ภาคที่ 1 บทที่ 148 เย็นยะเยือก (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 148 เย็นยะเยือก (2)

 

 

หนึ่งฝ่ามือส่งผลให้พื้นดินในบริเวณโดยรอบกลายเป็นผืนน้ำแข็ง

 

 

แม้จะไม่อาจขวางตะวัน แต่ก็นับว่ามีพลังสูงส่ง ทุกสิ่งอย่างในระยะร้อยลี้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหนา หมัดพลังลมที่ส่งมาก็ราวกับจะเสียดแทงเข้าในร่าง

 

 

ซูเฉิน หวังโต้วซาน และจินหลิงเอ้อร์ล่าถอยในพลัน

 

 

หากแต่หมัดเยือกแข็งนั้นโจมตีใส่ร่างคนทั้งหมดแล้ว ทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง คลื่นพลังจากหมัดซัดกระแทกเข้าหาคนทั้งสาม กดดันบีบคั้นหนักหน่วง

 

 

พวกเขาปล่อยพลังปราณออกมาต้านไอเย็น ในที่สุดก็ลอยลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย

 

 

แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บใด แต่ใบหน้าแต่ละคนต่างดูเคร่งเครียดยิ่ง

 

 

นี่เป็นเพียงหมัดที่ซัดมาจากระยะไกลหมัดหนึ่งเท่านั้น ทว่าไม่เพียงสามารถชะลอความเร็วของพวกเขาลงได้ แต่แรงที่ส่งมาพร้อมกับหมัดนั้นทรงพลังเกินกว่าจะเอ่ยถึง

 

 

ไอเย็นทำให้ทั้ง 3 คนสั่นด้วยความหวาดกลัว ความเย็นยะเยือกเสียดแทงร่างราวกับหอกแหลม

 

 

ปล่อยหมัดออกมาเพียงหนึ่งหมัดกลับสามารถสำแดงกำลังของนางออกมามากมายเช่นนี้ได้

 

 

ไม่แปลกที่นางจะทำสิ่งใดตามใจตนในเมื่อสนามสอบแห่งนี้ไม่อาจมีผู้ใดเอาชนะนางได้

 

 

หลังจากการโจมตีแรกจบลง จีหานเยี่ยนก็ยังพุ่งเข้ามายังคนสามคนด้วยความเร็วสูง

 

 

นางคลายหมัดที่กำก่อนจะดันฝ่ามือส่งพลังไปด้านหน้า เป็นการโจมตีครั้งที่สอง ‘ฝ่ามือเหมันต์’

 

 

ฝ่ามือเหมันต์ไม่เหมือนกับหมัดหิมะขาวสกุณาเหมันต์ ฝ่ามือนี้ไม่ได้มีพละกำลังแข็งแกร่งดั่งหมัดเมื่อคราแรก หากแต่มีความสามารถในการแช่แข็งการเคลื่อนไหวคู่ต่อสู้ ทั้งอาณาเขตในการโจมตีก็กว้างมากเช่นกัน

 

 

ยามฝ่ามือนี้ซัดมาถูกคนทั้งสาม พวกเขารู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในสถานที่เยือกแข็ง ไอเย็นเสียดแทงผ่านเสื้อผ้าเข้าสู่กระดูก เป็นความหนาวเย็นที่ทำให้สับสนมึนงงราวกับสติจะถูกแช่แข็งไป ทั้งสามตัวสั่นอย่างรุนแรง ไม่อาจซัดพลังใดมาป้องกันการโจมตีเยือกแข็งนี้ได้

 

 

ทั้ง 3 คนสร้างเกราะป้องกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เดินพลังต้นกำเนิดทั่วร่างเพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวล่าถอยได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

 

 

หากแต่จีหานเยี่ยนกลับชี้นิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว การโจมตีครั้งที่สามนี้คือดัชนีสลายวิญญาณ

 

 

ท่าดัชนีนี้เล็งไปที่จินหลิงเอ้อร์

 

 

พริบตาต่อมาก็ปรากฏน้ำแข็งชั้นหนึ่งขึ้นปกคลุมใบหน้าจินหลิงเอ้อร์ ร่างนางชะงักค้างไปทันใด

 

 

แม้วิชานี้จะเล็งโจมตีจินหลิงเอ้อร์ หากแต่หวังโต้วซานและซูเฉินก็ไม่ยอมอยู่เฉย ทั้งใช้หมัดและฝ่ามือต้านการโจมตีนี้ไว้

 

 

ระเบิดเพลิงปักษาของซูเฉินและวิชาแยกเมฆาหวังโต้วซานซัดพุ่งออกไปต้านวิชาดัชนี คลื่นพลังปราณปะทะกันดังสนั่น ส่งผลให้จินหลิงเอ้อร์สามาถหลุดจากวิชาดัชนีสลายวิญญาณได้

 

 

คนทั้งสามล่าถอยไปพร้อมกัน ส่วนจีหานเยี่ยนพุ่งตามมาติด ๆ

 

 

หมัดแรกที่นางส่งมาถูกส่งมาด้วยระยะสามสิบจั้ง ส่วนฝ่ามือห่างยี่สิบจั้ง ดัชนีสลายวิญญาณซัดเข้ามาที่ระยะสิบจั้ง นางไม่เพียงมีฝีมือกล้าแข็ง แต่ยังรวดเร็วมากอีกด้วย!

 

 

เมื่อจีหานเยี่ยนใกล้ตามคนทั้งสามทัน นางกระโดดขึ้นสูงก่อนซัด หมัดหิมะขาวสกุณาเหมันต์ออกมาอีกครั้ง

 

 

นางใช้ทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดเพียงสามวิชา หากแต่สามวิชานี้กลับสามารถเอาชนะผู้คนในเขตได้อย่างไม่ยากเย็น

 

 

ช่างเป็นสตรีที่มีพลังกล้าแข็งน่าเกรงขาม !

 

 

หมัดนางซัดลงมาราวกับค้อนยักษ์ ส่งผลให้ทั่วทั้งท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยหิมะขาว

 

 

คนทั้งสามร้องขึ้นพร้อมกัน ปล่อยเกราะป้องกันออกมาต้านการโจมตี

 

 

ยามเผชิญหน้ากับผู้มีฝีมือเช่นจีหานเยี่ยน กลยุทธ์ ความร่วมมือ และการหลอกลวงทั้งหลายต่างไร้ประโยชน์

 

 

หากพวกเขายั้งมือกว่านี้เพยงนิดก็อาจพ่ายแพ้ไปแล้ว เมื่อต้องต่อกรกับการโจมตีอำมหิตของจีหานเยี่ยน การปิดบังพลังย่อมหมายถึงส่งตนไปตาย

 

 

ทั้งสามซัดพลังออกไปไม่หยุด ปะทะเข้ากับหมัดหิมะขาวสกุณาเหมันต์เกิดเป็นแรงระเบิดดังสนั่น

 

 

“จีหานเยี่ยน ไม่จำเป็นต้อง……” จินหลิงเอ้อร์พยาพยามตะโกนเกลี้ยกล่อมจีหานเยี่ยนให้หยุดมือ

 

 

หากแต่คำร้องขอความเมตตาของนางกลับถูกเมินเฉย อีกหนึ่งฝ่ามือถูกส่งมาทางจินหลิงเอ้อร์

 

 

ฝ่ามือเหมันต์แผ่พลังทำให้สภาพอากาศโดยรอบเย็นยะเยือก ทำให้คนทั้งสามต้านทานความหนาวเย็นได้อย่างยากยิ่ง ในที่สุดจินหลิงเอ้อร์จึงหยุดพูดแล้วถอยต่อไป

 

 

จินหลิงเอ้อร์ทั้งรู้สึกไม่พอใจและละอายใจนัก การต่อสู้ครั้งนี้เป็นสามต่อหนึ่ง แต่คนทั้งสามกลับถูกกดดันให้ล่าถอยตลอดการต่อสู้

 

 

ตอนนี้ซูเฉินเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหวังโต้วซานจึงเรียกจีหานเยี่ยนว่าสตรีคลั่ง

 

 

จีหานเยี่ยนไม่รับฟังเหตุผลใด นางไม่สนใจฟังคำของใคร สนเพียงการต่อสู้ ต่อสู้ และต่อสู้ !

 

 

สตรีเช่นนี้ย่อมไม่อาจคุยดีด้วยได้ หากไม่ได้รับความนับถือจากนางในการต่อสู้ นางย่อมไม่ฟังสิ่งใด

 

 

ซูเฉินยอมแพ้ “เช่นนั้นก็คงทำได้เพียงสู้อย่างเดียวเท่านั้น !”

 

 

“ได้ !” หวังโต้วซานและจินหลิงเอ้อร์ร้องขึ้นพร้อมกัน

 

 

ระเบิดเพลิงปักษาและวิชาแยกเมฆาถูกซัดออกไปอีกครั้ง

 

 

จินหลิงเอ้อร์ร้องเรียกออกมาคราหนึ่ง จากนั้นผู้เข้าสอบคนหนึ่งที่นางคุมจิตอยู่และซ่อนตัวไว้ก็พุ่งเข้าใส่จีหานเยี่ยน

 

 

จินหลิงเอ้อร์ปลดปล่อยน้ำค้างหยกหอม ใช้วิชาดูดวิญญาณ

 

 

แต่เคราะห์ร้ายที่อีกฝ่ายดื้อดึงนัก วิชาดูดวิญญาณของนางไม่เหมือนกับนัยน์ตาวิญญาณของซูเฉิน วิชาของนางนับเป็นวิชามายา จะสามารถใช้วิชาได้สำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของจิตใจของอีกฝ่าย หากจิตใจอ่อนแอย่อมถูกควบคุมได้ง่าย แต่แม้จะมีจิตใจเข้มแข็ง วิชานี้ก็ยังสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ หากแต่ จีหานเยี่ยนนั้นจิตแข็งจนวิชามายาไม่อาจทำอันตรายใดได้แม้แต่นิด

 

 

กระทั่งซูเฉินยังไม่อาจเมิมเฉยต่อวิชาดูดวิญญาณเช่นนี้ หากแต่จีหานเยี่ยนกลับทำราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น

 

 

ฝ่ามือถูกซัดออกไปสามครั้ง ก่อเกิดคลื่นพลังปราณปั่นป่วน ดันน้ำค้างหยกหอมของจินหลิงเอ้อร์กลับไป จีหานเยี่ยนซัดฝ่ามือหนึ่งออกใส่ระเบิดเพลิงปักษาของซูเฉินและวิชาแยกเมฆาของหวังโต้วซาน ก่อนที่จะกระโดดหมุนตัวขึ้นกลางอากาศ ซัดอีกฝ่ามือใส่ผู้เข้าสอบที่ถูกคุมจิต ส่งร่างเขากระเด็นไปไกล ท่าเคลื่อนไหวของนางไหลลื่นนัก

 

 

ยามที่ร่างของผู้เข้าสอบที่ถูกคุมจิตพุ่งตกลงมา ทั่วทั้งร่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เมื่อร่างร่วงลงสู้พื้นดินก็แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ

 

 

หนึ่งฝ่ามือสังหาร !

 

 

คนทั้งสามพลันรู้สึกเย็นวาบในใจ

 

 

นางไม่ใช่นักฆ่ากระหายเลือดเช่นพานเยว่ แต่ยามโจมตีนางก็ไม่ยั้งมือ เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยคิดเมตตาใครมาก่อน

 

 

จีหานเยี่ยนส่งการโจมตีออกมาอีกครั้ง หนึ่งฝ่ามือ หนึ่งหมัด หนึ่งดัชนี คลื่นพลังน้ำแข็งกรีดผ่านอากาศพุ่งมายังคนทั้งสาม

 

 

เด็กหนุ่มพบว่านอกจากทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดประเภทเยือกแข็งสามอย่างแล้ว จีหานเยี่ยนยังบำเพ็ญทักษะต้นกำเนิดขั้นด่านหลอมกายาอย่างน้อยสองวิชา เช่นจึงนี้ก็สามารถอธิบายความแข็งแกร่งของนางได้แล้ว

 

 

แท้ที่จริงนางนั้นมีทักษะต้นกำเนิดประเภทความเร็วอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ที่ทำให้นางเคลื่อนไหวว่องไว กับอีกทักษะต้นกำเนิดประเภทกลางอากาศอีกอย่างน้อยหนึ่งอย่าง เพื่อให้สามารถเคลื่อนร่างกลางอากาศได้ ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมไปถึงทักษะต้นกำเนิดประเภทโจมตีแม่นยำอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้นางสามารถโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำไม่คลาดเคลื่อน และทักษะวิชาการดูดซับระดับสูงอย่างน้อยหนึ่งวิชา ที่ทำให้นางสามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้อย่างมากมายเช่นนี้

 

 

ถูกต้อง นางใช้พลังต้นกำเนิดไปรวดเร็วมาก แต่ก็สามารถฟื้นพลังได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน หรือก็คือนางมีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังสูงส่ง อาจเทียบเท่าได้กับซูเฉิน หรืออาจมีระดับสูงกว่าเขาด้วยซ้ำ

 

 

พูดก็คือ…… นางคือนางปีศาจดี ๆ นี่เอง !

 

 

ไม่แปลกที่นางไม่ชอบเจรจากับผู้ใด เป็นเพราะนางไม่ต้องเกรงกลัวใคร สามารถต่อสู้ได้ทุกคน ผู้เข้าสอบในครั้งนี้ไม่ว่าใครต่างอ่อนแอกว่านางทั้งสิ้น ไม่มีใครมีพลังสูงส่งจนสามารถต่อรองกับนางได้

 

 

แต่ถึงอย่างไรก็ใช่ว่านางจะไม่มีจุดอ่อน !

 

 

ซูเฉินเหลือบมองจีหานเยี่ยน ในใจพลันมีความกระหายการต่อสู้พุ่งพล่านขึ้น

 

 

ในตอนนั้นเอง ฝ่ามือเหมันต์ของจีหานเยี่ยนก็ถูกซัดมา

 

 

นางกระโดดผ่านอากาศ มองต่ำลงมายังพวกเขา ฝ่ามือสีขาวดั่งหิมะเพิ่มขนาดขึ้นเรื่อย ๆ ซัดลงมาจากกลางอากาศ ส่งผลให้พวกเขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้

 

 

ซูเฉินมองภาพฝ่ามือสีขาวดั่งหิมะนั่นอย่างเงียบเชียบ เขาพลิกมือออก ปรากฏระเบิดเพลิงปักษาขึ้นกลางฝ่ามือ

 

 

ระเบิดเพลิงปักษาลูกนี้มีขนาดใหญ่กว่าปกติ เพลิงสีเลือดส่องวาบอยู่ในมือซูเฉิน จากนั้นเขาก็ส่งเพลิงปักษาเข้าปะทะฝ่ามือเหมันต์ของจีหานเยี่ยน

 

 

ตูม!

 

 

แรงปะทะจากน้ำแข็งและเปลวไฟสร้างคลื่นพลังพุ่งออกมาอย่างรุนแรง เศษซากจากเปลวเพลิงกระจายว่อน ทั้งยังมีหิมะโปรยลงมาพร้อมกับหยาดฝน