ตอนที่ 649 หน้าที่ของเผ่าพิษหนอนกู่

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 649 หน้าที่ของเผ่าพิษหนอนกู่

“นางคือผู้พิทักษ์ของข้า” สีหน้าของอิ่งจือดูเจ็บปวดมาก เขามองอันหลิงเกออยู่เช่นนั้นราวกับความหนาวเหน็บกำลังคืบคลานภายในใจของเขา บัดนี้เขาคิดถึงนางอีกแล้ว คิดถึงสตรีที่ไร้เดียงสาผู้นั้นอีกแล้ว

“ชื่อของนางก็เหมือนกับนิสัยคือเรียบง่ายและจิตใจดี” ตอนนี้อันหลิงเกอเห็นว่าแววตาของอิ่งจืออ่อนโยนขึ้น คล้ายว่าเขากำลังเอ่ยถึงคนรักที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจก็มิปาน

“สุดท้ายนางก็ใช้ชีวิตเพื่อแลกกับชีวิตของข้าและบรรลุหน้าที่ของการเป็นผู้พิทักษ์อย่างแท้จริง” อิ่งจือเอ่ยถึงตรงนี้ อันหลิงเกอก็เข้าใจแล้วว่าสตรีนางนี้คือความเจ็บปวดที่มิควรแตะต้องสำหรับเขา

เรื่องหน้าที่ของเผ่าพิษหนอนกู่นั้น อันหลิงเกอรู้น้อยมาก นางจึงมิรู้ว่าผู้พิทักษ์คือสิ่งใดด้วยซ้ำ

แม้แต่ฐานะของตนในตอนนี้ก็แทบมิรู้อันใดเลยเช่นกัน

อันหลิงเกอยังตั้งใจฟังเขาอย่างเงียบๆ จนเขาพูดจบ นางมองออกว่าเขามิเคยระบายเรื่องนี้มานานแล้ว ราวกับว่าครั้งนี้คือครั้งแรกที่เขาได้ระบายความเจ็บปวดที่อยู่ภายในใจออกมา

“ที่จริงแล้ว บางทีข้าอาจจะมีชื่อก็ได้ บางทีนะ”

มิน่าล่ะ เขาจึงมิเคยเอ่ยถึงชื่อของตนเลยเพราะนี่มิใช่ชื่อที่แท้จริงของเขา ส่วนชื่อแท้จริงนั้นเขาก็จำมันมิได้มาตั้งนานแล้ว

อิ่งจือเอ่ยเพียงเท่านั้นก็มิได้กล่าวอันใดต่ออีก ส่วนอันหลิงเกอเห็นถึงความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดของอีกฝ่าย นางจึงขยับเข้าไปหา

มิรู้ว่าเหตุใดนางจึงอยากช่วยบุรุษผู้นี้ ทุกเรื่องราวของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด อันหลิงเกอลูบที่ศีรษะของอิ่งจืออย่างปลอบประโลมพร้อมมองในดวงตาของเขา นางอ้าปากเหมือนต้องการจะกล่าวอันใดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะมิเอ่ยมันออกมา

นางมิรู้ว่าความเจ็บปวดที่ยาวนานเช่นนี้จักใช้อันใดมาปลอบโยนได้ มิรู้ว่าคำปลอบโยนของนางถ้าเขาได้ยินแล้วจะกลายเป็นคำเสียดสีแทนหรือไม่ สุดท้ายนางจึงมิกล้าเอ่ยสิ่งใด

อิ่งจือเห็นท่าทางอึกอักของนางก็มิได้ว่าอันใดและมิได้บังคับให้นางต้องกล่าวออกมา เขาแค่กอดที่เอวของนางเอาไว้หลวม ๆ แล้วพิงศีรษะไว้ที่หน้าท้องของนางอย่างเหนื่อยล้า

อันหลิงเกอรู้สึกว่าอิ่งจือเหมือนเด็กน้อยที่ต้องการหาที่พึ่ง มิได้มีความรู้สึกอื่นใด ดังนั้นจึงมิได้ผลักไสเขาออกแต่อย่างใด คนทั้งสองกอดกันอยู่เช่นนั้น และสำหรับอิ่งจือแล้วช่วงเวลานี้ก็เหมือนได้พบกับหลุมหลบภัยที่แสนอบอุ่น

เขายังคงพิงศีรษะเข้ากับหน้าท้องของนางอีกเนิ่นนานและครุ่นคิดว่าเหตุใดเขาถึงยอมเล่าทุกอย่างให้สตรีตรงหน้าได้รู้ เหมือนกับเวลาที่นางอยู่ตรงนี้ก็ทำให้เขามองเห็นเงาของสตรีนางนั้นด้วย

หัวใจของอิ่งจือคล้ายรวงผึ้งที่มีรูอยู่เต็มไปหมด เขาอยากปกป้องหัวใจของตนเพื่อมิให้มันแตกสลาย ดังนั้นจึงมิเคยกล่าวเรื่องนี้กับผู้ใดแต่พอได้บอกกับอันหลิงเกอ เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างประหลาด

อันหลิงเกอรับรู้ได้ถึงร่างกายที่สั่นเทาของเขา นางจึงทำเพียงกอดเขาให้แน่นขึ้นแต่มิได้มีความรู้สึกอื่นใดแอบแฝง ระหว่างคนทั้งคู่ก็เหมือนสหายที่รู้จักกันมานานเท่านั้น

ผ่านไปเนิ่นนานอิ่งจือจึงคลายอ้อมกอดออก สีหน้าของเขาดีขึ้นมาก ไร้แววโศกเศร้าเหมือนก่อนหน้านี้ อันหลิงเกอก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเขาจึงโล่งใจขึ้น

ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวออกไปจากถ้ำน้ำแข็ง ทว่าเพราะเมื่อครู่ทั้งสองหันหลังให้กับประตูหินจึงมิทันสังเกตว่ามีคนผู้หนึ่งยื่นอยู่ตรงนั้นมาพักใหญ่แล้ว

มู่จวินฮานมิรู้ตัวว่ายืนรออยู่ตรงนั้นมานานเท่าใด รู้สึกว่าไหล่ของเขาเย็นเฉียบส่วนสีหน้าก็เย็นชาเสียยิ่งกว่าความเย็นภายในห้องนี้เสียอีก อันหลิงเกอเห็นดังนั้นก็มิรู้ว่าควรทำเช่นไร แต่อิ่งจือเดินไปหยุดตรงเบื้องหน้าของมู่จวินฮาน

“อย่าทำให้นางเจ็บปวดด้วยเรื่องเหลวไหลอีก”

อิ่งจือใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยที่ข้างหูของมู่จวินฮานราวกับกระซิบจึงทำให้มีเพียงพวกเขาทั้งสองเท่านั้นที่ได้ยิน มู่จวินฮานได้ฟังก็รู้สึกโมโหจนตัวสั่นไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ

เมื่อครู่เขาได้ยินสิ่งที่อันหลิงเกอและอิ่งจือสนทนากัน พลันทำให้ความทรงจำที่หายไปกลับคืนมา

มู่จวินฮานรู้ดีว่าระหว่างอันหลิงเกอและอิ่งจือมิได้มีอันใด แต่เมื่อครู่พอเห็นทั้งสองกอดกันเช่นนั้น หัวใจของเขาราวกับมีเข็มทิ่มแทงจนปวดหนึบไปหมด เขารู้ดีว่าอิ่งจือเป็นคนทะเยอทะยาน และการที่เข้าหาอันหลิงเกอเช่นนี้ย่อมมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝง

ตอนนี้เมื่อเห็นอันหลิงเกอที่ยืนอยู่บนแท่นหินกำลังทำตัวมิถูก เขาก็มิอาจจะเอ่ยคำตำหนินางออกมาได้แม้แต่คำเดียว เขามองนางอยู่เงียบๆ เนิ่นนานกว่าจะถอนหายใจออกมา

ส่วนอันหลิงเกอที่พอจะมองออกว่าความทรงจำของเขากลับมาแล้วเพราะแววตาที่เขามองนางเปลี่ยนไปจากเดิม แต่นางก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาเพราะรอให้เขาพูดก่อน ครั้งนี้มู่จวินฮานเห็นนางกอดกับอิ่งจือเช่นนั้นจึงทำให้นางรู้สึกอึดอัดมิน้อย

นางรู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้ในสายตาของมู่จวินฮานร้ายแรงเพียงใด นางก็มิรู้จะทำเช่นไร

แต่เป็นมู่จวินฮานที่เดินเข้ามาหานางก่อน ทุกย่างก้าวของเขาคล้ายกำลังเดินย่ำอยู่ในใจของอันหลิงเกอจนทำให้นางอดตัวสั่นขึ้นมามิได้ นางทำได้เพียงมองเขาขณะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าและอดที่จะรู้สึกกลัวมิได้

ทว่ามู่จวินฮานแค่เดินเข้ามาหานางเท่านั้นโดยมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา เขารอจนนางเงยหน้าขึ้นสบตา

อันหลิงเกอรับรู้ได้ถึงสายตาของมู่จวินฮานที่จ้องมองมา ดังนั้นนางจึงพยายามสะกดความกลัวในใจเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองสบตากับมู่จวินฮาน

“ไปเถิด ข้ามารับเจ้ากลับจวน” มู่จวินฮานเอ่ยกับอันหลิงเกอเหมือนไม่มีอันใดเกิดขึ้น ขณะที่นางกำลังตกตะลึงอยู่นั้น เขาก็อุ้มนางขึ้นมาและพาเดินออกไปด้านนอก

อันหลิงเกอมิได้ปฏิเสธและปล่อยให้เขาอุ้มไปเช่นนั้นเพราะขาของนางแข็งไปหมดแล้ว หากปล่อยให้นางเดินเองก็คงต้องบีบนวดอีกสักครู่ใหญ่กว่าจะกลับมาเดินได้ตามปกติ

อีกอย่างอ้อมกอดของมู่จวินฮานช่างอบอุ่นยิ่งนัก ตอนนี้นางยังมิอยากถอนตัวออกจากอ้อมกอดนี้เลย

“ข้ายังหาตัวคนร้ายที่สังหารฟางหลิงซู่มิได้” ระหว่างทางทั้งสองคนไม่มีใครเอ่ยอันใดออกมาจนบรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความอึดอัด และเป็นมู่จวินฮานที่ทนมิไหวจึงพูดขึ้นมาก่อน เพราะเขานึกได้ว่าที่อันหลิงเกอเมินตลอดหลายวันมานี้เพราะการตายของฟางหลิงซู่

แท้จริงแล้วเขามิได้สังหารฟางหลิงซู่

ที่วันนั้นเขารู้ว่า ‘ฟางหย่าเกอ’ ลอบพบฟางหลิงซู่ก็เพราะเขาพบศพของฟางหลิงซู่อยู่ด้านนอกอยู่แล้ว

“ข้ารู้” อันหลิงเกอตอบสั้น ๆ ทำให้มู่จวินฮานมิรู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรต่อดี เขามิรู้ว่านางหมายความเช่นไร นางรู้ว่าเขายังหามิเจอหรือรู้ว่าผู้ใดคือคนร้ายตัวจริงกันแน่

ความจริงแล้วอันหลิงเกอรู้ตั้งนานว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของเฝิงเยว่เอ๋อและเยว่หยา เพียงแต่นางไม่มีหลักฐานจึงมิอาจพูดอันใดได้

ทว่าราคาที่ต้องจ่ายในครั้งนี้เป็นชีวิตของฟางหลิงซู่ นี่คือสิ่งที่อันหลิงเกอคาดมิถึงมาก่อน

หลายวันมานี้ที่อันหลิงเกอมิสนใจมู่จวินฮาน มิใช่เพราะตำหนิเขาหรอก แต่เพราะนางรู้สึกหมดหนทางกับสถานการณ์ตรงหน้าต่างหาก

ตอนนี้นางไม่มีความสามารถมากพอที่จะแก้แค้นเฝิงเยว่เอ๋อ เยว่หยาและมู่เหล่าหวางเฟย

นางไม่มีแม้กระทั่งความสามารถที่จะปกป้องตนเองเสียด้วยซ้ำ นับประสาอันใดกับการแก้แค้นให้ฟางหลิงซู่ เมื่อนางนึกถึงเรื่องนี้ก็ทำให้แววตาเผยความเจ็บปวดออกมา และมู่จวินฮานที่มองอยู่ก็รู้ดีว่านางกำลังคิดถึงฟางหลิงซู่

หลังจากนั้นมินานทั้งสองคนก็มาถึงถนนทางเข้าจวนอ๋อง แต่มู่จวินฮานวางนางลงซึ่งตอนนี้ขาของอันหลิงเกอก็หายชาแล้ว เดิมทีนางคิดว่ามู่จวินฮานจะอุ้มนางกลับจวน แต่เขาหยุดลงตรงนี้จึงทำให้อันหลิงเกอมองอย่างมิเข้าใจ

“อยู่ให้ห่างจากอิ่งจือผู้นั้นเพราะเขามิใช่คนที่เจ้าควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย” พอมู่จวินฮานกล่าวจบก็ก้าวยาว ๆ จากไปทันที

แม้ที่นี่เป็นทางเดินเข้าจวนอ๋องมู่ และอันหลิงเกอรู้ว่าใกล้ถึงจวนแล้ว ตอนนี้นางกลับทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม