ตอนที่ 421 มีดีพอที่จะมาแข่งขันแล้วหรือยัง
“เอ่อ… ไม่ไปคงไม่ได้กระมัง?”
บนหน้าผากของเถียนเถียนพลันมีเม็ดเหงื่อผุดพราว “อย่าลืมสิว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ประจำเมืองหยุนเมิ่งเลยนะ”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
ความนิยมอันดับหนึ่งอะไรกัน?
พูดเหมือนเขาเป็นนางคณิกาในหอนางโลมไปได้
“อาจารย์เถียน อาจารย์เข้าใจผิดแล้วนะขอรับ ที่พวกเขามายังเมืองหยุนเมิ่งของพวกเรา ก็เพราะอยากจะมาเหยียบย่ำพวกเราให้ราบคาบ อาจารย์ไม่ต้องเอาอกเอาใจพวกเขามากนักก็ได้ ต่อให้พวกเขาส่งเทียบเชิญมาให้พวกเราไปรับประทานอาหารด้วยก็จริง แต่สุดท้าย พวกเขาก็ยังดูถูกพวกเราอยู่ดีนั่นแหละ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น
เถียนเถียนถึงกับพูดอะไรไม่ออก
แม้มันเป็นสิ่งที่ฟังดูไม่เข้าท่า แต่ในขณะเดียวกันนั้น ก็เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน
“งั้นอาจารย์จะส่งจดหมายปฏิเสธกลับไปที่กระทรวงศึกษาแล้วกัน”
เถียนเถียนพูดเมื่อสลัดความมึนงงออกไปได้สำเร็จ
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหาเซียวปิง
เด็กหนุ่มร่างอ้วนถึงกับสะดุ้งโหยง “ท่านพี่ขอรับ ข้าน้อยจำได้ว่ามีเรื่องบางอย่างต้องไปจัดการ เรื่องการฝึกวิชากระบี่เร้นกายกับท่าน ให้อากวงมาเป็นคู่ซ้อมดีกว่า…”
แต่สุดท้าย เซียวปิงก็ถูกลากไปที่สนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่อยู่ดี
“แม่จ๋า… ช่วยด้วย!”
เสียงกรีดร้องของเซียวปิงดังกังวานทั่วตำหนักไม้ไผ่ทันที
หลังจากนั้นก็เป็นเสียงของผู้คนถูกทุบตี
…
กาลเวลาผ่านไป
การออกกำลังกายวันที่ 4 จบลง
ติงซานฉือเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังเลื่อนระดับพลังไม่สำเร็จนับจากวันแรก
แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ภารกิจในแอปพลิเคชัน Keep ของหลินเป่ยเฉินสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่รู้สึกร้อนใจสักเท่าไหร่
เพราะอย่างไร ติงซานฉือก็มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 6 ไม่ง่ายที่จะเลื่อนระดับพลังได้เหมือนผู้คนที่อยู่ในขั้นต่ำกว่า และนั่นหมายความว่าอาจารย์ของเขาต้องใช้ความอดทนและเวลามากกว่านี้
และวันนี้ จะเป็นกำหนดการที่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคีจากแคว้นต่างๆ ต้องมารวมตัวเพื่อเริ่มการแข่งขันแล้ว
กฎกติกาการแข่งขันเป็นไปอย่างเรียบง่าย
ผลลัพธ์ทุกอย่างจะถูกตัดสินบนเวทีประลอง
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันเหล่านี้ต่างก็เป็นมือกระบี่ดาวรุ่งที่มาจาก 68 เมืองทั่วมณฑลเฟิงอวี่ มีทั้งเมืองเล็กและเมืองใหญ่ แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่ได้รับการยกย่องทั่วสารทิศ และบัดนี้ พวกเขาก็มารวมตัวกันอยู่ที่สถานศึกษากระบี่ที่สามเรียบร้อยแล้ว
การแข่งขันเหล่านี้ถูกจัดขึ้นมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี มันเป็นการแข่งขันที่ตัดสินผลแพ้ชนะ ไม่มีการต่อสู้ครั้งไหนจบลงด้วยผลเสมอ
บรรดามือกระบี่ดาวรุ่งทั้งหลาย มีใครบ้างที่ไม่อยากพิสูจน์ว่าตนเองเป็นยอดฝีมือรุ่นใหม่อันดับ 1 ประจำมณฑล?
แน่นอนว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้น มักดำเนินไปด้วยความดุเดือด
การแข่งขันครั้งนี้ถูกกล่าวถึงไปทั่วเมืองหยุนเมิ่ง
เมื่อเทียบกับการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองครั้งที่แล้ว การแข่งขันจตุรมิตรสามัคคีในครั้งนี้ ยังนับว่าได้รับความสนใจมากกว่ากันอยู่หลายส่วน
เพราะนี่เป็นการแข่งขันระดับมณฑล
ประชาชนได้รับอนุญาตให้เข้าดูการแข่งขันและมีการถ่ายทอดสดให้รับชมถึงที่บ้าน
การถ่ายทอดสดจะถูกควบคุมด้วยกระทรวงศึกษาประจำมณฑล ซึ่งร่วมมือกับกระทรวงศึกษาสาขาย่อยประจำ 4 แคว้นใหญ่ นับตั้งแต่รุ่งเช้าเป็นต้นมา เจ้าหน้าที่จำนวนมากได้ติดตั้งกระจกถ่ายทอดสดไว้รอบเวทีประลอง 360 องศา เพื่อเป็นการรับประกันว่าพวกเขาจะสามารถมองเห็นการต่อสู้ได้ทุกซอกทุกมุม และการถ่ายทอดสดในครั้งนี้ก็จะเผยแพร่สัญญาณไปทั่วมณฑลเลยทีเดียว
ผู้รับชมการถ่ายทอดสดทางหน้าจอจะได้รับความรู้สึกเสมือนจริง ราวกับว่าตนเองได้มารับชมการแข่งขันอยู่ที่เวทีประลอง
พวกเขาจะได้รับรู้รสชาติความตื่นเต้นไม่ต่างไปจากกลุ่มคนดูที่ซื้อตั๋วเข้ามา
ถึงแม้จะมีการถ่ายทอดสด แต่ตั๋วเข้าชมการแข่งขันก็ขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว
ขณะนี้ มีร้านค้าแผงลอยจำนวนมากตั้งอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกสถานศึกษากระบี่ที่สาม
หอการค้าชื่อดังหลายแห่งถึงกับยอมจ่ายค่าเช่าที่ราคาแพง เพื่อนำสินค้าของตนเองมาวางจำหน่าย แต่หอการค้าสามพันโยชน์ซึ่งเป็นหอการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหยุนเเมิ่ง ก็ได้ครอบครองทำเลขายของที่ดีที่สุดไปโดยไร้คู่แข่งขันเช่นเคย
ดวงตะวันเพิ่งจะโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าเท่านั้น ก็มีคนมารวมตัวกันอยู่ที่สถานศึกษากระบี่ที่สามมากมายแล้ว
เมื่อกวาดสายตามองไปรอบบริเวณ สิ่งที่พบเห็นก็คือผู้คนจำนวนมาก จนไม่ทราบอีกแล้วว่าใครเป็นใครกันแน่
หัวหน้าคณะอาจารย์ทั้ง 3 ท่านพยายามปรับปรุงสภาพของสถานศึกษาให้ออกมาดูหรูหรามากที่สุด
แต่น่าเศร้าที่พวกเขามีเวลาน้อยเกินไป สถานศึกษากระบี่ที่สามตกอยู่ในสภาพทรุดโทรมมานานแล้ว ไม่ว่าจะพยายามปรับปรุงสักเท่าไหร่ ก็ยังห่างไกลจากความน่าประทับใจของสถานศึกษากระบี่ที่หนึ่งหรือสถานศึกษากระบี่หลวงอยู่หลายช่วงตัว
ขณะนี้เป็นเวลาเช้า
ล่วงเข้าสู่เวลา 9:00 น. ตามเวลาโลกมนุษย์
แสงแดดสดใส อากาศสดชื่น ค่าดัชนีฝุ่น PM 2.5 ในอากาศเป็นศูนย์
ฉุยเฮาเฟิง ผู้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ปรากฏกายขึ้นบนเวที เพื่อทำพิธีเปิดการแข่งขันด้วยลักษณะที่ภูมิฐาน หล่อเหลาและมีอำนาจน่าเกรงขาม
นี่คือการปรากฏตัวครั้งแรกของเขาต่อหน้าสาธารณชน
ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ฉุยเฮาเฟิงก็สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ชาวเมืองหยุนเมิ่งได้สำเร็จ เขาสามารถมาแทนที่ท่านเจ้าเมืองคนเก่าอย่างหลิงจุนเซวียนได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง ซึ่งนี่ก็พอจะแสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของฉุยเฮาเฟิงได้พอสมควรแล้ว
คำพูดในพิธีเปิดการแข่งขันของฉุยเฮาเฟิงสามารถเรียกเสียงปรบมือได้อื้ออึง
ฉุยหมิงโหลวนั่งรวมอยู่ในกลุ่มคนดู แววตาที่เขาจ้องมองบิดาบนเวที เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“นี่แหละบิดาของข้า”
ฉุยหมิงโหลวสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เกิด และมีเพียงบิดาเท่านั้นที่เลี้ยงดูเขามาด้วยตัวเพียงคนเดียว
สำหรับกับเขาแล้ว บิดาเป็นเสมือนภูเขาสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านท้าทายลมฝนได้อย่างไม่หวั่นเกรง
บิดาเป็นเหมือนแสงสว่างนำทางชีวิตฉุยหมิงโหลว
ในที่สุดแล้ว ทุกๆ การตัดสินใจของบิดาจะถูกต้องเสมอ
อย่างเช่นครั้งนี้ บิดาสั่งให้เขามาตีสนิทหลินเป่ยเฉิน
เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ผลลัพธ์ก็ออกมาให้เห็นชัดแจ้งแก่ใจ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าระดับพลังของเขาเลื่อนขึ้นมาสูงส่งมากกว่าเดิม แต่ลำพังเพียงเสน่ห์ที่แปลกประหลาดของหลินเป่ยเฉิน ก็ควรค่ามากพอที่จะทำให้ฉุยหมิงโหลวยินดีคบหาเขาเป็นเพื่อนสนิทแล้ว
ฉุยหมิงโหลวอยากจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ให้ได้เร็วๆ เพราะเขาอยากจะช่วยงานบิดาให้ได้มากกว่าที่เป็นอยู่
“ก็ได้แต่หวังว่าการตัดสินใจของบิดาในครั้งนี้ จะถูกต้องเหมือนทุกครั้ง”
ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจ
เขาพยายามมองรอบตัวเพื่อหาหลินเป่ยเฉิน แต่ก็ไม่ทราบเลยว่าเด็กหนุ่มหายไปไหน?
ในระหว่างที่ฉุยหมิงโหลวกำลังมองหาหลินเป่ยเฉินอยู่นั้น เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ก็ทยอยผลัดกันขึ้นไปพูดบนเวที
นับเป็นธรรมเนียมที่น่าเบื่อหน่าย
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มผู้มีนามว่าเฉินเจี๋ยเซิงก็รับหน้าที่เป็นตัวแทนผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด เดินขึ้นไปกล่าวความในใจบนเวที
“หืม? ทำไมถึงไม่ใช่เจียงจี้หลิว แล้วก็ไม่ใช่หลินเป่ยเฉินด้วย? แปลกแฮะ หลินเป่ยเฉินทำอะไรอยู่นะ…”
ฉุยหมิงโหลวหันหน้ากลับมาพยายามกวาดสายตามองหาหลินเป่ยเฉินในกลุ่มคนอีกครั้ง
แล้วเขาก็ได้เห็นว่า ณ มุมหนึ่งของสนามหญ้าที่ห่างไกลออกไป หลินเป่ยเฉินกำลังยืนโต้เถียงอะไรบางอย่างกับกลุ่มพ่อค้า โดยที่หัวหน้ากลุ่มพ่อค้าก็คือเจาโจวหยาน ผู้เป็นประมุขหอการค้าสามพันโยชน์สาขาเมืองหยุนเมิ่ง นอกจากนั้นก็มีพ่อค้าชื่อดังในตัวเมืองอีกหลายท่าน
แต่ในที่สุดแล้ว การโต้เถียงก็จบลงด้วยชัยชนะของหลินเป่ยเฉิน กลุ่มพ่อค้าต้องควักกล่องเล็กๆ ยื่นส่งให้เด็กหนุ่ม เมื่อฝ่ายหลังเปิดกล่องออกดู ประกายสีทองก็สาดแสงออกมาจากด้านในกล่อง หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม ยกมือตบหน้าอกเป็นทำนองรับประกันอะไรบางอย่าง…
หลินเป่ยเฉินกำลังวางแผนทำอะไรอยู่กันแน่?
ฉุยหมิงโหลวได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง…
“นับเวลาต่อจากนี้ไป ข้าพเจ้าขอประกาศว่าการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคี ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ บัดนี้”
เสียงของท่านเจ้าเมืองฉุยดังกังวานไปทั่วสถานศึกษากระบี่ที่ 3
ชาวเมืองส่งเสียงโห่ร้องตอบรับด้วยความคึกคัก
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนเดินขึ้นไปอยู่บนเวทีพร้อมหน้าพร้อมตา
พวกเขาต่างก็เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีสง่าราศีแตกต่างไปจากคนธรรมดา
เถียนเถียนลากหลินเป่ยเฉินเดินขึ้นไปบนเวทีเป็นคนสุดท้าย กว่าที่เขาจะปรากฏตัวขึ้นมาได้ ผู้เข้าแข่งขันอีก 67 คนก็ยืนเรียงแถวกันเรียบร้อยแล้ว
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจก็ดังกังวานราวกับเสียงของคลื่นสึนามิซัดกระหน่ำใส่ภูเขาใหญ่
แน่นอนว่าชาวเมืองหยุนเมิ่งต้องเอาใจช่วยตัวแทนของพวกเขามากที่สุดอยู่แล้ว
ในการแข่งขันครั้งนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ไม่มีผู้เข้าแข่งขันคนไหนที่จะมาเทียบเคียงเขาได้อีก
ชาวเมืองเกือบ 10,000 คนพร้อมใจกันตะโกนชื่อของหลินเป่ยเฉินออกมา ทำเอาผู้เข้าแข่งขันบางส่วนหน้าถอดสีโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าอดีตคนเสเพลที่กลับกลายเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ จะได้รับความนิยมมากมายถึงขนาดนี้
แต่ก็เป็นเรื่องแน่นอนอีกเช่นกันว่า ผู้เข้าแข่งขันบางส่วนได้แสยะยิ้มด้วยความเหยียดหยาม
เมืองหยุนเมิ่งเป็นแค่เมืองบ้านนอกติดชายทะเล ได้ข่าวว่าหลินเป่ยเฉินมีพลังเพียงขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 เท่านั้น และการแข่งขันในครั้งนี้ ก็จะทำให้หลินเป่ยเฉินได้ตระหนักรู้ถึงความเป็นจริงว่าตนเองยังต่ำต้อยมากเพียงใด
“เจ้าคนอวดดี ยังไม่ทันเริ่มการแข่งขัน เจ้าก็ชิงเรียกร้องความสนใจแล้วสินะ”
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งมีผมสีแดงเพลิงยาวสลวย ถลึงตาจ้องมองหลินเป่ยเฉิน พูดพร้อมกับหัวเราะเยาะว่า “โชคดีแค่ไหนแล้วที่กระทรวงศึกษาไม่คัดเจ้าออกจากการแข่งขันครั้งนี้ หุหุ… รู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้ายังห่างชั้นกับพวกเราอยู่อีกมากแค่ไหน?”
“ใช่ๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด”
“อย่างเจ้าเนี่ยนะจะมาแข่งขันกับพวกเรา?”
“เอาแค่เรื่องราวของตัวเจ้าเพียงคนเดียว ข้าก็ไม่รู้แล้วว่าเจ้าไปเสนอหน้าอยู่ในกลุ่มผู้ที่ถูกเลือกได้อย่างไร…”
“ขนาดท่านพี่เจียงจี้หลิวยังอดให้ความสนใจเจ้าไม่ได้ นับว่าหลินเป่ยเฉินไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แต่เจ้าคิดหรือว่าตนเองดีพอที่จะมาแข่งขันกับพวกเราแล้ว?”
เด็กหนุ่มและเด็กสาวผู้เข้าร่วมการแข่งขันหลายคนเริ่มเปิดฉากสงครามน้ำลายกับหลินเป่ยเฉินอย่างไม่รอช้า
ถึงแม้ว่าการถ่ายทอดสดจะมีค่ายอาคมคอยควบคุม ทำให้คนดูที่รับชมอยู่ทางบ้านจะไม่ได้ยินว่าผู้เข้าแข่งขันบนเวทีพูดอะไรกันบ้าง แต่สำหรับชาวเมืองที่รับชมการแข่งขันในสถานศึกษากระบี่ที่สาม พวกเขาต่างได้ยินอย่างชัดเจนเต็มสองหู
บรรยากาศร้อนระอุขึ้นมาทันที
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินได้แต่พยักหน้าหงึกหงักอยู่อย่างนั้น พูดพร้อมกับยิงฟันยิ้มปราศจากโทสะ “ใช่ ข้านี่แหละดีพอที่จะแข่งขันกับพวกเจ้า ว่าแต่พวกเจ้าเถิด มีดีพอที่จะมาสู้กับข้าแล้วหรือยัง?”