ตอนที่ 136 ตัวเลวร้ายที่แท้จริง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เจียงเหม่ยหยู่คิดไม่ถึงเลยว่าทั้งๆ ที่นานๆ ทีนางจะได้เข้าวังมาสักครั้งหนึ่ง กลับสามารถได้พบฝ่าบาทเสด็จมาตำหนักเฟิ่งหมิงได้พอดี เรื่องเช่นนี้สำหรับหรูหย้วนแล้ว นับว่าเป็นโชคดีที่ฟ้าประทานมาให้ทีเดียวเชียว 

 

 

หากว่าก่อนที่จะถึงช่วงเวลาคัดเลือกนางสนมก็สามารถให้นางเข้าใกล้ฝ่าบาทสร้างความสนิมสนมเอาไว้ก่อน ก็จะทำให้ฝ่าบาทยิ่งเพิ่มพูนความทรงจำที่ดีต่อนางมากขึ้น พอถึงยามคัดเลือก ก็มิใช่ว่าทำให้ฝ่าบาททรงสามารถเลือกนางได้ตั้งแต่แวบแรกเลยหรือ? 

 

 

“หม่อมฉันเจียงเหม่ยหยู่ ถวายพระพรฝ่าบาท ” นางถวายคำนับอย่างยินดี ทั้งยังดึงตัวซ่งหรูหย้วนมาที่เบื้องหน้าฝ่าบาทอีกด้วย “นี่เป็นหลานสาวของหม่อมฉัน หรูหย้วน ปีนี้อายุสิบหก ไม่ว่าจะเป็นดนตรี หมากล้อม อักษร หรือวาดภาพล้วนมีความสามารถ โดยเฉพาะฝีมือเล่นผีผาของนางยิ่งน่าประทับใจ แม้แต่ยอดอาจารย์ดนตรีอันดับหนึ่งในเมืองหลวงยังเคยชื่นชมนางเพคะ” 

 

 

พอพูดถึงหลานสาวสายนอกคนนี้แล้ว เจียงเหม่ยหยู่เป็นต้องภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เดิมทียามที่ฝ่าบาทพึ่งจะขึ้นครองราชย์นั้น พวกนางก็เคยคิดจะส่งหรูหย้วนเข้าวัง แต่ว่าตอนนั้นสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน ขุนนางซ่างซูผู้เป็นบิดาจึงลังเลไม่กล้าตัดสินใจ 

 

 

สุดท้ายจึงส่งเหลียนเอ๋อร์เข้าวังมา เหลียนเอ๋อร์แม้จะมีหน้าตางดงาม แต่ว่านิสัยใจคอกลับตื้นเขินเกินไป ตั้งแต่เล็กก็ถูกตามใจมามาก ไม่สนใจเรียนรู้ 

 

 

หากว่าเปรียบเทียบกับหรูหย้วนแล้ว เหลียนเอ๋อร์นับว่ายังห่างไกลอีกมาก 

 

 

เจียงเหม่ยหยู่ยังมีวาจาอีกมากมายกล่าวไม่หมด นางอยากจะเยินยอหรูหย้วนจนขึ้นฟ้าไปจนแทบจะอดใจไม่ไหว แต่ว่าฝ่าบาทกลับมิได้สนใจฟังแม้สักคำเดียว 

 

 

นับตั้งแต่ที่พระองค์เสด็จผ่านประตูเข้ามา สายพระเนตรก็จับจ้องอยู่แต่บนร่างของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

กิริยาท่าทางที่เกียจคร้านของนาง ดูไปราวกับหนอนขนฟูตัวหนึ่ง 

 

 

ในมือของนางยังมีเมล็ดแตงอยู่กำหนึ่ง ยามที่เห็นเขาในแวบแรก ปฎิกิริยาอย่างแรกของนางคือกินเมล็ดแตงในมือให้หมดเกลี้ยง ใครจะอยากไปแย่งเมล็ดแตงของนางกัน! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยัดเมล็ดแตงเข้าไปจนเต็มปาก ดูราวกับหนูนาที่ตุนธัญพืชเอาไว้ หลายวันมานี้พอไม่ได้พบเจอเจ้าลูกชายฮ่องเต้สุนัข นางก็ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี สบายอกสบายใจ ไหนเลยจะคิดว่าอยู่ดีๆ เขาก็จะโผล่มาราวกับภูติผีโดยมิได้บอกกล่าว 

 

 

เดิมทีนางกำลังเกียจคร้านไม่อยากลุกจึงกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้อ่อน ยามนี้จึงกลายเป็นว่าดวงตาที่ง่วงงุนก็ปิดไม่ลงเสียแล้ว 

 

 

” ฝ่าบาท~” นางยิ้มหวานส่งเสียงทักทายพระองค์ 

 

 

จีเฉวียนเสด็จมาที่ข้างกายนาง ทอดพระเนตรมองดูนางบนเก้าอี้อ่อน ” เขยิบหน่อย” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันงงงันไปชั่วครู่หนึ่ง ค่อยๆ หดขาเข้าไป ยกพื้นที่เกือบครึ่งบนเก้าอี้อ่อนให้กับเขา 

 

 

จีเฉวียนขมวดพระขนงมุ่น ความหมายในรับสั่งของพระองค์คือให้นางลุกขึ้น ไปนั่งเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ด้านข้าง 

 

 

เป็นถึงไทเฮาของแคว้นหนึ่งแท้ๆ จะนั่งก็ไม่นั่งให้ดีมีสง่า ทำตัวไร้กระดูก สวมใส่เสื้อผ้าตามสบายก็ออกมาเอนนอนให้คนเข้าพบได้ ทำไมถึงได้ไม่รู้จักรักษากิริยาแม้แต่น้อย? 

 

 

น่าเสียดายที่สมองด้านความเข้าใจของนางมีปัญหาจริงๆ พอพระองค์รับสั่งว่าเขยิบหน่อย นางก็เขยิบให้นิดนึงจริงๆ …….. 

 

 

จีเฉวียนก็มิได้รับสั่งออกมาให้มากความ พอเห็นว่านางเขยิบให้หน่อยก็นั่งลงไปทั้งอย่างนั้น 

 

 

บนร่างของพระองค์มีกลิ่นอายของลมหิมะ พอประทับลงบนเก้าอี้อ่อน ตู๋กูซิงหลันก็พลันรู้สึกว่าตนเองเกือบจะถูกทับกลายเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อไปแล้ว 

 

 

เจ้าคนผู้นี้ถึงจะดูแล้วคล้ายจะผ่ายผอมไปบ้าง แต่ที่จริงแล้วกระดูกก็ใหญ่ตัวก็แข็ง เต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมไปหมด 

 

 

ฮ่องเต้ที่ทรงประทับอยู่อีกด้านก็ทรงรู้สึกถึงร่างกายของสตรีที่อ่อนนุ่ม ยิ่งทรงรู้สึกว่านางคล้ายกับหนอนขนฟูจริงๆ 

 

 

ไม่เช่นนั้นทำไมถึงได้ขี้เกียจจนไม่ยอมลุกขึ้นมา จะให้เขาลงมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกันให้จงได้? 

 

 

นอกจากเสี่ยวลี่และหลี่กงกงแล้ว ผู้อื่นที่อยู่ในตำหนักต่างก็ปากอ้าตาค้างไปตามๆ กัน 

 

 

เสี่ยวลี่ค่อยๆ ถอยออกมาให้ไกลจากฮ่องเต้ออกไปอีก กลิ่นไอโอรสสวรรค์บนร่างของฝ่าบาททำให้ผีตายโหงอย่างนางรู้สึกไม่สบายเนื้อตัว ยามปกติหากพบเจอก็จะหลบหนีไปจนห่างไกล คราวนี้ต้องมาอยู่ในห้องเดียวกัน นางรู้สึกเหมือนขาดอากาศ หายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว 

 

 

หัวใจของเจียงเหม่ยหยู่และซ่งหรูหย้วนต่างก็หงุดหงิด 

 

 

สีหน้าของซ่งหรูหย้วนไม่ดีอย่างยิ่ง นางเคยได้ยินมาว่า ไทเฮาน้อยคิดไม่ดีกับองค์ฮ่องเต้ ไม่ว่ามีเรื่องอันใดหรือไม่ก็เอาแต่จะค่อยทอดเสน่ห์ยั่วยวนพระองค์ 

 

 

ก่อนหน้านี้นางไม่เคยเห็น จึงคิดว่าเป็นแค่คำเล่าลือของผู้อื่น แต่ยามนี้นางได้เห็นด้วนตาของตนเอง นางสวะผู้นี้ถึงกับนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกันกับฝ่าบาท ร่างกายแทบจะแนบชิดติดกันอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้าพวกนางแท้ๆ แต่กับไม่แยแส จงใจล่อลวงฝ่าบาท! 

 

 

มิน่าล่ะเมื่อครู่นางถึงได้เอาแต่ปฎิเสธ ไม่คิดจะช่วยเหลือนาง 

 

 

ที่แท้ตัวเองก็คิดจะครอบครองฝ่าบาทเอาไว้เพียงผู้เดียว 

 

 

” ฝ่าบาท….” นางคุกเข่าอยู่บนพื้นจนขาชา จึงค่อยเปิดปากเรียกจีเฉวียนคำหนึ่ง 

 

 

จีเฉวียนยังคงไม่สนพระทัยนาง เพียงหันพระพักตร์ไปทางตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกัน “เจ้ากลัวว่าเรากริ้วแล้วจะเกลียดเจ้า? “ 

 

 

เมื่อครู่ตอนที่อยู่นอกประตู คำพูดของนางเขาล้วนได้ยินอย่างชัดเจน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันชะงักไปครู่หนึ่ง “อืม” 

 

 

เจ้าฮ่องเต้ผู้นี้เป็นนักลอบฟังหลังกำแพง! 

 

 

นางก็แค่เกรงว่าซ่งหรูหย้วนผู้นี้เข้าวังมาแล้วจะสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลตู๋กู 

 

 

เพราะนางมีความเชื่อมโยงกับตระกูลตู๋กูในเมื่อมีบรรพบุรุษร่วมกัน กระตุกผมเส้นเดียวย่อมสะเทือนไปทั้งร่าง จะอย่างไรก็หนีไม่พ้น 

 

 

ไม่เช่นนั้นตนเองคงไม่ช่วยเหลือเสี่ยวลี่ยึดร่างของตู๋กูเหลียน จุดประสงค์ก็เพราะไม่ต้องการให้ตู๋กูเหลียนก่อเรื่อง 

 

 

แน่อยู่ว่า นางยิ่งเกรงว่าสมองของเจ้าฮ่องเต้สุนัขจะเกิดคึกขึ้นมา อยู่ว่างไร้เรื่องราวก็วางกับดักใส่นาง จัดการนางได้ในสักวันหนึ่ง 

 

 

ดังนั้นหากว่าสามารถไม่ไปยั่วโทสะเขาได้ ก็ไม่ควรไปยั่วโทสะของเขา 

 

 

เมื่อได้ยินนางตอบรับ จีเฉวียนก็ขยับท่านั่งให้ภูมิฐานยิ่งกว่าเดิม ตรัสเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง “เราให้อภัยเจ้า “ 

 

 

แต่ให้อภัยเฉพาะแค่เรื่องที่หลายวันมานี้นางมิได้ไปดูแลเขายามแช่ยาเท่านั้น ไม่ได้ให้อภัยเรื่องที่นางกับจีเย่ว์ไปแอบพบกันตอนมืดค่ำ! 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “??? ” ว่ากันตามจริง นางไม่เข้าใจเลยว่าตนเองไปก่อเรื่องอะไรให้เขาหงุดหงิดใจ 

 

 

น้ำพระทัยเจ้าแผ่นดินลึกล้ำดุจมหาสมุทร หากไม่ระวังกระทำผิดพลาดก็เป็นอันจบ 

 

 

นางรีบตอบรับอย่างคล้อยตามว่า “ฝ่าบาทพระทัยกว้างขวาง” 

 

 

พระองค์ย่อมไม่อาจทนเห็นท่าทางที่นางโอบกอดใกล้ชิดกับบุรุษอื่นได้อีก 

 

 

เรื่องนี้แม้มิได้ทรงตรัสออกมา ในใจนางก็ควรจะรู้อยู่แล้ว ด้วยฐานะของนางไม่อาจอนุญาตให้นางเกี่ยวข้องกับบุรุษใดได้ทั้งนั้น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆ กัน “อืม” 

 

 

คราวนี้ พระอารมณ์ของฝ่าบาทค่อยดีขึ้นบ้างเล็กน้อย พระองค์จึงค่อยสังเกตเห็นว่ามีอีกสองคนอยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงด้วย พระขนงที่พึ่งจะคลายออกก็ขมวดขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง 

 

 

พระองค์หันไปทอดพระเนตรเจียวเหม่ยหยู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปดูซ่งหรูหย้วนที่อยู่ข้างตัวนาง ” เจ้าเป็นใครกัน? “ 

 

 

ซ่งหรูหย้วน “…..” เมื่อครู่นางกับท่านยายพูดไปตั้งมากมาย หรือว่าฝ่าบาทมิได้ทรงฟังเลยแม้สักคำหนึ่ง? 

 

 

” หม่อมฉัน ซ่งหรูหย้วน เป็นบุตรสาวของขุนนางซ่างซูซ่งกงเลี่ยงเพคะ “ 

 

 

ซ่งฮูหยินไม่อาจคลอดบุตร ใต้เท้าซ่างซูจึงสู่ขอบุตรสาวสายรองของตระกูลตู๋กู ตู๋กูจิงมาเป็นภรรยาที่มีฐานะเท่าเทียมกัน เรื่องนี้จีเฉวียนย่อมทราบชัดเจนอยู่แล้ว 

 

 

เพียงแต่พระองค์ไม่มีเคยสนพระทัยเรื่องของซ่งหรูหย้วนมาก่อน 

 

 

“อ้อ ” น้ำเสียงของฮ่องเต้เย็นชา 

 

 

ถึงมาจะเป็นเพียงแค่คำเดียว แต่ว่าสำหรับซ่งหรูหย้วนแล้วนางกลับตื่นเต้นไปหมด 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาททรงรับสั่งกับนางก่อน! 

 

 

ยามนี้นางหน้าบานดุจดอกท้อ ” หม่อมฉันได้ยินผู้คนสรรเสริญฝ่าบาทมานานแล้วเพคะ วันนี้ได้เข้าเฝ้านับว่าเป็นบุญที่สั่งสมมาสามชาติ หม่อมฉันแม้ตายก็ยินดีเพคะ “ 

 

 

จีเฉวียนทรงได้ยินแล้ว ก็ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผ้าขาว ยาพิษ มีดสั้น หากเจ้าอยากตาย เราสามารถประทานได้อย่างหนึ่ง” 

 

 

ซ่งหรูหย้วน และเจียงเหม่ยหยู่ “!!! “ 

 

 

วิญญาณทมิฬ ” หึๆๆๆๆ เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี่นับว่าเป็นตัวเลวร้ายที่แท้จริง! “ 

 

 

ว่าแล้ว จีเฉวียนก็ไม่ทรงลืมย้ำไปอีกประโยค “หลี่กงกง ไปตระเตรียม อย่าให้นางต้องรอนาน “ 

 

 

หลี่กงกงทำหน้ากล้ำกลืน แต่ก็ไม่กล้าขัดพระประสงค์ของฝ่าบาท ได้แต่หันไปสั่งคนให้รีบไปเตรียมของประทานทั้งสาม 

 

 

ว่ากันตามจริงแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าซ่งหรูหย้วนไปทำอะไรให้ฝ่าบาทไม่ทรงพอพระทัย