ตอนที่ 422 ขอให้เจ้าเก่งได้เท่าฝีปากก็แล้วกัน
เมื่อกลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่เป็นฝ่ายเปิดฉากการถากถางหลินเป่ยเฉินได้ยินคำตอบรับของเขา ทุกคนก็ได้แต่หัวเราะในลำคอด้วยความเหยียดหยาม
หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นเจ้าบ้าน แต่งานเลี้ยงรวมตัวผู้เข้าแข่งขันเมื่อคืน เขากลับไม่ไปเข้าร่วมเสียอย่างนั้น
เขาคิดว่าตนเองสูงส่งมาจากไหนกัน
จึงไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใดที่ตัวจริงของหลินเป่ยเฉินจะมีความยโสโอหังถึงเพียงนี้
ถ้าเป็นคนที่ฉลาดสักหน่อย ก็อาจใช้คำแก้ตัวว่า ‘มีเหตุด่วน’ หรือ ‘ติดธุระสำคัญ’ ทำให้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงไม่ได้
แต่คำตอบของหลินเป่ยเฉินนั้น…
บอกแค่ว่าเขาไม่มีเวลา
และเมื่อได้ยินถ้อยคำตอกกลับมาจากหลินเป่ยเฉิน แม้แต่เด็กหนุ่มที่เป็นตัวแทนผู้เข้าแข่งขันออกมาพูดความในใจบนเวทีเมื่อสักครู่นี้ ก็ยังถึงกับชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจออกมาแล้ว ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยมีความแค้นกับหลินเป่ยเฉินมาก่อนด้วยซ้ำ
หลินเป่ยเฉินพูดจาสามหาว
หลงตัวเองมากเกินไป
สมควรที่จะถูกสั่งสอนจริงๆ
“เมื่อถึงเวลาประลอง ขอให้เจ้าเก่งได้เท่าฝีปากก็แล้วกัน”
เด็กหนุ่มผมแดงหัวเราะเยาะ
“เดี๋ยวเจ้าจะได้รู้ว่าความน่ากลัวที่แท้จริงเป็นเช่นไร”
เด็กสาวผู้มีผมสีเหลืองทองกล่าว
แววตาของกลุ่มผู้เข้าแข่งขันจ้องมองมายังหลินเป่ยเฉินด้วยความเย็นชา
หลินเป่ยเฉินยักไหล่อย่างไม่แยแส
เขาไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อมาหาเพื่อนใหม่อยู่แล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีเงินรางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นเดิมพัน เขาก็คงไม่สนใจมาเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้หรอก
“พวกเจ้าคนไหนคือเจียงจี้หลิว?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาเสียงดัง
น้ำเสียงของเขายังคงแข็งกระด้าง
“เป็นข้าเอง”
เด็กหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีแดงคนหนึ่งค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างเชื่องช้า
เขามีส่วนสูงเท่ากับหลินเป่ยเฉิน ร่างกายผอมบาง ขายาว แขนยาว ผมสีดำตัดสั้นชี้แหลมเหมือนมีเข็มเล็กๆ นับพันเล่มงอกขึ้นมาจากบนหนังศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลาเอาการ ดวงตาล้ำลึกเหมือนท้องฟ้ายามราตรีที่มีดวงดาวพร่างพราย คิ้วของเขาเรียวยาวเหมือนคมกระบี่ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเชิด ตรงตามลักษณะหนุ่มรูปงามทุกประการ
โดยเฉพาะรอยยิ้มบนริมฝีปากนั้น ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนแสงแดดยามเช้า เวลาจ้องมองก็ชวนให้รู้สึกหลงใหลขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ให้ตายสิ?
ทำไมแม่งหล่อแบบนี้วะ?
อีกนิดเดียวก็จะหล่อเท่าเขาแล้วนะเนี่ย
หลินเป่ยเฉินอดตกตะลึงไม่ได้
สมแล้วที่มีสถานะเป็นถึง 1 ใน 4 องครักษ์ประจำตัวเว่ยหมิงเฉิน
หลินเป่ยเฉินนึกถึงข้อมูลส่วนตัวของอีกฝ่ายที่นักพรตหญิงชินให้เขามาเมื่อวันก่อน
หรือว่าหมอนี่มันจะทะลุมิติมาจากโลกมนุษย์เหมือนเขาจริงๆ?
หลินเป่ยเฉินสงสัยอยู่ในใจ
สุดท้ายก็อดถามออกไปไม่ได้ว่า “ใบหน้าของเจ้าในขณะนี้ เป็นใบหน้าจริงหรือไม่?”
เจียงจี้หลิวยิ้มมุมปาก ตอบว่า “ฉายากระบี่พันหน้าเป็นอดีตไปแล้ว ใบหน้าที่เจ้ากำลังได้เห็นอยู่นี้ คือใบหน้าที่แท้จริงของข้า…หลินเป่ยเฉิน ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานาน เมื่อได้มาพบตัวจริงของเจ้าในวันนี้ นับว่าเจ้ามีความเก่งกล้าสามารถสมคำเล่าลือจริงๆ”
“เหตุใดต้องพูดจาประจบประแจงด้วย?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าตั้งใจจะประกาศตนเป็นศัตรูกับเจ้าทีเดียว แต่เจ้ามาผูกมิตรกับข้าเช่นนี้ แล้วข้าจะหาเรื่องเจ้าได้อย่างไร”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนั้นต่างก็พูดอะไรไม่ออก เด็กหนุ่มหัวแดงถึงกับหัวเราะออกมาอีกครั้งว่า “เจ้ามีความคิดที่จะสงบศึกหรือ? น่าเสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองเด็กหนุ่มผมแดงตาขวาง “บัดนี้ ข้าจำหน้าเจ้าได้ขึ้นใจแล้ว หลังจากนี้ ข้าจะจัดการเจ้าจนแม้แต่มารดาของเจ้าก็จำหน้าลูกตัวเองไม่ได้”
พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็รีบหันกลับมาพูดกับเจียงจี้หลิวต่อไปว่า “จูปี้ฉีบอกว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อฆ่าข้า?”
เจียงจี้หลิวพยักหน้าตอบรับ “ถูกต้อง ข้าจะพยายามให้เต็มที่เพื่อฆ่าเจ้าให้ได้”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน รอยยิ้มบนใบหน้าอบอุ่น วาจาที่พูดออกมาฟังรื่นหู เหมือนสหายชวนกันไปดื่มสุราก็ไม่ปาน
แต่เมื่อถ้อยคำเหล่านั้นลอยไปถึงหูผู้คนแล้ว สีหน้าของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไปทันที
แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังต้องกัดฟันกรอด
ไอ้หมอนี่มันกวนประสาทเก่งจริงๆ
“แต่ได้โปรดอย่าเข้าใจข้าผิด”
เจียงจี้หลิวยังคงอธิบายอย่างอารมณ์ดี “ข้าไม่ได้มีความแค้นใดๆ กับเจ้าเลย ซ้ำยังแอบชื่นชมเจ้าเป็นอย่างมาก ข้าถึงหวังว่าเมื่อเราได้ปะทะฝีมือกัน เจ้าคงแสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่ ไม่ทำให้ข้าต้องพบกับความผิดหวัง”
“ได้ยินมาว่าที่เจ้าต้องเป็นผู้ติดตามของเว่ยหมิงเฉิน ก็เป็นเพราะว่าเจ้าพ่ายแพ้ในการประลองกระบี่กับเขาอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือแตะคางของตนเองและพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น หากเจ้าแพ้ในการประลองกระบี่ให้กับข้า เจ้าสนใจที่จะเปลี่ยนมาเป็นผู้ติดตามข้าหรือไม่?”
เจียงจี้หลิวส่ายหน้า ตอบว่า “โลกนี้มีผู้คนอยู่มากมายเกินไป ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครสามารถเอาชนะข้าได้ทั้งสิ้น หากเจ้าอยากให้ข้าเป็นผู้ติดตามของเจ้าจริงๆ เจ้าก็ต้องเอาชนะท่านเว่ยหมิงเฉินให้ได้ก่อน แล้วข้าจะยอมเป็นผู้ติดตามของเจ้าเอง”
เฮอะ
ไม่แน่จริงนี่หว่า
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้ามีลักษณะแตกต่างไปจากที่ข้าคิดไว้ ข้าก็มีคำถามบางอย่างอยากถามเจ้าสักหน่อย หวังว่าเจ้าจะยินดีให้คำตอบ”
เจียงจี้หลิวถามกลับว่า “เจ้าอยากรู้เรื่องอะไร?”
“สิ่งที่ข้าอยากรู้ก็คือ” หลินเป่ยเฉินพูด “1 2 3 ปลาฉลามขึ้นบก แล้วประโยคต่อมาคืออะไร?”
เจียงจี้หลิวถึงกับนิ่งงัน ได้แต่ส่ายศีรษะ จนปัญญาที่จะหาคำตอบ
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแสดงความผิดหวังออกมาชัดเจน
แต่เขายังไม่หมดหวังและถามออกมาอีกครั้งว่า “น้ำมาปลากินมด ประโยคต่อมาคืออะไร?”
เจียงจี้หลิวสูดหายใจลึก ก่อนจะส่ายศีรษะ ตอบว่าไม่รู้
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เขาคิดผิด
หมอนี่มันไม่ใช่คนที่ทะลุมิติมาจากโลกมนุษย์เหมือนเขาสักหน่อย
“แล้วเจอกันในการประลอง”
หลินเป่ยเฉินหันหน้าหนีด้วยความผิดหวัง
เจียงจี้หลิวรู้สึกคันหัวใจยิบๆ ต้องรีบเดินเข้ามาถามว่า “หลินเป่ยเฉิน คำตอบคืออะไร?”
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “คำตอบของประโยค 1 2 3 ปลาฉลามขึ้นบก ก็คือ 4 5 6 จิ้งจกยัดไส้ ส่วนคำตอบของประโยคที่สอง น้ำมาปลากินมด น้ำลดให้ขนของกลับบ้าน…เจ้าไม่รู้จักถ้อยคำพวกนี้ แสดงว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ข้ากำลังตามหา”
เด็กหนุ่มชุดแดงยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำตอบ
เขาไม่เคยได้ยินประโยคที่ว่านี้เลยสักครั้งในชีวิต
แต่ยิ่งไม่รู้เท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความสงสัยมากเท่านั้น
และยิ่งมีความสงสัยมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้นเช่นกัน
หลังจากใช้เวลาขบคิดอยู่พักใหญ่ เจียงจี้หลิวก็มั่นใจว่าคำพูดทั้งสองประโยคที่หลินเป่ยเฉินเอ่ยถามออกมา จะต้องแฝงนัยยะสำคัญบางอย่างเอาไว้แน่นอน มิเช่นนั้นแล้ว หลินเป่ยเฉินผู้มีสถานะเป็นถึงร่างทรงเทพเจ้า จะถามคำถามเหล่านี้กับเขาเพื่ออะไร?
“เฮ้อ” หลินเป่ยเฉินที่ทำท่าจะเดินลงจากเวทีพลันยกมือตบหน้าผากตัวเองเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
เจียงจี้หลิวหัวใจกระตุกวูบ
เขามั่นใจว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องเดินกลับมาอธิบายอะไรบางอย่างกับตนเองแน่นอน
แต่ที่ไหนได้ หลินเป่ยเฉินเดินผ่านหน้าเขาไปเสียอย่างนั้น เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าถิ่นเดินไปหยุดยืนอยู่ที่กลางเวที ตรงนั้นเป็นที่ตั้งของโต๊ะยาวตัวใหญ่ ซึ่งใช้ในการประกอบพิธีเปิดการแข่งขันเมื่อสักครู่
เมื่อหลินเป่ยเฉินพลิกฝ่ามือเล็กน้อย ธงผืนเล็กก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา ในเวลาเดียวกันนั้น ก็ยิ้มแย้มพูดออกมาเสียงดังว่า
“ร้านกระบี่อาจารย์ฟาน มีเทศกาลลดราคาครั้งใหญ่ในวันที่หนึ่งเดือนสิบ กระบี่ทุกเล่ม อาวุธทุกชนิด ลดราคาถึง 20 ส่วนจากราคาเต็ม ผู้ใดที่สนใจสามารถซื้อหาได้จากร้านกระบี่อาจารย์ฟานทุกสาขาที่อยู่ในมณฑลเฟิงอวี่ ของดีมีจำนวนจำกัด หากพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว พวกเจ้าจะจะต้องเสียใจ…”
ธงผืนเล็กที่หลินเป่ยเฉินปักลงไปบนโต๊ะกลับกลายเป็นธงประจำร้านกระบี่อาจารย์ฟาน
เจียงจี้หลิวยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น
ที่แท้หลินเป่ยเฉินก็เดินกลับมาเพื่อโฆษณานี่เอง
ช่างรักษา… ความบัดซบไว้ได้คงเส้นคงวาเหลือเกิน!!!
หลังโฆษณาเสร็จสิ้น หลินเป่ยเฉินก็กระโดดลงจากเวทีไปด้วยความพอใจ
เจียงจี้หลิวคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย
แต่น่าเสียดายที่หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นเป้าหมายที่เขาต้องฆ่าทิ้ง
ในเวลาเดียวกันนี้ สายตาที่กลุ่มผู้เข้าแข่งขันจ้องมองไปยังหลินเป่ยเฉิน ยิ่งปรากฏแต่ความเหยียดหยามเพิ่มมากขึ้น
โลภมาก บ้ากาม โง่เขลา เบาปัญญา…
ไม่รู้เลยว่าบุคคลเช่นนี้สามารถครอบครองตำแหน่งอัจฉริยะอันดับ 1 ประจำเมืองหยุนเเมิ่งได้อย่างไร
นับว่าเป็นบุคคลที่น่าอับอายประจำเมืองอย่างแท้จริง
แม้แต่คณะอาจารย์จากสถานศึกษาอื่นๆ ที่มาเข้าร่วมงานนี้ ก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไปแล้ว เมื่อพบเจอกับพฤติกรรมของหลินเป่ยเฉินเข้าไปเต็มๆ ตา
มีเพียงชาวเมืองหยุนเมิ่งเท่านั้นที่ตอนแรกก็ตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อตั้งสติได้ ทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน บรรยากาศกลับคืนสู่ความสนุกสนานอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ยังคงเป็นหลินเป่ยเฉินคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะมีสถานะเป็นถึงหัวหน้านักบวช แต่เด็กหนุ่มก็ยังทำตัวเป็นเจ้าแห่งการโฆษณาเหมือนเดิม
ฉุยเฮาเฟิงผู้นั่งร่วมอยู่กับแขกระดับสูง มีสีหน้าประดับรอยยิ้ม
ในขณะที่หยิงอู๋จี หัวหน้าหน่วยมือปราบประจำมณฑล รวมถึงคณะอาจารย์จากสถานศึกษาอื่นๆ มีสีหน้าเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ความรู้สึก
หลังจากนั้นก็เป็นพิธีการจับสลาก
ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 68 คนจะได้หมายเลขประจำตัว และเมื่อนำแผ่นป้ายระบุหมายเลขประจำตัวใส่ลงไปในค่ายอาคมพิเศษแล้ว ค่ายอาคมก็จะจัดการประกบคู่ประลองออกมาโดยทันที แม้จะมีผู้เข้าแข่งขันอยู่เป็นจำนวนมาก แต่พิธีการก็ดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินมีหมายเลขประจำตัวคือหมายเลข 21
เขาเดินไปนั่งรอในส่วนที่จัดไว้ให้สำหรับผู้เข้าแข่งขัน
บัดนี้ การประลองคู่แรกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
การต่อสู้เป็นไปด้วยความดุเดือด สมแล้วที่ผู้เข้าแข่งขันมาที่นี่ในฐานะตัวแทนจากเมืองของตนเอง เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้คู่แรกนี้มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 4 ด้วยกันทั้งคู่ ฝ่ายหนึ่งมีพลังปราณธาตุน้ำ อีกฝ่ายมีพลังปราณธาตุไฟ พลังแห่งวารีต่อสู้กับพลังแห่งอัคคี หลินเป่ยเฉินรับชมด้วยความตื่นตาตื่นใจ
ใช้เวลาเพียงชงน้ำชาหนึ่งถ้วย ผู้ที่มีพลังปราณธาตุไฟก็กลายเป็นผู้ชนะที่ผ่านเข้ารอบต่อไป
ใช้เวลาเพียง 1 ก้านธูป ก็ได้เวลาที่หลินเป่ยเฉินจะต้องออกไปประลอง
โชคร้ายที่คู่ต่อสู้ของเขาก็คือเด็กหนุ่มผมแดงที่เคยปะทะคารมกันมาก่อนหน้านี้นั่นเอง…