ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 62 สายรุ้งเกิดขึ้นจากที่ใด?

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

คลื่นอสูรดุจมหาสมุทร ดุจเงาดำเคลื่อนคลุมท้องฟ้า เจ๋อซิ่วแบกชีเจียนวิ่งตะบึงไปยังทิศทางตรงกันข้าม ชีเจียนแม้สะลึมสะลือ แต่ก็พยายามบอกทางอย่างต่อเนื่อง เผื่อเจ๋อซิ่ววิ่งออกนอกลู่นอกทาง เพียงแต่พื้นที่และเวลาในทุ่งหญ้าแห่งนี้ล้วนมีปัญหา ถึงเจ๋อซิ่ววิ่งเร็วแค่ไหนก็ไม่มีทางวิ่งออกไปได้ ดังนั้นหลังพ้นจากเงาดำมาไกลพอสมควร เขาจึงหยุดฝีเท้าลงเพื่อพักผ่อน ขณะเดียวกันก็คิดว่าควรทำอย่างไรต่อ และในตอนนี้เองที่ท้องฟ้าบนทุ่งหญ้าปรากฏแสงจากกระบี่หมื่นเล่ม… ทะเลกระบี่พลันปรากฏขึ้นบนที่ราบทุ่งหญ้าด้านหลังของพวกเขา

ชีเจียนมองดูเหตุการณ์บนไหล่เจ๋อซิ่ว พลางตื่นตระหนกจนพูดไม่ออก ตัวแข็งทื่อสุดจะเปรียบ

“เกิดอะไรขึ้น?” เจ๋อซิ่วถาม

ชีเจียนตอบเสียงสั่นเล็กน้อย “เหมือน…เหมือนสระกระบี่ปรากฏขึ้นแล้ว”

เจ๋อซิ่วเงียบเสียงลง แล้วว่า “พูดต่อสิ”

การต่อสู้ระหว่างคลื่นอสูรกับกระบี่หมื่นเล่มในทุ่งหญ้า ไม่มีผลกระทบต่อพวกเขาที่อยู่ห่างไกลออกมา ภาพที่ยิ่งใหญ่และงดงาม ขณะเล่าผ่านโทนเสียงอันราบเรียบของชีเจียน กลับกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อมากกว่า แต่เจ๋อซิ่วยังคงตั้งใจฟัง เพราะเขารู้ว่าความผิดปกติเหล่านี้น่าจะเป็นโอกาสสุดท้ายให้พวกเขาทั้งสองหนีออกจากทุ่งหญ้าขณะยังมีชีวิต และสุดท้าย ตอนที่กระบี่หมื่นเล่มลอยอยู่บนท้องฟ้า แล้วกลายเป็นมังกรทองกลืนกินมหาวิหคปีกทองนั้น เขาก็จับใจความสำคัญจากการเล่าของชีเจียนได้อย่างถูกต้อง

“กระบี่ที่อยู่หน้าสุดเล่มนั้นก็คือ…กระบี่สั้น?”

ชีเจียนที่ยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งต้องหนีตายในทุ่งหญ้ามานานหลายวัน จึงอ่อนล้าจนแทบไปต่อไม่ไหว ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการบอกทางให้เจ๋อซิ่ว นางอาจสลบได้ทุกเมื่อ แต่นางบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่มาตั้งแต่เด็ก ดวงตาทั้งสองข้างจึงแวววาวคล้ายกระบี่อย่างไรอย่างนั้น สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะไกลได้อย่างชัดเจน นางจึงตอบอย่างมั่นใจว่าใช่

เจ๋อซิ่วเข้าแบกนางขึ้นใหม่อย่างไม่ลังเลใจ แล้วเดินต่อไปตามทางที่ห่างออกจากพื้นที่การต่อสู้เมื่อครู่

ชีเจียนถาม “เจ้ารู้ที่มาที่ไปของกระบี่สั้นเล่มนั้นหรือ?”

เจ๋อซิ่วตอบ “มันเป็นกระบี่ของเฉินฉางเซิง”

ชีเจียนไม่เข้าใจ จึงตกใจแล้วว่า “ของเฉินฉางเซิง? เช่นนั้น…เราจะไม่กลับไปช่วยหรือ?”

เมื่อครู่นางเห็นชัดว่า แม้กระบี่สั้นนำทัพหมื่นกระบี่รบชนะมหาวิหคปีกทอง แต่ตัวกระบี่เองก็มีสภาพไม่สู้ดีนัก ถ้าเฉินฉางเซิงต้องต่อสู้กับพวกมารในทุ่งหญ้าที่ลึกเข้าไปแล้วล่ะก็ เจ๋อซิ่วในฐานะสหายสนิทมีหรือที่จะไม่สนใจไยดี?

พอได้ยินนางถาม เจ๋อซิ่วไม่เพียงไม่ชะลอฝีเท้า กลับวิ่งเร็วกว่าเดิมอีก พลางว่า “ถ้าเขาแก้ปัญหานั่นได้ ก็ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเรา แต่ถ้าแก้ไม่ได้ ก็ทำได้เพียงยื้อเวลาออกไปอีกระยะ แล้วถ้าเรากลับไป ก็เท่ากับเสียโอกาสรอดชีวิตที่เขาให้เรามาเปล่าๆ”

ชีเจียนเติบโตขึ้นในพรรคกระบี่หลีซาน คุ้นชินกับมิตรภาพและการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่จากไปไหน จึงไม่เข้าใจความคิดของเขาอยู่บ้าง ขณะจะโต้แย้ง ก็ได้ยินเจ๋อซิ่วพูดต่ออย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าสู้กับพวกมารอยู่ที่นั่น แล้วเฉินฉางเซิงแบกสวีโหย่วหรงอยู่ตรงนี้ เชื่อว่าเขาก็ไม่กลับไปหรอก”

พอได้ยินประโยคนี้ ชีเจียนก็ยังรับไม่ได้อยู่ดี แต่สุดท้ายนางกลับเงียบ เพราะเจ๋อซิ่วบอกว่าเฉินฉางเซิงก็เลือกที่จะทำแบบนี้เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังนำความสัมพันธ์ของนางกับเขาเทียบกับความสัมพันธ์ของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงอีก ทำให้นางไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี

เจ๋อซิ่วแบกนางวิ่งออกจากทุ่งหญ้าตามสายตาของนางต่อ และในตอนนี้เอง แสงกระจ่างใสสายหนึ่งได้พุ่งสู่ท้องฟ้า แล้วชิ้นส่วนของท้องฟ้าก็ตกลงไปในทุ่งหญ้า จากนั้นก็เกิดระเบิดขึ้น พายุพัดกระหน่ำ แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างแรงจนพวกเขาเซตกลงไปในกอหญ้า

กว่าที่เจ๋อซิ่วจะลุกขึ้นจากโคลนตมได้ก็ทุลักทุเลพอควร “เกิดอะไรขึ้นอีก?”

ชีเจียนมองดูท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป พลางหน้าซีด “เหมือน…ฟ้าจะถล่ม”

เจ๋อซิ่วเงียบไปพักหนึ่ง ค่อยแบกนางขึ้นจากกอหญ้า แล้ววิ่งออกจากทุ่งหญ้าต่อ

ฟ้าจะถล่มลงจริงๆ เกิดพายุหมุนรุนแรงนับไม่ถ้วน ม้วนเอาทุ่งหญ้าทั้งผืนเข้าไป ทำลายเขตหวงห้ามที่อยู่ริมทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็ว แล้วเคลื่อนต่อไปยังส่วนอื่นๆ ของสวนโจว ได้ยินเสียงฉีกขาดอันน่าหวาดกลัวดังไปทั่ว โลกที่อยู่ในสายตากำลังเดินไปสู่จุดจบเต็มที

เจ๋อซิ่วกับชีเจียนโชคดีมากที่ตลอดทางไม่ถูกฤทธิ์เดชพายุหมุนที่มาพร้อมแสงกระจ่างใสคร่าชีวิต และที่โชคดีกว่าก็คือ เมื่อศิลาจารึกคัมภีร์สวรรค์ปรากฏขึ้นและทำให้ฟ้าถล่มแผ่นดินแยกนั้น ก็ได้ทำลายผนึกทั้งหมดในทุ่งหญ้าลงด้วย เวลาที่ไม่เหมือนกันในแต่ละดินแดนพลันหายไป ความแตกต่างระหว่างพื้นที่ช่องว่างก็หายตามไปด้วย พวกเขาจึงวิ่งออกจากทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลได้ในเส้นทางเดียว จนมาถึงเชิงเขาอัสดง

ในสวนโจวยังเป็นเวลากลางคืน หุบเขาอัสดงสะท้อนกลุ่มแสงที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งมิได้ดูงดงามและเงียบสงบเหมือนก่อน เมื่อคัมภีร์สวรรค์ปรากฏ และนำมาซึ่งพายุหมุนที่ม้วนทุกสิ่งอย่างเรื่อยไป จนมาถึงที่นี่ หินก้อนใหญ่บนหน้าผาหุบเขาอัสดงร่วงหล่น เหมือนเพิ่งเกิดแผ่นดินไหวที่น่าสะพรึงกลัวขึ้น และกำลังดำเนินต่อไม่หยุด

ชีเจียนรู้สึกปวดท้องน้อยเพราะฤทธิ์ยา แต่ยังพยายามคงสติให้มั่น คอยบอกทางให้เจ๋อซิ่วท่ามกลางก้อนหินหลายขนาดปลิวว่อนเต็มไปหมด เจ๋อซิ่วจึงกลายร่างเป็นอสูร กระโดดข้ามหน้าผาสูงชัน แล้วใช้กรงเล็บอันแหลมคมยึดเกาะพื้นดินไว้ หนีจากภูเขาถล่มได้หวุดหวิดหลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุดก็มาถึงสวนไม้ดอกริมสวนโจว

ตอนชีเจียนเห็นหญิงสาวในชุดนักบวชของกระทรวงสิบสามชิงเหย้านั้น สติที่พยายามคงไว้ตลอดทางก็พลันขาดหาย ยืนหยัดไม่ไหว สลบไสลไป

ที่นี่คือป่าวจีเขตบรรพต ที่ที่ผู้บำเพ็ญเพียรมาชุมนุมกัน ซึ่งสำหรับผู้ที่เข้าไปในทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลอย่างเจ๋อซิ่วและเฉินฉางเซิงแล้ว เวลาที่ผ่านไปหลายสิบคืนวัน เท่ากับผ่านไปไม่กี่วันสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรที่มาที่นี่ และแน่นอนว่า มันเพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา

เนื่องจากแผนร้ายของเหล่ามารต้องการให้สวนโจวเกิดความโกลาหล ผู้ใดคิดออกจากที่นี่ก็ไม่สามารถทำได้ เวลาที่ผ่านไปจึงยากทานทนสำหรับพวกเขา และตอนนี้ยังต้องมาเจอกับแผ่นดินไหวน่ากลัวและพายุหมุนรุนแรงจากส่วนลึกของทุ่งหญ้าอีก ทำให้พวกเขารู้สึกว่าชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงเกิดความวุ่นวายขึ้นในสวนไม้ดอก ได้ยินเสียงถามอย่างวิตกกังวลอื้ออึงไปหมด รวมทั้งเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังมากมาย พวกเขาไม่รู้ว่าประตูสวนโจวจะเปิดเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าสวนโจวกำลังจะพังทลายลง

สวนโจวคือโลกใบเล็กที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนใบหนึ่ง สุดเขตหน้าผายังมีดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล ทะเลสาบคืนสู่ความเงียบสงบนานแล้ว โลหิตบนร่างของหนานเค่อถูกน้ำในทะเลสาบชะล้างออกจนหมด โลหิตที่ไหลออกจากท้องน้อยของชีเจียนเพราะถูกกระบี่อันร้ายกาจแทง ก็ถูกกรวดทรายข้างทะเลสาบปลิวปิดทับไว้

เหลียงเสี้ยวเซียวกับจวงห้วนอวี่ยืนอยู่ริมทะเลสาบโดยไม่มองหน้ากันและไม่พูดจากัน สีหน้าทั้งสองเฉยเมย แต่กลับมีอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงขณะมองดูท้องฟ้าสีโลหิต ลางร้ายที่อยู่ไกลออกไป และรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในส่วนลึกของทะเลสาบ เหลียงเสี้ยวเซียวเหลือบมองจวงห้วนอวี่ แล้วว่า “มีชีวิตรอดออกไปให้ได้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน”

นอกเมืองฮั่นชิวยังถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา แต่สายรุ้งที่มาจากสถานที่ห่างไกลยังคงเด่นสะดุดตาแม้ในยามค่ำคืน เส้นสุดท้ายที่ยุ่งเหยิงจางหายไปนานแล้ว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่สามารถย้อนเวลากลับเพื่อทำให้มันจางหายไป ประตูไร้รูปของสวนโจวในหมอกหนายังคงปิดสนิท โดยไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะเปิดอีกครั้ง

จูลั่วยืนอยู่ในส่วนหน้าสุดของสวนดอกไม้ราตรี กำลังมองดูสายรุ้งในหมอกด้วยสายตาเย็นชา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

หนึ่งในผู้แข็งแกร่งสุดของแปดมรสุมอย่างเขา ตลอดทั้งชีวิตไม่รู้พานพบอุปสรรคมากี่นักต่อกี่นัก ผ่านร้อนผ่านหนาวแค่ไหน โลหิตสาดกระเซ็นเท่าใด เช่นเดียวกับพวกมารที่แฝงตัวอยู่ในสวนโจว เรื่องขาดการติดต่อทั้งในและนอกสวนโจว แม้ทำให้เขาตกใจอยู่บ้าง แต่ความจริงแล้วก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไร

เนื่องจากอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเขา อาจารย์หลายท่านจากสำนักฝึกหลวงและผู้แข็งแกร่งจากเมืองเทียนเหลียง กำลังใช้กลยุทธ์หลากหลายในการเปิดประตูสวนโจวที่มีสายรุ้งปรากฏอยู่ด้านหน้า ขณะมองดูระดับความผิดเพี้ยนของท้องฟ้าในสายหมอก ก็คาดว่าน่าจะสำเร็จในไม่ช้า แต่แล้ว…เมื่อครู่ เขากลับรู้สึกถึงเรื่องบางอย่างที่ย่ำแย่เอามากๆ ในสวนโจวคล้ายเกิดเรื่องขึ้น และกำลังจะล่มสลายลง

สำหรับผู้ที่มีความแข็งแกร่งระดับเขา ย่อมเข้าใจศาสตร์ของพื้นที่ช่องว่างอย่างลึกซึ้งสุดจะเปรียบ เขาชัดเจนดีว่า ไม่ว่าโลกใบไหนก็ตาม ล้วนต้องมีเวลาล่มสลายหรือหายไป ต่อให้เป็นดินแดนต้าลู่ก็ต้องหายไปในอีกหลายหมื่นปีข้างหน้า แต่…โลกใบเล็กที่สามารถถูกค้นพบและใช้งานได้นั้น ย่อมต้องสร้างจากพื้นที่ว่างที่ค่อนข้างเสถียรและทนทาน จึงจะดำรงอยู่ได้หลายหมื่นปี แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงมีเค้าลางของการล่มสลายเล่า?

ไม่มีใครสามารถใช้พลังของตนทำลายโลกใบหนึ่งได้ แม้เป็นโลกใบเล็กก็ตาม เขาไม่สามารถ ใต้เท้าสังฆราชไม่สามารถ โจวตู๋ฟูในตอนนั้นก็ไม่สามารถ พลังที่สามารถทำลายโลกแห่งนั้นได้ มีเพียงพลังของโลกแห่งนั้นเอง ถ้าสวนโจวพังทลาย ย่อมมีสาเหตุมาจากสวนโจวเอง หรือมาจากพลังบางอย่างที่ใช้ควบคุมพื้นที่ช่องว่าง

ขณะจูลั่วนึกถึงข่าวลือนั่น สีหน้าก็เย็นชาลงเรื่อยๆ จนคล้ายน้ำค้างแข็ง

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เหมยหลี่ซามายืนอยู่ข้างกายเขา ใบหน้าชราของใต้เท้ามุขนายกท่านนี้มักจะดูเหนื่อยล้าเสมอ แต่ตอนนี้กลับเห็นเพียงความวิตกกังวล ดวงตาของเขายังคงหยีอยู่อย่างนั้น แต่ผู้ที่ยืนอยู่ใกล้ ย่อมรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความเยือกเย็นในแววตาทั้งสองข้างของเขา

เขาถามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “เมื่อไหร่ถึงจะเปิดประตูสวนโจวได้?”

จูลั่วใช้วิชาถนัด ปล่อยจิตสัมผัสไปยังมิติช่องว่างซึ่งผิดเพี้ยนไปในหมอกหนา จากนั้นค่อยให้คำตอบที่ค่อนข้างแม่นยำออกมา “ก่อนรุ่งอรุณน่าจะเปิดได้”

ดวงตาของเหมยหลี่ซาหยีเข้าไปอีก พลางว่า “ไม่ได้ ช้าเกินไป”

แม้กำลังเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับไร้เทียมทานของแปดมรสุม แต่คำพูดของเขายังคงตรงไปตรงมากระทั่งให้ความรู้สึกกดดันเป็นอย่างยิ่ง

จูลั่วมองไปยังสายรุ้งที่อยู่ทางทิศใต้ของท้องฟ้ายามค่ำคืน พลางว่า “เรื่องที่เราสามารถทำได้ก็ล้วนทำไปหมดแล้ว ถ้าอยากให้เร็วกว่านี้ ก็ต้องดูทางเขาหลีซาน”

เหมยหลี่ซาเข้าใจความหมายของเขา จึงมองไปยังทิศใต้ ที่ตั้งของยอดเขาสูงชันเงียบๆ โดยไม่มีใครสังเกตเห็นว่า มือที่อยู่ในแขนเสื้อของเขากำลังสั่นเบาๆ และย่อมไม่มีใครสามารถได้ยินเสียงในใจของชายชราผู้ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือดังว่า เฉินฉางเซิง เจ้าต้องไม่ตาย

……

……

สายรุ้งที่มาจากสถานที่ห่างไกลย่อมไม่ใช่กุญแจไขประตูสวนโจว หรือคำอธิบายที่ถูกต้องยิ่งกว่าก็คือ สายรุ้งเกิดจากการกระทำของกุญแจไขประตูสวนโจวดอกนั้น คนชุดดำใช้จานสี่เหลี่ยมทำให้สายรุ้งปรากฏขึ้น ซึ่งการนี้ส่งผลให้ประตูสวนโจวปิดลงชั่วคราว ความจริงก็คือขณะเสียบกุญแจปิดผนึกประตูสวนโจวนั้น เขาได้ทำการใส่อะไรบางอย่างเข้าไปในรูกุญแจ

กุญแจสวนโจวอยู่ที่เขาหลีซานมาโดยตลอด อยู่ในถ้ำพำนักบนยอดเขาสูงสุดลูกนั้น หรือก็คือที่ที่สายรุ้งถือกำเนิดขึ้นพร้อมเสียงแหลมเล็ก ประตูถ้ำพำนักถูกเปิด ชายชราทรงบุคลิกเทพเซียนท่านหนึ่งเดินออกมา มือจับด้ามกระบี่ ดวงตาสงบนิ่งดุจน้ำในทะเลสาบ แต่ทะเลสาบนี้กลับมีเส้นทางกระบี่พันวิถี เขาก็คือหัวหน้าพรรคกระบี่หลีซานคนปัจจุบัน