บทที่ 747 : สนามรบ!
“ข้าไม่ได้เข้าสู่สนามต่อสู้เช่นนี้มานานแล้วสินะ!”
หลิงหยุนจ้องมองเหล่าค้างคาวบนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและเลือดในกายของเขาก็สูบฉีดอย่างรวดเร็ว!
หลิงหยุนนนั้นเป็นคนประเภทที่ยิ่งศัตรูแข็งแกร่งมากเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งมีความมุ่งมั่นมากขึ้นเท่านั้น
และเมื่อฝนค่อยๆเพลาลงหลิงหยุนก็ยิ่งเห็นสภาพแวดล้อมได้ชัดเจนขึ้น จิตหยั่งรู้ขั้นสูงสุดถูกเปิดออกเพื่อสำรวจภูมิประเทศโดยรอบ และหลิงหยุนก็พบว่าตำแหน่งที่เขาอยู่เวลานี้นั้นต่ำเกินไป ทำให้เขาค่อนข้างเสียเปรียบคู่ต่อสู้ออย่างมาก
หลิงหยุนไม่ยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียเปรียบอย่างแน่นอนเพราะนั่นไม่ใช่วิสัยของเขา!
เฉินเจี้ยนกุ่ยอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากลูกธนูที่แหลมคมและบินขึ้นไปบนท้องฟ้าพูดคุยกับแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสตนนั้น
“ท่านมาร์ควิสที่เคารพเหยื่อที่ข้าเตรียมไว้ให้กับท่านดยุคแดร๊กคิวล่านั้น เวลานี้ถูกพวกมันช่วยไปแล้ว..”
ระหว่างที่พูดเฉินเจี้ยนกุ่ยก็ชี้ไปที่รถสีเงินซึ่งกำลังแล่นอยู่บนถนนพร้อมกับรีบบอกว่า“นางอยู่ในรถคันนั้น”
ริมฝีปากของแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสแสยะยิ้มและรอยหยันก็ปรากกฏขึ้นในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น “มิสเตอร์เฉิน.. เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวลใจไป ท่านดยุคแดร๊กคิวล่าส่งข้ามาช่วยท่านแก้ปัญหาในเรื่องนี้!”
เฉินเจี้ยนกุ่ยมองไปทางแวมไพร์ขั้นเคานต์ยี่สิบกว่าตนที่ล้อมรอบแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสอยู่และยังมีแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์อยู่ด้านล่างอีกสองร้อยตน แม้ในใจจะรู้สึกดีอกดีใจอย่างมาก แต่ก็ไม่ลืมที่จะเตือนแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสว่า..
“ท่านมาร์ควิสที่เคารพชายผู้นั้นมีคันธนูทองอยู่ในมือ ลูกธนูเงินของมันทั้งแหลมคม ทั้งเร็ว และรุนแรงยิ่งนัก สามารถสังหารแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์เหล่าได้อย่างง่ายดาย..”
เฉินเจี้ยนกุ่ยพาแวมไพร์ทั้งยี่สิบห้าตนมาจากสหรัฐอเมริกาและแวมไพร์ทั้งยี่สิบห้าตนนั้นล้วนไม่มีเจ้านาย เฉินเจี้ยนกุ่ยจะทำกับพวกมันอย่างไรก็ย่อมได้ แต่แวมไพร์เหล่านี้นั้นแตกต่างกัน พวกมันเป็นบริวารของท่านดยุคแดร๊กคิวล่า หากเฉินเจี้ยนกุ่ยไม่แจ้งให้พวกมันทราบถึงความแข็งแกร่งของหลิงหยุนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ตระกูลเฉินคงต้องถูกท่านดยุคแดร๊กคิวล่าตำหนิ และถึงเวลานั้นตระกูลเฉินคงยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แน่
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสหันมาถาม“เจ้าว่าอะไรนะ! ลูกธนูเงินงั้นรึ? หมอนั่นรู้วิธีที่จะจัดการกับแวมไพร์ด้วยงั้นรึนี่? มันรู้ได้อย่างไรกัน?”
ในตำนานตะวันตกก็เมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการล่าแวมไพร์อยู่มากมาย และกระสุนเงินก็เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสิ่งที่นักล่าแวมไพร์นิยมใช้สังหารเหล่าแวมไพร์
เฉินเจี้ยนกุ่ยบุ้ยปากลงไปด้านล่างพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านมาร์ควิส… ท่านลองมองดูข้างล่างให้เห็นกับตาตนเองเถิด!”
ภาพที่เห็นคือหลิงหยุนกำลังยืนอยู่บนหลังแวมไพร์ซึ่งเป็นบริวารผู้ซื่อสัตย์ของเขาแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ..
“โอ้..ชิท!”
“ซาตาน..นี่มันสามารถยืนอยู่บนหลังของแวมไพร์ขั้นสูงได้ด้วยหรือนี่ มันทำได้อย่างไรกัน?”
เฉินเจี้ยนกุ่ยคาดเดาว่าหลิงหยุนคงจะรู้วิธีที่จะใช้ดาบพายุเล่มนั้นทำให้แวมไพร์กลายเป็นบริวารที่ซื่อสัตย์มันทั้งโกรธและทั้งอิจฉาริษยาจนต้องกัดฟันตอบกลับไปว่า
“ท่านมาร์คิวส…เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดมันจึงทำเช่นนั้นได้ แต่มนุษย์ผู้นี้เปรียบเหมือนศัตรูคู่แค้นของเหล่าแวมไพร์อย่างพวกเรา..”
เฉินเจี้ยนกุ่ยคงจะเกรงว่าโลกใบนี้ยังโกลาหลวุ่นวายไม่พอมันจึงพูดต่อว่า “ร่างของมนุษย์ผู้นั้นมีพลังร้อนที่น่าประหลาด พลังของมันรุนแรงไม่ต่างจากแสงศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย ข้าเชื่อว่าเลือดของมันผู้นั้นจะต้องเหนือกว่าเลือดของหญิงสาวบริสุทธิ์มากมายนัก ข้าเชื่อว่าหากท่านมาร์ควิสจับตัวมันกลับไปในคืนนี้ได้ ท่านดยุคแดร๊กคิวล่าจะต้องตบรางวัลท่านด้วยการเลื่อนขั้นให้ท่านเป็นดยุคอย่างแน่นอน…”
ดวงตาสีฟ้าของแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสเป็นประกายขึ้นมาทันที..
“มิสเตอร์เฉิน..ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้กับข้า! ระหว่างที่ท่านฟื้นตัวนี้ก็จงนั่งดูผลงานของข้าอย่างมีความสุข..”
หลังจากแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสพูดจบก็กระซิบสั่งแวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งยี่สิบสามตนให้จู่โจมหลิงหยุนทันที
มดทั้งรังยังสามารถกัดช้างใหญ่โตจนขาดใจตายได้เวลานี้มีบริวารแวมไพร์จำนวนมากมาย แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสจึงไม่เห็นหลิงหยุนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แววตาของมันเป็นประกายพร้อมกับกระพือปีกพาร่างบินขึ้นไปสูงกว่าเดิม
เหล่ากุ่ยขับรถยนต์สีเงินไปตามถนนด้วยความเร็วที่ลดลงและเมื่อรถแล่นไปถึงโค้งของภูเขา ทั้งสองฝั่งถนนก็เริ่มสูงและชันมากขึ้น
“ช่างเป็นภูมิประเทศที่งดงามยิ่งนัก!”
ดวงตาของหลิงหยุนเป็นประกายระหว่างที่บินสำรวจและแล้วเขาก็ร้องสั่งให้เพียร์ซเร่งความเร็วในการบินเพิ่มขึ้น และในที่สุดก็บินนำหน้ารถไปราวหนึ่งร้อยเมตร
หลิงหยุนได้ใช้จิตหยั่งรู้สำรวจภูมิประเทศล่วงหน้าแล้วและพบว่าด้วยลักษณะของภูมิประเทศแถบนี้ หากหลิงหยุนเผชิญหน้าตรงๆกับเหล่าแวมไพร์ เขาย่อมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แต่หากเขาแอบอยู่ที่ใดที่หนึ่งแล้วใช้ธนูซุ่มโจมตี เขาจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างสมบูรณ์
และในสถานการณ์เช่นนี้การมีวิชาเคลื่อนไหวที่ล้ำเลิศก็ไม่ได้ช่วยอะไร หลิงหยุนจึงต้องมองหาภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยต่อชัยชนะในการรบของตนเองแทน
“ฮ่า..ฮ่า.. ที่นี่ล่ะ! ช่างงเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฆ่าคนนัก!”
และหลิงหยุนก็นึกขอบคุณโชคชะตาของตนเองเขาสั่งให้เหล่ากุ่ยเหยียบคันแร่งและไปหยุดอยู่ด้านหน้า!
และที่นี่ก็คือสนามต่อสู้ที่หลิงหยุนได้เลือกแล้ว!
ฝนที่ตกลงมาเริ่มเบาขึ้นแต่เสียงฟ้าร้องยังคงดังกึกก้องสนั่นไปทั่วทั้งหุบเขาจนรู้สึกหนวกหู
-ศัตรูของข้ามีมากกว่าสองร้อยที่นี่เหมาะกับการป้องกันและรับมือ แต่ก็ยากที่ศัตรูจะโจมตีข้าได้ง่ายๆ-
เหล่ากุ่ยหยุดรถและหลิงหยุนก็หันไปมองหน้าผาสูงที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ หน้าผานี้อยู่สูงจากพื้นถนนราวสี่สิบเมตร โขดหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผานั้นมีลักษณะเป็นพื้นนูนครึ่งวงกลม และมีต้นสนอยู่หนึ่งต้น
ด้านล่างโขดหินคือหุบเขาที่ลึกที่สุดและเวลานี้ก็มีเสียงน้ำไหลดังครืนๆกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
ในเวลานี้หลิงหยุนเพียร์ซ เหล่ากุ่ย และเกาเฉินเฉิน ทั้งสี่คนได้ถูกเหล่าแวมไพร์ล้อมไว้หมดทั้งสองฝั่ง และพวกมันก็กำลังบินอยู่เหนือศรีษะของพวกเขาอยู่ราวสามถึงสี่ร้อยเมตร และเวลานี้แวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์สิบกว่าตัวก็บินอยู่ห่างจากรถสีเงินไปราวหนึ่งร้อยเมตร จึงยากที่จะขับต่อไป หรือเลี้ยวกลับได้อีก
“หมูในอวย– ภาษิตนี้เจ้าคงเคยได้ยินสินะ!”
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสที่บินอยู่เห็นหลิงหยุนและคนอื่นๆตกอยู่ในวงล้อมของพวกมันก็ร้องบอกเฉินเจี้ยนกุ่ยอย่างผยอง
“คิดไม่ถึงว่าท่านมาร์ควิสจะรู้จักสุภาษิตเหล่านี้ด้วย..”
เฉินเจี้ยนกุ่ยเห็นหลิงหยุนถูกล้อมไว้หมดแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับคิดอยู่ในใจว่า ‘ข้าก็อยากรู้ว่าคราวนี้เจ้าจะหนีรอดได้อย่างไรกัน คงยากที่เจ้าจะหนีรอดเงื้อมือของท่านมาร์ควิสไปได้..’
หากทั้งคู่รู้ว่าหลิงหยุนเป็นฝ่ายจงใจเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสนามต่อสู้พวกมันคงจะหวาดกลัวจนแทบกระอักเลือดกันเลยทีเดียว..
แต่ไม่ว่าพวกมันจะรู้หรือไม่ก็ตามพวกมันก็หมดทางเลือกแล้ว!
หลิงหยุนกระโดดลงจากหลังของเพียร์ซไปเปิดประตูรถแล้วคว้าร่างของเกาเฉินเฉินเออกมา และพูดกับเหล่ากุ่ยว่า
“เหล่ากุ่ย..ท่านเห็นภูเขาหินด้านหน้าผาตะวันออกนั่นหรือไม่ พวกเรามุ่งหน้าขึ้นไปทางนั้น!”
หลิงหยุนคำนวนดูแล้วว่าศัตรูของเขาบินได้ หากค้างคาวพวกนั้นบินขึ้นไปหลบบนท้องฟ้า แล้วโฉบลงมาจู่โจมใส่รถ หลิงหยุนคงจะไม่สามารถมาช่วยได้ทัน แม้เหล่ากุ่ยจะมียันต์เตโช แต่ก็สามารถป้องกันได้เพียงแค่ตัวเขาคนเดียว คงไม่สามารถดูแลเกาเฉินเฉินได้แน่!
“ไม่ต้องห่วงรถ..ไปกันได้แล้ว!”
หลิงหยุนโอบรอบเอวของเกาเฉินเฉินไว้และใช้วิชามังกรพรางร่าง กระโดดขึ้นไปยืนบนโขดหินที่ยื่นออกมา
เหล่ากุ่ยรู้ว่านายน้อยสี่ของตนนั้นได้เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นสนามต่อสู้เขาเพียงแค่ยิ้มออกมาแล้วกระโดดตามขึ้นไปยืนอยู่บนโขดหินซึ่งมีเนื้อที่อยู่เพียงแค่สิบตารางเมตร
“วิชามังกรพรางร่างช่างยอดเยี่ยมนัก..”
และนี่เป็นครั้งแรกที่เหล่ากุ่ยลองใช้วิชามังกรพรางร่างที่หลิงหยุนสอนให้
เหล่ากุ่ยนั้นรู้มานานแล้วว่าวิชาของหลิงหยุนนั้นล้วนแล้วแต่ล้ำเลิศทั้งสิ้นและยิ่งได้ลองใช้กับตนเองก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์จนถึงกับต้องร้องอุทานออกมา
ส่วนเพียร์ซนั้นบินตามหลิงหยุนขึ้นไปแต่ไม่ได้ไปยืนอยู่บนโขดหินด้วย มันกระพือปีกบินอยู่กลางอากาศเพื่อคอยระมัดระวังแวมไพร์ที่จะจู่โจมใส่หลิงหยุน
หลิงหยุนเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาถือไว้ในมือและกระโดดขึ้นไปบนหน้าผา!
เมื่อขึ้นไปถึงหลิงหยุนก็จัดการใช้เท้าเตะหินก้อนใหญ่ลงมาจากหน้าผาและจัดการใช้กระบี่โลหิตแดนใต้เจาะเข้าไปที่หินแข็งให้เป็นถ้ำเล็กๆขนาดสองเมตร
“เฉินเฉิน… เข้าไปอยู่ด้านใน!”
หลิงหยุนยิ้มให้เกาเฉินเฉินพร้อมกับผลักร่างของนางเข้าไปด้านใน“เฉินเฉิน.. อยู่ในนั้นสักครู่ก่อนนะ!”
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสที่บินอยู่บนฟ้าได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ถึงกับตกตะลึงและแววตาเสียใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของมันวูบหนึ่ง
“นี่มันสามารถขุดถ้ำหินบนหน้าผาได้ง่ายดายเช่นนั้นเชียวรึ”
“นั่นมันดาบอะไรกันมันไปได้มาจากที่ใดมา?”
หลิงหยุนยืนอยู่ด้านนอกอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆหน้าตาท่าทางของเขานั้นทั้งหล่อเหลาและสง่างามยิ่งนัก สายตาของเขาที่จ้องมองเหล่าแวมไพร์หลายร้อยตัวนั้นช่างเย็นชาเสียเหลือเกิน!
“เข้ามาได้เลย!”
คันธนูและลูกธนูอยู่ในมือหลิงหยุนเรียบร้อยแล้ว!
บทที่ 748 : เริ่มสังหาร!
ฟิ้ว..
เสียงลูกธนูพุ่งออกจากคันธนู..
“อ๊าก..”
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์
ภายใต้คำสั่งลับของแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์สี่สิบตนก็บินพุ่งตรงเข้าหาหลิงหยุนทันที
แวมไพร์ทั้งสี่สิบตนที่พุ่งเข้าใส่หลิงหยุนนั้นต่างก็กางปีกสีดำใหญ่ของมันเป็นรูปคล้ายกับกำแพงโค้งครึ่งวงกลม และเวลานี้หลิงหยุนก็ถูกร่มสีดำขนาดใหญ่คลุมไว้
ความจริงแล้วแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์นั้นสามารถสยายปีกออกได้หกถึงแปดเมตรเลยทีเดียวและเมื่อแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์ทั้งสี่สิบตนบินเข้ามาพร้อมๆกัน จึงทำให้เห็นว่าท้องฟ้าทั้งผืนถูกปกคลุมไปด้วยร่มยักษ์ จนแม้กระทั่งฝนสักเม็ดก็ตกลงมาไม่โดนตัวหลิงหยุน
แวมไพร์ที่มีใบหน้าซีดขาวทั้งสี่สิบตนได้บินลงมาด้วยความเร็วที่ไม่อาจประเมินได้และหากใครได้พบเห็นการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ก็คงต้องหวาดกลัวจนแทบอยากจะวิ่งหนีไปทันที
แต่หลิงหยุนนั้นไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อยเพราะหน้าที่หลักของเขาเวลานี้ก็คือการยิงกำแพงโค้งสีดำขนาดใหญ่นี้ให้ร่วงลงมาเท่านั้น
และแน่นอนว่าหลิงหยุนยิงไม่พลาดเป้าอย่างแน่นอน..
จากตำแหน่งของแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์มาถึงหน้าผาที่หลิงหยุนยืนอยู่นั้นห่างกันราวสี่สิบเมตรได้ และด้วยความเร็วของเหล่าแวมไพร์นั้น เพียงพริบตาเดียวก็บินไปถึงเป้าหมายแล้ว
แต่ในช่วงเวลาสั้นๆนั้นหลิงหยุนก็สามารน้าวสายธนูยิงออกไปได้ถึงสี่ครั้ง!
และแต่ละครั้งที่หลิงหยุนน้าวสายธนูยิงออกไปนั้นก็จะมีลูกธนูถูกยิงออกไปถึงครั้งละสามดอก รวมแล้วหลิงหยุนยิงลูกธนูออกไปถึงสิบสองดอกเลยทีเดียว
แต่แน่นอนว่าลูกธนูที่หลิงหยุนใช้นั้นเป็นเพียงแค่ลูกธนูธรรมดาๆ ไม่ใช่ลูกธนูหัวเงิน การต่อสู้เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น หลิงหยุนจึงไม่อยากรีบใช้ลูกธนูหัวเงินไปจนหมดเสียก่อน
ถึงแม้จะเป็นแค่ลูกธนูธรรมดาแต่หลิงหยุนก็ได้ถ่ายเทพลังหยินที่เย็นดั่งน้ำแข็งเข้าไปด้วย ลูกธนูที่ยิงออกไปจึงไม่เพียงแค่แหลมคม แต่ยังเย็นเฉียบอย่างน่าสะท้าน ความเย็นของพลังหยินที่หลิงหยุนถ่ายเทลงไปบนลูกธนูนั้น เรียกได้ว่าเมื่อถูกยิงออกไป ไอน้ำที่อยู่ในอากาศรอบๆลูกธนูถึงกับกลายเป็นลูกเห็บสีขาวในทันที
จึงแทบไม่ต้องพูดถึงพลังทำลายล้างที่น่าสยดสยองของมัน!
ลูกธนูทั้งสิบสองดอกนั้นเกือบทะลุเข้าดวงตาของแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์ทั้งสิบสองตนพลังหยินที่เย็นดั่งน้ำแข็งได้กระจายตัวไปทั่วศรีษะของพวกมัน และอุณหภูมิที่ต่ำถึงขนาดนั้นก็ได้ทำให้เลือดในตัวที่มีอยู่เพียงน้อยนิดของพวกมันแข็งตัวในทันที!
ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างใกล้และแวมไพร์ทั้งหมดที่พุ่งเข้ามาก็ได้อยู่ในรัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุน เขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้สายตาเล็งด้วยซ้ำ เพียงแค่จดจ่ออยู่กับการน้าวสายธนูและยิงมันออกไปเท่านั้น
และลูกธนูทั้งสิบสองดอกก็ได้สังหารแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์ได้ถึงสิบสองตน!
แต่หลิงหยุนก็มีได้โอกาสยิงธนูเพียงแค่สี่ครั้งเท่านั้นเพราะหลังจากนั้นแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์ที่เหลือต่างก็บินมาล้อมรอบหน้าผาที่หลิงหยุนยืนอยู่ แวมไพร์แต่ละตนต่างก็อ้าปากซีดเซียวของมันพร้อมกับแยกเขี้ยวยาวกว่าสิบเซนติเมตรออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน!
“เตรียมตัวตายให้หมด!”
หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาโดยไม่ถอยหลังหนีแม้แต่ก้าวเดียวมือซ้ายเปลี่ยนมาถือกระบี่โลหิตแดนใต้ และฟาดฟันเข้าใส่ร่างของเหล่าแวมไพร์ราวกับฟันใส่ต้นไม้ใบหญ้า!
ถูกล้อมไว้อย่างใกล้ชิดขนาดนี้ใหนเลยจะต้องใช้เพลงกระบี่อันใด หลิงหยุนเพียงแค่ควงกระบี่ในมือไปมาก็เรียบร้อยแล้ว
หลิงหยุนยังคงเดินวิชาลับหยิน-หยางอยู่ภายในร่างกายเพื่อถ่ายเทพลังหยินที่เย็นเฉียบเข้าไปในกระบี่โลหิตแดนใต้เขาใช้ขาขวายืนเป็นแกน จากนั้นจึงหมุนร่างของตนเองในขณะที่มือก็กวัดแกว่างกระบี่โลหิตแดนใต้ไปด้วย
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้แวมไพร์อีกหกตนก็ถูกหลิงหยุนฟันเข้า อีกทั้งพลังหยินเย็นเฉียบที่กระจายออกจากกระบี่ในมือของหลิงหยุน ก็ได้ทำให้ปีกของเหล่าแวมไพร์แข็ง และเคลื่อนไหวได้ช้าลงมาก ท่าทางของพวกมันจึงดูช่างตลกสิ้นดี
ลองจินตนาการดูว่า..ปกติเหล่าแวมไพร์นั้นจะใช้เวลากระพือปีกเพียงแค่หนึ่งวินาทีต่อครั้งเท่านั้น แต่นี่มันต้องใช้เวลาถึงห้าวินาทีกว่าจะขยับปีกได้แต่ละครั้ง ท่าทางของพวกมันจึงดูน่าขบขันยิ่งนัก!
เหล่าแวมไพร์ที่ต้องการเข้าใกล้หลิงหยุนนั้นผลลัพธ์ที่ได้จึงมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือ.. ความตาย!
หากหลิงหยุนไม่จำเป็นต้องห่วงเกาเฉินเฉินกับเหล่ากุ่ยซึ่งอยู่ด้านหลังว่าจะไม่สามารถทนความเย็นจากพลังหยินได้แล้วล่ะก็ด้วยความสามารถของหลิงหยุนเวลานี้ เขาสามารถทำให้เหล่าแวมไพร์ที่อยู่ไกลออกไปถึงสิบเมตรนั้นแข็งได้ในทันที!
ด้วยแรงหมุนตัวของหลิงหยุนและกระบี่ที่กวัดแกว่งอยู่ในมือนั้น ทำให้เหล่าแวมไพร์มีสภาพไม่ต่างจากเต้าหูชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ชัวะ..ชัวะ.. ชัวะ.. ชัวะ..!
สิ้นเสียงกระบี่ที่ฟันเข้ากับร่างของเหล่าแวมไพร์เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้นไม่หยุด เสียงร้องโหยหวนของเหล่าแวมไพร์นั้น หากมีผู้คนเดินผ่านมาได้ยินคงจะต้องรู้สึกหวาดหวั่นจนขนหัวลุกอย่างแน่นอน และภาพที่เกิดขึ้นเวลานี้ก็ไม่ต่างจากหนังสยองขวัญเลยแม้แต่น้อย
หลิงหยุนนั้นรู้ดีว่าหากต้องการสังหารแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์เหล่านี้ให้ตายสนิทก็จะต้องตัดศรีษะของพวกมันให้ขาดเท่านั้น หรือไม่ก็ต้องแทงเข้าที่ขั้วหัวใจของพวกมันเพียงอย่างเดียว กระบี่ในมือของหลิงหยุนจึงไม่พลาดเป้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว..
ผ่านไปไม่ถึงนาที..กระบี่โลหิตแดนใต้ในมือของหลิงหยุนที่กวัดแกว่างด้วยความรวดเร็วจนเห็นเป็นคล้ายกับม่านสีดำนั้น ก็ได้สังหารเหล่าแวมไพร์ที่เหลืออีกยี่สิบสองตนในคราวเดียว!
“ออกไป..”
หลิงหยุนยกขาขึ้นเตะร่างไร้วิญญาณของแวมไพร์ที่ขวางทางออกแล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าพร้อมกับยกปลายกระบี่สีดำชี้ไปกลางอากาศ เพื่อเป็นการบอกว่าเป้าหมายต่อไปของเขาก็คือแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสที่กำลังตกตะลึง!
สำหรับการต่อสู้ในยกแรกนั้น..เรียกได้ว่าหลิงหยุนสูญเสียเพียงแค่ต้นสนที่อยู่บนก้อนหินเท่านั้น ส่วนปีกของเหล่าแวมไพร์นั้นถูกฟันจนขาดกระเด็นกระจัดกระจาย..
หลิงหยุนเปลี่ยนมาถือกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้ในมือขวาและกระบี่มังกรขาวก็ปรากฏขึ้นในมือซ้ายของหลิงหยุนก่อนจะส่งต่อให้กับเพียร์ซ!
“เจ้าใช้กระบี่นี่เป็นหรือไม่”
เพียร์ซตื่นเต้นดีใจอย่างมากที่หลิงหยุนส่งอาวุธให้กับตนเองมันจึงรีบรับกระบี่ไปด้วยความตื่นเต้น และโบกไปมา
กระบี่มังกรขาวนั้นเป็นกระบี่อ่อนแต่เวลานี้มันกลับสะบัดไปมาไม่ต่างจากแส้ และท่าทางของเพียร์ซก็ถึงกับทำให้หลิงหยุนต้องหัวเราะออกมา เขารับกระบี่มังกรขาวคืนมาจากเพียร์ซพร้อมกับร้องบอกว่า
“ช่างเถิด..เอาเป็นว่าเจ้าทำหน้าที่คอยปกป้องปากถ้ำนี้ไว้ อย่าให้แวมไพร์ที่กลายร่างเป็นค้างคาวบินเข้าไปได้..”
หลิงหยุนเปลี่ยนใจไม่ให้เพียร์ซเข้าร่วมการต่อสู้กับตนเองแต่ให้มันคอยทำหน้าที่ระมัดระวังไม่ให้ใครเข้าไปในถ้ำได้ และเพียร์ซก็ได้กางปีกใหญ่ยักษ์ของมันกั้นไว้
กระบี่โลหิตแดนใต้นั้นไม่ต่างจากปีศาจนอกจากหลิงหยุนแล้ว เขาก็ไม่กล้าให้ใครสัมผัสมัน และต่อให้หลิงหยุนอยากให้เพียร์ซใช้กระบี่เล่มนี้ ก็ใช่ว่าเพียร์ซจะสามารถใช้ได้..
ในเวลาเดียวกันหลิงหยุนก็อดคิดไม่ได้ว่าหากเขาสอนวรยุทธให้กับแวมไพร์ทั้งสี่ตน การต่อสู้ในครั้งนี้คงจะน่าสนใจและสนุกไม่น้อยทีเดียว เพราะพวกมันนั้นมีทั้งความเร็วที่น่าอัศจรรย์ และยังมีเขี้ยวเล็บที่แหลมคมอีกด้วย
แต่วรยุทธต่างๆก็ล้วนแล้วแต่ต้องใช้กำลังภายในทั้งสิ้น หลิงหยุนจึงไม่มั่นใจว่าแวมไพร์พวกนี้จะสามารถฝึกบ่มเพาะได้หรือไม่
“หากมีแวมไพร์ขั้นเคานต์บินลงมาเจ้ารีบบอกข้าด้วย!” หลิงหยุนกำชับกับเพียร์ซ
เหล่าแวมไพร์นั้นล้วนมีรูปร่างที่คล้ายกับมนุษย์หลิงหยุนจึงไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่าใครอยู่ในขั้นเคานต์ และใครอยู่ในขั้นไวส์เคานต์
“โอ้ว..ชิท! ชิท!! นี่มันอะไรกัน ชายผู้นั้นทำได้อย่างไรกัน?!”
แวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์ทั้งสี่สิบตนที่บุกเข้าโจมตีหลิงหยุนพร้อมๆกันกลับถูกหลิงหยุนสังหารตายภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งนาที แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกอกตกใจ และแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง!
ใบหน้าของเฉินเจี้ยนกุ่ยเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวสุดขีดและได้แต่นึกในใจว่า หากเขามีดาบพายุอยู่ในมือประกอบกับขั้นกำลังภายในของมันเวลานี้ มันจะต้องสามารถเอาชนะหลิงหยุนได้อย่างแน่นอน
“ท่านมาร์ควิสที่เคารพ..ชายสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าผู้นี้เป็นอันตรายต่อแวมไพร์อย่างพวกเรามาก ท่านส่งแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์ไปนั้น ข้าคิดว่าคงยากที่จะจัดการกับมันได้..”
เฉินเจี้ยนกุ่ยพูดพร้อมกับเหลือบมองไปยังแวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งยี่สิบสามตนซึ่งอยู่ไกลออกไป
สีหน้าของแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสดูเจ็บปวดใจอย่างมากและได้สั่งให้แวมไพร์ขั้นเคาต์ทั้งหกตนพร้อมด้วยผู้ติดตามขั้นไวส์เคานต์อีกหกสิบตน แยกกันเป็นหกกลุ่มเข้าจู่โจมหลิงหยุนต่อทันที จากนั้นจึงร้องสั่งการว่า..
“พวกเจ้าไปจัดการทำลายโขดหินที่มันยืนอยู่!”
แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสเห็นหลิงหยุนเฝ้าปากถ้ำอยู่เช่นนั้นจึงรู้ดีว่าหากหลิงหยุนยังอยู่ที่นั่น ก็ยากที่ใครจะเข้าใกล้ถ้ำได้ แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสจึงสั่งการไปเช่นนั้น
แวมไพร์ขั้นเคานต์สามตนพร้อมด้วยผู้ติดตามอีกกลุ่มละสิบตนพุ่งเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนทันที โดยแยกกันโจมตีด้านซ้าย ด้านขวา และด้านบน ส่วนอีกสามกลุ่มโจมตีโขดหินที่หลิงหยุนยืนอยู่
นับว่าเป็นแผนการรบที่ยอดเยี่ยมมากเพราะโขดหินที่หลิงหยุนยืนอยู่นั้นลื่นราวกับผิวกระจก เมื่อถูกโจมตีเข้าทั้งสามด้านพร้อมๆกัน ทำให้เขาไม่สามารถจัดการพวกมันด้วยธนูได้
พื้นผิวหน้าผาซึ่งเป็นโขดหินที่หลิงหยุนยืนอยู่นั้นก็รูปครึ่งวงกลมและใต้หน้าผาก็คือหุบเขาลึกที่สามารถตกลงไปตายได้ และนี่คือเหตุผลที่เหล่าแวมไพร์กำลังทุบทำลายที่มั่นของเขา
ยิ่งไปกว่านั้นจากการต่อสู้ของเหล่าแวมไพร์ก่อนหน้านี้ ทำให้พวกมันเรียนรู้ที่จะไม่กรูเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมๆกันอีก แต่กลับบินโฉบเฉี่ยวสลับกันไปมาเพื่อเป็นการปกป้องแวมไพร์ขั้นเคานต์ซึ่งเปรียบเสมือนจ่าฝูงที่กำลังบินลงมา ทำให้หลิงหยุนล็อคเป้าได้ยากขึ้น
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้และได้แต่คิดในใจว่าแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสนี้ช่างเฉลียวฉลาดนัก!
ระหว่างที่หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่นั้นกระบี่ในมือก็กวัดแกว่งอย่างไร้เป้าหมาย จากนั้นจึงร้องสั่งให้เหล่ากุ่ยโยนยันต์เตโชให้กับเขาปึกหนึ่ง และเรียกมันเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่
หินก้อนนี้ไม่ใช่บ้านของหลิงหยุนหากเหล่าแวมไพร์อยากจะทำลายก็เชิญได้เลย.. แต่ต้องไม่ใช่เวลานี้!
และในที่สุด..ด้วยการบินเป็นโล่ป้องกันของแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์ทั้งสามสิบตน แวมไพร์ขั้นเคานต์จึงสามารถเข้าใกล้บริเวณที่หลิงหยุนยืนอยู่ได้ แต่ก็ต้องแลกด้วยชีวิตของแวมไพร์อีกยี่สิบตน
เวลานี้แวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งสามตนก็เหลือผู้ติดตามขั้นไวส์เคานต์อีกเพียงแค่สิบตนเท่านั้น และพวกมันต่างก็พุ่งเข้าล้อมร่างของหลิงหยุนไว้อีกครั้ง
ตูม!
พร้อมกันนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นและหน้าผาที่หลิงหยุนยืนอยู่ก็สั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว!
แวมไพร์ขั้นเคานต์ทั้งสามพร้อมด้วยผู้ติดตามก็ได้เริ่มลงมือทำลายหน้าผาซึ่งเป็นฐานที่มั่นของหลิงหยุน..