขึ้นสามร่าง เคลื่อนย้ายร่างจริงผ่านร่างแยกเหล่านั้นไปมา ทำให้โจมตีร่างจริงเขาได้ยากยิ่ง เข็มอสูรโลหิตและฝ่ามืออสูรทมิฬของเขานับเป็นทักษะต้นกำเนิดชั้นเลิศ ส่งผลให้คนทั้งสามวุ่นวายอยู่พอสมควร

แต่สถานการณ์กลับพลิกกลับเมื่อซูเฉินค้นพบข้อจำกัดของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ให้มีความลื่นไหลมากขึ้น หลีกเลี่ยงการปะทะรุนแรง และป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายสามารถดื่มเลือดเพื่อฟื้นพลังได้ สุดท้ายจงติ่งจึงตกเป็นรอง แม้จะมีร่างแยกโลหิตถึงสามร่าง แต่ก็กินพลังเป็นอย่างมาก เมื่อไม่สามารถฟื้นพลังระหว่างการต่อสู้ได้ ร่างแยกเหล่านี้จึงกลายเป็นภาระหนังอึ้งไปโดยปริยาย

สุดท้ายจงติ่งก็ถูกบีบให้ยอมแพ้และหนีไป แต่ถึงกระนั้นเขาก็แข็งแกร่งมาก แม้จะไม่อาจเอาชนะคนทั้งสามได้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจจับตัวอีกฝ่ายไว้ได้ สุดท้ายจึงต่อสู้ไปโดยเสียเปล่า ไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์

ยามพวกเขามองร่างของอสูรโลหิตที่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากที่ไกล คนทั้งสามก็ไม่คิดอยากไล่ตามไปอีก พวกเขานั่งลงถอนหายใจยาว

หวังโต้วซานส่ายหัวกล่าวคำสบถ “เวรเอ๊ย กระทั่งสี่รุมหนึ่งยังไม่อาจเอาชนะมันได้ สายเลือดระดับเจ้าอสูรช่างน่าเกรงขามเสียจริง”

“ระดับเจ้าอสูร?” ซูเฉินเอ่ยถาม “มีระดับด้วยหรือ?”

“เจ้าไม่รู้เรื่องนี้หรือ?” จินหลิงเอ้อร์ยื่นหน้าเข้ามา “อ้อใช่ เจ้ามาจากตระกูลไร้สายเลือกนี่นา ปกติแค่ได้รับสายเลือดอสูรกายธรรมดา ๆ มาหนึ่งสายเลือดก็เพียงพอแล้ว เจ้าคงไม่ได้พบผู้ที่มีสายเลือดระดับสูงบ่อยครั้งนัก เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าอสูรร้ายเองก็มีระดับชั้น?”

ซูเฉินพยักหน้ารับ “อสูรร้ายแบ่งออกเป็นระดับสูง ระดับกลาง และระดับต่ำ และยังมีระดับสูงสุดอีกด้วย ทั้งสี่ระดับนี้เทียบเท่ากับระดับของขั้นพลังในด่านก่อเกิดลมปราณและด่านกลั่นโลหิต

“ถูกต้อง อสูรกายแบ่งออกเป็นระดับสูง ระดับกลาง และระดับต่ำ พวกที่ระดับสูงกว่านี้นับเป็นระดับเจ้าอสูรกาย” หวังโต้วซานอธิบาย “สายเลือดของอสูรโลหิตจงติ่งมาจากสายเลือดอสูรธารโลหิต สืบทอดมาจากอสูรกายระดับเจ้าอสูรกาย”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนี้หมายความว่าพวกที่อยู่เหนือกว่าระดับเจ้าอสูรกายคือราชันอสูรกายและจักรพรรดิอสูรกาย ใช่หรือไม่?” ซูเฉินถาม

“ถูกต้อง!” คนทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน

สายเลือดอสูรธารโลหิตของอสูรโลหิตจงติ่งมาจากอสูรกายระดับเจ้าอสูรกาย ส่วนหวังโต้วซานและจินหลิงเอ้อร์มีสายเลือดที่มาจากอสูรกายระดับสูงเท่านั้น นับเป็นระดับต่ำกว่าสายเลือดอสูรธารโลหิต ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีพลังด้อยกว่าจงติ่ง

ซูเฉินจำได้ว่าหวังโต้วซานเคยบอกว่าจีหานเยี่ยนและหวังโต้วซานมีสายเลือดระดับเดียวกัน “พวกเจ้าคิดว่าอสูรโลหิตจงติ่งแข็งแกร่งกว่าจีหานเยี่ยนหรือไม่?”

“จีหานเยี่ยนเองก็มีสายเลือดอสูรกายระดับเจ้าอสูรกาย แต่จงติ่งไม่อาจเทียบนางได้” หวังโต้วซานส่ายหน้าถอนใจ “แม้จงติ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญสายเลือดระดับเจ้าอสูร ทว่าจีหานเยี่ยนนั้นเป็นอัจฉริยะที่ห้าร้อยปีจะมีครั้งหนึ่ง ไม่เพียงปลุกสายเลือดสองสายให้ตื่นขึ้นได้ แม้นางจะมีเพียงสายเลือดเดียว จงติ่งก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอยู่ดี”

ซูเฉินที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดอันใดอีก

ก่อนหน้านี้หวังโต้วซานบอกว่าจีหานเยี่ยนแข็งแกร่งกว่าตนเพราะปลุกสายเลือดสองสายให้ตื่นขึ้นได้ ดูท่าพี่น้องของเขาผู้นี้จะมีความสามารถในการโอ้อวดเกินกว่าที่ควรเสียแล้ว

จินหลิงเอ้อร์พลันกล่าวขึ้น “เจ้าอยากรู้ว่าจีหานเยี่ยนแข็งแกร่งแค่ไหนน่ะหรือ? ไม่ยาก ก็ลองดูกับตนเองเลยเสียสิ”

ซูเฉินชะงักไป ทำท่าจะพูดบางอย่างขึ้น แต่กลับเห็นจินหลิงเอ้อร์กำลังจ้องบางอย่างด้านหลังเขาเขม็ง

เมื่อเด็กหนุ่มหันไป เขาก็พลันพบว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังพุ่งตรงมายังพวกเขาด้วยความเร็วสูง

เป็นสตรีนางหนึ่งในชุดคลุมสีน้ำเงิน ทั้งยังมีรูปโฉมงดงามนัก หากแต่ใบหน้านางเย็นชาดุจน้ำแข็ง

นางพุ่งเข้ามาหากลุ่มคนสามคน สายลมรอบกายนางสร้างกระแสลมหมุนรุนแรง ยามนางเคลื่อนกาย สายลมโดยรอบก็กลายเป็นพายุสลาตันซัดมาทางพวกเขา

“เป็นจีหานเยี่ยน!” หวังโต้วซานตะโกนบอก

แม้นางจะอยู่ไกล แต่นางก็ยกมือขึ้น ส่งหนึ่งฝ่ามืออันทรงพลังเสียงดังกึกก้องมาทางพวกเขาแล้ว

เสียงดังพลันเปลี่ยนเป็นเสียงคำรามดังสนั่น พริบตาต่อมาพายุลูกเห็บก็ซัดเข้าใส่ทั้งสาม

มันเข้าปกคลุมคนสามคนราวคลื่นยักษ์ เสียงกระแสลดพัดระห่ำส่งเสียงหวีดหวิวรุนแรง

สกุณาเหมันต์มีนิสัยเอาแต่ใจยิ่ง นางไม่เสียเวลาทั้งยังไม่เอ่ยคำใด พุ่งเข้าต่อสู้กับพวกเขาในทันที

หมัดหิมะขาวสกุณาเหมันต์ !