บทที่ 420 ผู้ปราบพยศหลินเป่ยเฉิน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 420 ผู้ปราบพยศหลินเป่ยเฉิน

“ฮ่าฮ่า เจ้าหนูขาว ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่าไงนะ เจ้าสามารถต่อยข้าตายได้ในหมัดเดียวใช่ไหม? เก่งจริงก็ลองเข้ามาพิสูจน์ดูสิ หุหุ บัดนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว…”

เซียวปิงระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ

ผลั่ก!

แล้วร่างของเด็กหนุ่มร่างอ้วนก็ปลิวกระเด็นออกไป

“จี๊ด!” อากวงเบ่งกล้ามที่ขาหน้าของมันอวดสายตาทุกคน หลังจากต่อยเซียวปิงลอยกระเด็นออกไปนอกรั้ว

หลังจากนั้น เจ้าหนูก็เขียนข้อความบนกระดานชนวนว่า

“นายท่านยอดเยี่ยมที่สุดในปฐพี”

“ข้าน้อยก็สามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้เช่นกันขอรับ”

“บัดนี้ ข้าน้อยมั่นใจว่าสามารถต่อยหวังจง 20 คนตายได้ในหมัดเดียว หรือต่อให้เป็นคุณชายเซียวปิง ก็ไม่มีปัญหาเช่นกันขอรับ”

“แน่ใจนะ?” หลินเป่ยเฉินตาโต ถามด้วยความไม่อยากเชื่อ

อากวงพยักหน้าตอบรับด้วยความตื่นเต้นและรีบเขียนข้อความเพิ่มเติมว่า…

“ข้าน้อยขอสาบานด้วยเผ่าพันธุ์หนูอสูรหางกุดแห่งหุบเขาชายแดนเหนือเลยขอรับ!”

แต่มันก็น่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ถึงแม้ว่าอากวงจะมีระดับพลังแตกต่างไปจากมนุษย์ ซึ่งทำให้หลินเป่ยเฉินไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามันมีพลังอยู่ในขั้นไหนกันแน่ แต่เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอากวงมีระดับพลังที่สูงส่งมากขึ้นจริงๆ มิใช่เป็นคำคุยโวแต่อย่างใด

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

แค่ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาก็จะสามารถเลื่อนระดับพลังได้เช่นกัน

ภารกิจออกกำลังกายแบบกลุ่มมีกำหนดให้ใช้เวลาทั้งหมดวันละ 1 ชั่วยาม

ทุกคนพอใจมากกับผลลัพธ์ที่ออกมา

แม้แต่ไป๋ชินหยุนที่ไม่ค่อยอยากจะมาออกกำลังกายด้วยสักเท่าไหร่ ก็ยังรู้สึกประทับใจเช่นกัน

“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาฝึกกันใหม่” หลินเป่ยเฉินสั่งงานให้เสี่ยวจี้ปิดแอปพลิเคชัน NetEase Cloud Music และยุติการฝึกซ้อมประจำวัน

“อ้าว? ทำไมไม่ฝึกต่อล่ะ”

“นั่นสิ พวกเรายังไหวนะ”

“ฝึกเพียงชั่วยามเดียวระดับพลังยังเลื่อนขึ้นมาถึงขนาดนี้ ถ้าให้ฝึกต่ออีกสัก 10 ปีโดยที่ไม่ต้องหยุด ข้าก็ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย”

“ถูกต้อง บทเพลงที่เจ้าเปิดก็ไพเราะดีมาก ข้าอยากจะฟังต่อแล้วล่ะ”

เมื่อหลินเป่ยเฉินแจ้งทุกคนว่าการฝึกฝนจะยุติลงเพียงเท่านี้ อาจารย์หลายท่านก็ออกอาการไม่เห็นด้วยขึ้นมาทันที

แต่แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินไม่มีทางตามใจเหล่าอาจารย์เด็ดขาด

เพราะภารกิจประจำวันของเขาสำเร็จลุล่วงเรียบร้อยแล้ว

หากออกกำลังกายนอกเหนือกำหนดเวลา มันก็จะไม่ช่วยเพิ่มพลังแต่อย่างใด

แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้บอกความจริงทุกคน

“เอ่อ… คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ขอรับ”

หลินเป่ยเฉินพยายามนึกหาข้ออ้างที่ฟังดูเข้าท่ามากที่สุด “การฝึกฝนตามวิถีของเทพีกระบี่ จำเป็นต้องอาศัยความเหมาะสมตามกำหนดเวลา สถานที่และสภาพอากาศ ถ้ายังฝืนที่จะฝึกฝนต่อไป ร่างกายของคนเราจะรับไม่ไหวขอรับ ผลลัพธ์ที่ออกมาจะได้ไม่คุ้มเสียเปล่าๆ ข้าน้อยหวังว่าอาจารย์ทุกท่านคงเข้าใจ…”

“ก็ฟังมีเหตุผลอยู่นะ”

ติงซานฉือเป็นคนแรกที่กล่าวสนับสนุน “ต่อให้มันเป็นเคล็ดวิชาฟ้าประทาน แต่พวกเราก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ร่างกายไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเทพเจ้า แค่สามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้ก็ดีขนาดไหนแล้ว พวกเรากลับไปพักผ่อนให้ร่างกายปรับตัวให้ได้เสียก่อนเถิด เมื่อรากฐานมั่นคงแล้ว พรุ่งนี้ก็ค่อยมาฝึกกันต่อ”

เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้น พวกเขาก็พร้อมใจกันพยักหน้าเห็นด้วย

ติงซานฉือสามารถโน้มน้าวใจผู้อื่นได้ดีที่สุดเสมอ

ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปที่พักของตนเอง

แล้วก็ได้เวลาเข้าเรียนพอดี

ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใดที่หลินเป่ยเฉินเมื่อเข้ามาอยู่ในห้องเรียนแล้ว เขาจะฟุบหลับอยู่ตลอดเวลา

อาจารย์ประจำชั้นที่ถูกส่งตัวมาสอนคนใหม่ เป็นอาจารย์ฝึกหัดจากสถาบันกระบี่หลวงประจำมณฑลเฟิงอวี่ เขาเป็นชายหนุ่มที่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้หลายร้อยคน ในการแย่งชิงตำแหน่งอาจารย์คนใหม่ของสถานศึกษากระบี่ที่สามแห่งนี้

ชายหนุ่มยืนประจำการอยู่ที่หน้าห้องเรียน สีหน้าและแววตามุ่งมั่น เต็มเปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบ

วันนี้คือการสอนครั้งแรกของเขา

ชายหนุ่มตั้งใจที่จะพูดอย่างกระตือรือร้น และทำตัวเป็นอาจารย์ที่ลูกศิษย์ให้ความเคารพยกย่อง

แต่เมื่อกวาดตามองกลุ่มลูกศิษย์ที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด อาจารย์หนุ่มก็สะดุดตาเข้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังฟุบหลับอยู่คาโต๊ะเรียน

เด็กคนนี้ตั้งใจฉีกหน้าเขาอย่างนั้นหรือ?

อาจารย์หนุ่มเดินไปที่โต๊ะตัวนั้น ตบโต๊ะเสียงดังปัง คำรามด้วยความไม่พอใจ “เจ้าเด็กขี้เกียจ ใช่ อาจารย์หมายถึงเจ้านั่นแหละ กล้าดีอย่างไรมาหลับในห้องเรียน? ลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้ และบอกอาจารย์มาว่าเจ้าชื่ออะไร?”

สงสัยต้องเชือดไก่ให้ลิงดูสักหน่อยแล้ว

หลินเป่ยเฉินที่กำลังนอนหลับฝันหวานพลันต้องสะดุ้งตื่นด้วยมีใครไม่รู้มาตบโต๊ะของเขา

“หืม? เจ้าทำอะไรของเจ้าเนี่ย?”

หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มแปลกหน้าด้วยความไม่พอใจ

“ยัง ยังไม่ลุกขึ้นยืนอีก บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าชื่ออะไร? เหตุไฉนถึงมานอนหลับอยู่ในห้องเรียน? วันนี้ถ้าข้าลงโทษเจ้าไม่ได้ ข้าจะไม่ขอเป็นอาจารย์ที่นี่อีกต่อไป…”

อาจารย์หนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล

“เอ่อ…”

หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย

วันนี้จะมีอาจารย์คนใหม่มาเริ่มสอนเป็นวันแรกใช่ไหมนะ?

“อาจารย์ไม่รู้จักข้าน้อยหรือขอรับ?”

หลังจากหายงัวเงียแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ถามออกไปด้วยความพิศวง

“คนเป็นอาจารย์ จำเป็นต้องรู้จักลูกศิษย์หมดทุกคนเลยหรือ?”

อาจารย์หนุ่มถามย้อนกลับมา

หลินเป่ยเฉินไม่มีทางเลือก นอกจากตอบว่า “ขออภัยอาจารย์ด้วยขอรับ ข้าน้อยขอรับปากว่าจะไม่แอบหลับในห้องเรียนอีกแล้ว ข้าน้อยจะพยายามตั้งใจเรียนให้มากขึ้น ข้าน้อยขอสาบานด้วยนามของข้าน้อย หลินเป่ยเฉิน…”

“หุบปาก คำสาบานจะมีประโยชน์อันใด…”

อาจารย์หนุ่มตวาด ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าชื่อของเด็กหนุ่มฟังดูคุ้นหูชอบกล

เมื่อนึกออก ผู้เป็นอาจารย์คนใหม่ก็ต้องอ้าปากค้างแล้ว

ดวงตาจ้องมองใบหน้าของหลินเป่ยเฉินด้วยความตกตะลึง

ที่แท้ก็เป็นหลินเป่ยเฉินนี่เอง

ทำไมหัวหน้าคณะอาจารย์ประจำชั้นปี ถึงไม่บอกเขาล่วงหน้าเลยว่าในห้องนี้มีหลินเป่ยเฉินเรียนอยู่ด้วย

ภายใต้การเฝ้ามองของเด็กหนุ่มเด็กสาวในห้องจำนวนมาก ทุกคนเห็นกับตาว่าอาจารย์หนุ่มเปลี่ยนแปลงกิริยาท่าทางอย่างรวดเร็ว เขาเอื้อมมือไปตบไหล่หลินเป่ยเฉินและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ดูเจ้าสิ มานอนหลับในห้องเรียนอย่างนี้ ผ้าห่มก็ไม่มี เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ อาจารย์รู้สึกหนาวๆ ชอบกล เจ้ารู้สึกหนาวบ้างหรือเปล่า หลินเป่ยเฉิน ถ้าเจ้าอยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน บอกอาจารย์ได้ทันทีเลยนะ อาจารย์จะอนุญาตให้เจ้าได้ลาหยุด…”

“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ”

หลินเป่ยเฉินตอบรับพร้อมกับหัวเราะในลำคอ

เขานึกว่าตนเองเป็นคนหน้าด้านมากพอสมควรแล้วนะ

คิดไม่ถึงเลยว่าอาจารย์คนใหม่จะเป็นคนสายพันธุ์เดียวกันไปเสียได้

แต่หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้นอนหลับในห้องเรียนอีก

เมื่อคาบเรียนสิ้นสุดลง อาจารย์หนุ่มก็เดินออกมาข้างหน้าและแนะนำตัวกับหลินเป่ยเฉินว่า “อาจารย์มีนามว่าเถียนเถียน เป็นคนหยุนเมิ่งโดยกำเนิด อาจารย์ชื่นชอบเจ้ามาก ช่วยเขียนชื่อของเจ้าใส่กระดาษ เป็นของที่ระลึกให้อาจารย์หน่อยได้ไหม?”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

การออกกำลังกายที่หน้าตำหนักไม้ไผ่ดำเนินมาได้ 3 วันติดกันแล้ว

เฉียนเหมย เฉียนเจินและฮันปู้ฮวย ทั้ง 3 คนสามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้อีกครั้ง และเป็นผู้ที่ได้รับอานิสงส์จากการฝึกพิเศษมากที่สุด

ในทางกลับกัน ติงซานฉือ ฉู่เหิน พานเว่ยหมินและหลิวฉีไห่มีร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นก็จริง แต่ก็ยังไม่สามารถเลื่อนระดับพลังต่อจากเดิมได้สำเร็จ

ทว่า นั่นก็เป็นสิ่งที่หลินเป่ยเฉินคาดเดาเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

การเลื่อนระดับพลังครั้งแรกง่ายดายเสมอ

แต่การเลื่อนระดับหลังจากนั้นต่างหาก ที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม

โชคดีที่ทุกคนยังมีความมั่นใจเปี่ยมล้น

เพราะถึงแม้ว่าจะยังเลื่อนระดับพลังไม่สำเร็จ แต่ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งมากขึ้น พลังลมปราณที่ไหลเวียนได้อย่างสะดวกมากขึ้น ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นเช่นกัน

และเมื่อมาถึงวันที่ 4 หลิวฉีไห่ก็สามารถเลื่อนระดับพลังได้อีกครั้ง

มันเป็นวันเดียวกับที่มีข่าวว่าบรรดาผู้เข้าแข่งขันจตุรมิตรสามัคคีได้เดินทางมาถึงเมืองหยุนเมิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพวกเขาเหล่านั้นก็พักอยู่ในโรงเตี๊ยมที่ไม่ห่างจากสถานศึกษากระบี่ที่สามสักเท่าไหร่

“หลินเป่ยเฉิน นี่คือจดหมายจากกระทรวงศึกษา เชิญตัวเจ้าไปร่วมประชุมในตอนเย็น”

อาจารย์หนุ่มเถียนเถียนเดินเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน

เนื่องจากครั้งแรกที่เจอหน้ากัน เถียนเถียนสามารถกำราบจนหลินเป่ยเฉินไม่กล้านอนหลับในห้องเรียนอีกเลย ด้วยเหตุนี้ อาจารย์หนุ่มจึงกลายเป็นคนดังในกลุ่มลูกศิษย์ของสถานศึกษากระบี่ที่สาม และได้รับเกียรติให้มีฉายาว่าเป็นผู้ปราบพยศหลินเป่ยเฉินนับจากนั้นเป็นต้นมา

“ข้าน้อยไม่มีเวลาหรอกขอรับ ไม่ไปดีกว่า”

หลินเป่ยเฉินปฏิเสธโดยตรง

ในระยะหลัง นอกจากเดินทางไปศึกษาวิชาเทพเจ้าที่วิหารเทพกระบี่แล้ว หลินเป่ยเฉินก็ไม่เคยย่างกรายออกจากสถานศึกษาไปไหนเลยสักครั้ง

เพราะเขาเกรงว่าตนเองอาจจะถูกแก้แค้นจากอ๋องผู้ปกครองแคว้นไห่อันและข้าหลวงใหญ่ที่ปกครองแคว้นซินจินก็เป็นได้