ตู๋กูซิงหลันแทะเมล็ดแตงต่อไป อย่างไม่สนใจใยดี 

 

 

นางเจียงซื่อก็หันไปดึงตัวเด็กสาวคนหนึ่งมาจากด้านหลัง ” รีบเข้ามาถวายพระพรไทเฮาเร็วเข้า “ 

 

 

สาวน้อยได้ยินแล้ว ก็ยอบตัวลงต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน ” หม่อมฉัน ซ่งหรูหย้วน ถวายพระพรไทเฮา “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยามนี้ถึงได้หันมามองนางเล็กน้อย หน้าตาของนางก็นับว่าหมดจดดีอยู่ ดูไปแล้วอ่อนแอเปราะบางไม่อาจต้านทานลมได้ ไร้พิษภัยเสมือนดั่งกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง 

 

 

เมื่อเห็นว่าตู๋กูซิงหลันพอจะให้ความสนใจอยู่บ้าง เจียงเหม่ยหยู่ก็รีบกล่าวต่อว่า ” นี่เป็นบุตรสาวของท่านอาจิงของท่าน พวกท่านเคยพบหน้ากันมาแล้ว แต่ว่าท่านความจำเสื่อมไปแล้วไม่ใช่หรือ? หม่อมฉันจึงได้พานางมาเข้าเฝ้าท่านบ้าง พวกท่านเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็สมควรจะสร้างความสนิทสนมกันให้มากไว้มิใช่หรือ? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันขานรับคำหนึ่ง “แล้วอย่างไรอีก? “ 

 

 

” อีกไม่นานก็จะถึงเวลาคัดเลือกนางสนมแล้วมิใช่หรือ ท่านดูสิ ตระกูลตู๋กูของพวกเราก็มีแต่เหลียนเอ๋อร์และท่านเข้าวังมา พวกเราจะอย่างไรก็นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ นายท่านผู้เฒ่าออกรบอยู่ที่ด้านนอก พวกเราก็ไม่ควรเอาแต่เสวยสุขอยู่ในบ้าน สมควรทำอะไรเพื่อเกียรติของตระกูลบ้าง “ 

 

 

เจียงเหม่ยหยู่ยืดตัวขึ้นตรง กำไม้เท้าจดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน “หรูหย้วนนั้นเป็นเด็กดี ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี หมาก วาดภาพ หรือเขียนอักษรล้วนทำได้ นิสัยก็นุ่มนวลอ่อนโยน สั่งสอนง่ายรู้จักเอาอกเอาใจ หากว่านางได้เข้าวังมาเป็นพระสนม ฝ่าบาทจะต้องโปรดปรานเป็นแน่ อีกหน่อยอยู่ในวัง พวกท่านทั้งสามก็จะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมิใช่หรือ? “ 

 

 

เชียนเชียนอยากจะกรอกตาขาวขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่แล้ว นายหญิงยังจะต้องการซ่งหรูหย้วนมาช่วยสนับสนุนเกื้อกูลด้วยหรือ?  

 

 

สมองของนางถูกลาถีบมาหรือยังไง?  

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่พูดไม่จา คว้าเอาเมล็ดแตงมาแทะเล่นอีก 

 

 

พอเห็นนางท่าทางไม่สนใจแม้แต่น้อย เจียงเหม่ยหยู่ก็ร้อนรนขึ้นมาแล้ว “วันนี้ที่หม่อมฉันมาขอเข้าเฝ้าไทเฮา ก็เพราะคิดจะขอให้ไทเฮา เมื่อถึงวันคัดเลือกนางสนม ช่วยเหลือเด็กคนนี้บ้าง เพราะอย่างไรพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน สนับสนุนผู้คนในตระกูลย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว ท่านว่าจริงไหม? “ 

 

 

ซ่งหรูหย้วนก็รีบเออออ กล่าวต่ออย่างรวดเร็วว่า “ขอไทเฮาทรงโปรดเมตตาดูแลหม่อมฉันด้วยเพคะ “ 

 

 

เพราะว่าผู้ที่เข้าร่วมการคัดเลือกพระสนมในครั้งนี้มีจำนวนมาก หากว่าเบื้องหลังของตนเองไม่มีผู้ใดสนับสนุนช่วยเหลือ เกรงว่าแม้แต่โอกาสที่จะได้พบพระพักตร์ของฝ่าบาทสักครั้งคงจะไม่มีแล้ว 

 

 

หากไม่ใช่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันช่วงนี้มีหน้ามีตาขึ้นมา พวกนางก็คงจะไม่ลดตัวลงมาขอร้องนางหรอก 

 

 

ดูๆ ท่าที่นางจองหองเข้าสิ พาให้คนอยากจะลงมือกับนางสักรอบเสียจริง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูพวกนาง ก็พลันยิ้มแย้มออกมา พอนางยิ้มทั่วทั้งตำหนักก็พลอยสว่างไสวไปด้วย “เจียงซื่อ เด็กน้อยหรูหย้วนผู้นี้หากว่าดีงามเช่นที่เจ้าว่าจริง ไหนเลยจำเป็นจะต้องให้เราช่วยเหลืออีก? ต่อให้นางอยู่ท่ามกลางผู้คนทั้งหลาย ฝ่าบาทย่อมทอดพระเนตรเห็นนางเอง “ 

 

 

เจียงเหม่ยหยู่ฟังแล้ว ก็คิดว่าตู๋กูซิงหลันกำลังชื่นชมซ่งหรูหย้วน นางก็ชักจะเกิดความภาคภูมิใจขึ้นมาบ้าง ” นั่นก็ใช่แล้ว หรูหย้วนหน้าตางดงาม ชาติกำเนิดก็ดี ฝ่าบาทจะเรียกนางเข้าเฝ้าเพียงเป็นเรื่องที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่ที่หม่อมฉันต้องการไม่ใช้แค่ให้ฝ่าบาทได้ทรงพบหน้านาง “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “หืม? “ 

 

 

เจียงเหม่ยหยู่หันไปถลึงตาใส่ ‘ตู๋กูเหลียน’ที่ข้างกายของตู๋กูซิงหลัน สายตาของนางมีแววเอือมระอา “เหลียนเอ๋อร์ช่างไม่ได้เรื่อง เข้าวังมาตังนานแล้วก็ยังเป็นได้แค่ไฉเหริน” 

 

 

เสี่ยวลี่ “??? ” แหมมีแต่ท่านย่าเช่นเจ้าที่ได้เรื่องใช่ไหม 

 

 

” เพราะฉะนั้นจึงยังต้องของให้ไทเฮาทรงออกแรงมากหน่อย ให้หรูหย้วนได้เป็นพระสนมขั้นเฟย เรื่องนี้จะอย่างไรก็ไม่มีผลร้ายต่อท่าน ท่านลองคิดดู หากว่าหรูหย้วนได้รับความโปรดปรานเหนือผู้ใดในวังหลัง พระสนมคนอื่นๆ ไหนเลยจะยังกล้าไม่เคารพท่าน? ตำแหน่งไทเฮาของท่านก็ยิ่งนั่งได้อย่างมั่นคงมิใช่หรือ? “ 

 

 

คราวนี้เชียนเชียนถึงกับไร้คำพูดบ้างแล้ว นางยั้งคำพูดไว้ สายตามองออกไปที่เบื้องนอก วังหลังยามนี้คนที่กินอิ่มนอนหลับอยู่ดีๆ ที่ไหนยังจะกล้ามาหาเรื่องนายหญิงได้อีก?  

 

 

ผู้ที่เก่งกล้าสามารถเช่นนายหญิง ไหนเลยจะต้องการคนเช่นซ่งหรูหย้วนมาเสริมความมั่นคง?  

 

 

ตู๋กูซิงหลันได้ฟังแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งเปลี่ยนไป 

 

 

ซ่งหรูหย้วนเห็นนางแย้มยิ้มมากขึ้น ก็ยิ่งพูดเสริมว่า “ไทเฮาเพคะ ของพระองค์วางพระทัย หากว่าข้าได้เป็นพระสนมขั้นเฟย ย่อมจะต้องไม่ลืมเลือนพระองค์แน่ ต่อไปเมื่อสามารถมีองค์ชายถวายฝ่าบาท ย่อมจะต้องให้เขามาเฝ้าท่านที่ตำหนักเฟิ่งหมิงนี้บ่อยๆ “ 

 

 

” ภายหน้าเมื่อวันหนึ่งเขาได้เป็นฮ่องเต้ ท่านก็จะเป็นไท่หวงไทเฮา สูงศักดิ์เหนือผู้อื่นผู้ใด “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันใช้มือนวดขมับ นางเกรงว่าตนเองจะหัวเราะเสียงดังออกไป 

 

 

นางเองก็ไม่รู้ว่าพวกนางไปเอาความมั่นอกมั่นใจในตนเองขนาดนี้มาจากที่ไหน 

 

 

ประเด็นสำคัญคือบุตรชายที่เป็นฮ่องเต้ของนางนั้น สนใจแต่เพียงบุรุษเท่านั้น!  

 

 

ไหนเลยจะไปมีลูกกับเจ้าได้?  

 

 

” ท่านอย่าได้เอาแต่ยิ้ม แต่ต้องรับปากออกมาด้วยสิ ” เจียงเหม่ยหยู่ชิงชังท่าทางเช่นนี้ของนางเหลือเกิน ยิ้มๆๆ ยิ้มไปให้ใครดูกัน?  

 

 

เจ้าขายรอยยิ้มหรือไง?  

 

 

ทั้งๆ ที่เห็นชัดอยู่แล้วว่าเหลียนเอ๋อร์กับนางสาระเลวตู๋กูซิงหลันต่างก็คลี่คลายความขัดแย้ง มีความสัมพันธ์แนบแน่นขึ้นมาแล้ว ทำไมมันถึงได้ทำกิริยาเช่นนี้ต่อพวกนางกัน?  

 

 

” เจียงซื่อ เรารู้สึกว่าหนังหน้าเจ้าช่างหนาจริงๆ ” ตู๋กูซิงหลันขยับตัววางท่า มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะไว้ เส้นผมดำตกสยาย ดูไปประหนึ่งฮ่องเต้หญิงผู้สูงส่ง 

 

 

เจียงซื่อเห็นท่าทางของนาง อยู่ๆ ก็พาลนึกไปถึงเหตุการณ์ที่ตนถูกนางตบซ้อมอย่างโหดร้าย ก็อดที่จะรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

วันนี้ตนเองก็วางตัวอย่างดีแล้วนะ ไม่ได้ล่วงเกินนางที่ไหนสักหน่อย 

 

 

หรือว่านางสาระเลวผู้นี้จะไม่สนอกสนใจเหตุผลใดๆ ก็ทุบตีคนแล้ว?  

 

 

” โอรสจะโปรดปรานผู้ใด ไม่โปรดปรานผู้ใด ก็ย่อมแล้วแต่พระองค์เท่านั้น ต่อให้เรามีความสามารถยิ่งใหญ่เพียงใดก็ไม่ควรจะไปก้าวก่ายในสิ่งที่ทรงโปรดปราน ” ตู๋กูซิงหลันหรี่ตา พลันหาวออกมา “หากว่าเรายัดเยียดคนให้พระองค์ แล้วทรงกริ้วขึ้นมา จนเกลียดชังเราจะทำยังไง? “ 

 

 

” พวกเจ้าเองก็รู้ดี โอรสของเราพระอารมณ์ไม่ค่อยดี แม้แต่กับเราก็ไม่ละเว้น “ 

 

 

เจียงเหม่ยหยู่อยากจะตบนางสักสองครั้ง ไม่คิดจะช่วยก็บอกกันตรงๆ ไยจะต้องหาข้ออ้างที่อ้อมค้อมเช่นนี้ด้วย 

 

 

พูดไปพูดมาก็คือตู๋กูซิงหลันทำเพื่อตัวนางเอง ทั้งที่ก็แค่ช่วยออกแรงเล็กน้อยเท่านั้น พูดเสียอย่างกับว่าพวกนางหาความยากลำบากมาให้ 

 

 

นี่มันเห็นชัดเลยว่านางมีใจใฝ่ในองค์ฮ่องเต้ จึงไม่ต้องการให้หรูหย้วนได้รับความโปรดปราน 

 

 

ยามที่หลี่กงกงตามเสด็จฝ่าบามมายังตำหนักเฟิ่งหมิงนั้น ก็พอดีได้ยินได้ฟังถ้อยคำที่ไทเฮารับสั่งออกมา 

 

 

หลายวันมานี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยอะไรไทเฮา จึงได้ไม่เสด็จมาตำหนักเฟิ่งหมิงหลายวันแล้ว 

 

 

พอเสด็จมาถึงก็ได้ยินไทเฮารับสั่งนินทาพระองค์พอดิบพอดี……. 

 

 

หลี่กงกงเหลือบตามองไปอย่างระมัดระวัง แม้ว่าในตำหนักจะจุดไฟเผาถ่านเอาไว้ แต่อยู่ๆ บรรยากาศในห้องก็เกิดความเยือกเย็นขึ้นมาทันที 

 

 

อยู่ๆ ซ่งหรูหย้วนก็รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา พอหันศีรษะไปมอง แม้เพียงแค่แวบเดียวแต่นางรู้สึกเหมือนวิญญาณของตนเองกำลังสั่นสะท้าน 

 

 

นางเป็นถึงคุณหนูของจวนซ่างซู ยามปกติมีโอกาสได้พบบรรดาคุณชายมานับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เคยเห็นผู้ใดที่งดงามจนไร้ที่เปรียบได้เช่นนี้มาก่อน 

 

 

พระองค์มีดวงเนตรหงส์ที่พาให้ผู้คนต้องหลงใหล พระพักตร์ที่เย็นชายิ่งส่งเสริมพระองค์ให้ดูเยือกเย็น 

 

 

ราวกับบุพชาติบนยอดเขาสูงที่ผู้ใดก็ไม่อาจอาจเอื้อมถึง 

 

 

วันที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์นั้น นางเองก็เคยได้เข้าเฝ้ามาก่อน แต่ด้วยฐานะของนาง จึงได้แต่ยืนเข้าเฝ้าอยู่ในตำแหน่งที่อยู่ห่างไกลเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นหัวใจของนางก็ยังตื่นเต้นเสียจนจะหยุดเต้นอยู่แล้ว 

 

 

นี่คือสามีที่นางอยากจะแต่งให้ คือบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดิน 

 

 

นางกลั้นหายใจ คุกเข่าลงไปที่เบื้องพระพักตร์ ชิงกล่าวออกไปก่อนที่ตู๋กูซิงหลันจะเอ่ยปาก “หม่อมฉันซ่งหรูหย้วน ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ “ 

 

 

น้ำเสียงของนางอ่อนหวานกว่าเมื่อครู่มากมาย ดวงตาดำขลับคู่นั้นเป็นประกายแวววาวอย่างที่สุด ทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมอย่างเหลือล้น​​​​​​​