ในตอนก่อนเปิดสวนโจวและยังไม่มีสายรุ้งนั้น เขาหลีซานได้เตรียมรับมือผลที่จะตามมาในทุกๆ ด้าน ด้วยการส่งเสี่ยวซงกงกับผู้อาวุโสจากโถงบทบัญญัติสามท่านแยกย้ายกันเฝ้าระวังช่องทางขึ้นภูเขาทุกช่องทาง ซ่อนค่ายกลใหญ่หมื่นกระบี่ไว้ในส่วนลึกของหมู่เมฆ พร้อมสังหารศัตรูผู้บุกรุกได้ทุกเมื่อ แต่ก็ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบโดยไม่เกิดความผิดพลาดใดๆ จวบจนหัวหน้าพรรคหลีซานใช้เสียงแผดร้องอันยาวนานของกระบี่จริงควบคุมสายรุ้งให้สงบนิ่งลง ขณะเดียวกันก็กำจัดพลังผิดแผกแตกต่างในสายรุ้งจนหมด น่าเสียดายตรงที่ไม่ทันหยุดยั้งพวกมารปิดประตูสวนโจว
ถ้าคิดเปิดประตูสวนโจวขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรหลายร้อยคนที่อยู่ด้านในออกมา นอกจากกลยุทธ์ที่ผู้แข็งแกร่งหลายคนในเมืองฮั่นชิวใช้แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดยังคงเป็นสายรุ้งที่เกิดจากภูเขาหลีซาน เมื่อกุญแจอยู่ที่นี่ เวลาที่ผ่านพ้นและความเงียบบนภูเขา บ่งบอกว่าทุกคนล้วนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวบนยอดเขา ตอนนี้พอเห็นหัวหน้าพรรคออกจากถ้ำพำนัก กลุ่มคนที่อมทุกข์อยู่นานก็กรูกันไปด้านหน้าทำความเคารพ จากนั้นเสี่ยวซงกงก็ถามขึ้นอย่างเคร่งเครียด “ศิษย์พี่ สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”
หัวหน้าพรรคหลีซานมองไปยังทิศตะวันออกของท้องฟ้ายามค่ำคืน มองดูดวงดาวที่ยังส่องแสงแพรวพราว พลางว่า “ช่วงรุ่งอรุณ น่าจะเปิดสวนโจวได้”
พอได้ยินเช่นนี้ เสี่ยวซงกงก็โล่งอก แต่กลับพบว่าศิษย์พี่ยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด โดยเฉพาะเจตจำนงกระบี่ในทะเลสาบอันสงบนิ่งกลางดวงตาคลับคล้ายว่าจะสั่นไหว หรืออาจเกิดเรื่องใหญ่ที่ทำให้ไม่สบายใจขึ้น จึงถาม “หรือมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก?”
หัวหน้าพรรคหลีซานย้ายสายตา มองไปยังสายรุ้งที่ทอดตัวยาวไปยังเมืองฮั่นชิวทางทิศเหนือ พลางว่า “ในสวนโจวกำลังเกิดเรื่องใหญ่ ชนิดมีเค้าลางว่าจะล่มสลาย ข้าไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ด้านในจะสามารถยืนหยัดจนถึงรุ่งอรุณหรือไม่”
ศิษย์พรรคกระบี่หลีซานพอได้ยินก็ตื่นตระหนก แต่ยังไม่กล้ากระโตกกระตาก ผ่านไปสักพัก ผู้อาวุโสจากโถงบทบัญญัติท่านหนึ่งค่อยถามขึ้นอย่างกังวลใจ “ยังพอจะมีวิธีอื่นอีกไหม?”
หัวหน้าพรรคหลีซานไม่ตอบ คนอื่นๆ จึงเข้าใจในความหมาย ศิษย์ผู้หนึ่งถามขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
คำถามของเขาทำให้ศิษย์หลายคนหันมองประตูใหญ่ของถ้ำพำนักที่ปิดสนิทอยู่ สำหรับศิษย์รุ่นเยาว์ของเขาหลีซานแล้ว ดูเหมือนไม่มีเรื่องใดที่เหลือบ่ากว่าแรงศิษย์พี่ใหญ่ แม้รู้ทั้งรู้ว่าลำดับขั้นบำเพ็ญเพียรของศิษย์พี่ใหญ่ด้อยกว่าอาจารย์ลุงทั้งหลาย แต่ก็ยังไม่วายฝากความหวังไว้ที่ตัวเขา
หัวหน้าพรรคหลีซานมองดูลูกศิษย์แล้วว่า “เพราะต้องการเปิดประตูสวนโจวให้เร็วที่สุด ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าจึงเผาผลาญโลหิตมังกรแท้ในกายไปจนเกือบหมด จะให้เร็วกว่านี้รึ? หรือพวกเจ้าอยากให้เขาสูญเสียการบำเพ็ญเพียรทั้งหมดที่มี? อยากให้เขาตายใต้สายรุ้งอย่างนั้นหรือ?”
เหล่าศิษย์พอได้ยินก็ตื่นตระหนกอีกครั้ง ไม่กล้าพูดมากอีก
และในตอนนี้เอง เสียงหนึ่งดังออกจากในถ้ำพำนัก “อาจารย์ ศิษย์…อยากลองดูอีกสักครั้ง”
เจ้าของเสียงดูเหมือนหมดแรง ฟังออกว่าอ่อนล้ามาก แต่น้ำเสียงยังคงใสกระจ่างเหมือนทุกวัน ฟังแล้วรื่นหู มีความนิ่ง สบายๆ เชื่อมั่น และยืนหยัด ที่สำคัญที่สุดคือ เสียงนี้ยังปกติเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเผชิญกับสภาวะอะไรก็ไม่เคยย่อท้อแม้แต่น้อย อิสระ เรียบง่าย กระทั่งทำอะไรได้ตามใจนึก
ขณะฟังเสียง ไม่รู้ทำไมศิษย์ทั้งหลายจึงรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา เหมือนยามปกติก็มิปาน
หัวหน้าพรรคหลีซานมองดูถ้ำพำนัก พลางพูดเสียงขรึม “ถ้าเจ้าลองอีกครั้ง ก็ต้องตายสถานเดียว”
เสียงนั้นหายไป สักพักค่อยดังขึ้นอีก ยังคงสงบนิ่งและยืนหยัดสุดๆ “ศิษย์น้องยังอยู่ในสวนโจว”
นี่คือสาเหตุ คือเหตุผล คือสิ่งที่ทุกคนรู้โดยทั่วกัน จึงยอมเชื่อในเหตุผลและสาเหตุ พอหัวหน้าพรรคหลีซานได้ยินเสียงศิษย์เอกคนโปรดมีความกังวลแฝงอยู่ในความสงบนิ่งเป็นครั้งแรก เขาจะอดรนทนไหวได้อย่างไรเล่า?
……
……
มหันตภัยจากพายุทำลายส่วนลึกของทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลไปทั่ว สุสานกำลังถูกพายุหมุนอันกราดเกรี้ยวปิดล้อม แอ่งน้ำในทุ่งหญ้าถูกอบด้วยความร้อนนับครั้งไม่ถ้วนจนแห้งเหือด ดินโคลนกลายเป็นกรวดทรายอบแห้ง พายุที่หมุนคว้างระหว่างฟ้าดินทำให้ฝุ่นทรายที่เกาะขอบร่มกระดาษทองปลิวเข้ามาด้านใน แสงสว่างจึงดูขมุกขมัว
สวีโหย่วหรงพิงไหล่เฉินฉางเซิงพลางพูดเสียงเบา “เราจะตายกันไหม?”
ผู้ที่เพิ่งถูกดึงออกจากขอบเขตแห่งความตายอย่างนางรู้สึกอ่อนล้ามากในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือสติอารมณ์ เฉินฉางเซิงมองผ่านขอบร่มไปยังเสาหินสิบต้นในพายุทรายรอบๆ สุสาน พลางนึกถึงข้อสันนิษฐานที่เกิดจากการคิดคำนวณของนางก่อนหน้านี้ และกำลังเปรียบเทียบกับบางสิ่งบางอย่าง พอได้ยินนางพูด ก็คิดๆ ดู แล้วว่า “อาจจะ…แต่ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายหรอก”
สวีโหย่วหรงตอบเสียงเบา “ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เจ้าถ่ายโลหิตให้ข้า ข้าคงตายไปนานแล้ว ความจริงตอนนั้นข้าไม่กลัวตาย แต่ตอนนี้กลับกลัว ไม่รู้ทำไม”
เฉินฉางเซิงมองตานาง พลางว่า “หรือ…เพราะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เจ้าอยากอยู่ต่อ?”
สวีโหย่วหรงครุ่นคิด แล้วว่า “อาจใช่”
เฉินฉางเซิงยิ้มจากใจจริง แล้วว่า “ข้าดีใจมาก”
สวีโหย่วหรงมองเขาแล้วยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ข้าก็ดีใจมาก แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งไม่อยากตาย”
เฉินฉางเซิงพูดจริงจัง “ถูกต้อง ข้าก็กำลังคิดว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถอยู่ต่อ”
สวีโหย่วหรงหยอก “เจ้าถนัดคิดแก้ปัญหาสิท่า?”
“ไม่ แต่เรื่องที่ว่าทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้น…ข้าคิดบ่อยกว่าใครเพื่อน”
พูดจบ เขาก็สำรวจมองพายุทรายรอบๆ สุสานต่อ พายุทรายที่เห็น โดยเฉพาะตรงบริเวณที่ก่อนหน้านี้ถูกหญ้าขาวปกคลุม ตอนนี้ถูกกรวดทรายและซากศพสัตว์อสูรทับถม สัตว์อสูรมากมายที่ตายลง ส่วนใหญ่เพราะพยายามต้านทานพายุ หรือไม่ก็ถูกพายุพัดจนลอยไปทั่ว ซึ่งก็ต้องเผชิญกับความตายไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี
นอกจากร่มกระดาษทองหน้าประตูสุสานคันนี้แล้ว ก็ไม่มีที่อื่นใดสามารถเป็นที่กำบังให้กับสิ่งมีชีวิตที่เคยโหดร้ายและแข็งแกร่งเหล่านี้อีก
และตอนนี้เอง เงาดำสายหนึ่งได้เคลื่อนตัวดุจฟ้าแลบ ข้ามพายุทรายที่ทั้งเชี่ยวกรากและส่งเสียงดังหวีดหวิว มาถึงหน้าประตูสุสาน แล้วลอดช่องว่างเล็กๆ ตรงขอบร่มกระดาษทองเข้ามาภายในร่ม ก่อนชนเข้ากับประตูหินของสุสานที่ทั้งหนาและหนักอย่างแรง จนเกิดเสียงทึบตัน และเกิดรอยร้าวหลายรอยบนประตูหิน
มันสามารถหลบหลีกพายุหมุนที่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ปล่อยออกมา ไม่ยี่หระต่อพายุทรายที่กระจายอยู่เต็มท้องฟ้า แล้วยังเสี่ยงพุ่งเข้าชนประตูสุสานจนร้าวอีก…มันคือนกตัวหนึ่ง นกตัวนี้ขนยุ่งตลอดทั้งตัว ไม่มีความสวยงามแม้แต่น้อย กรงเล็บขวาบาดเจ็บ เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยโลหิต ดูๆ ไปก็เหมือนไก่ฟ้าตัวหนึ่งที่เพิ่งหนีตายจากลูกธนูของนายพราน
ไก่ฟ้าตัวนี้ร่วงหล่นลงจากรอยแตกของประตูหินสู่พื้นดิน มันพยายามยืนขึ้นด้วยขาข้างเดียวอย่างทุลักทุเล ก่อนบิดคอไปมา และกระพือปีกสักพัก สลัดฝุ่นและน้ำบนปีกออก เห็นชัดว่ามันค่อนข้างพอใจในสภาพนี้ จากนั้นจึงหันมองพายุทรายเต็มท้องฟ้าผ่านขอบร่มกระดาษทอง พลางส่งเสียงร้องดังอย่างโกรธแค้น ใต้ร่มกระดาษทองมีที่ว่างน้อยมาก กรวดทรายทั้งหมดที่ไก่ฟ้าตัวนี้สลัดออกจึงตกลงบนศีรษะและใบหน้าของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง ทำให้ทั้งสองไอออกมาอย่างอดไม่ไหว
พอได้ยินเสียงไอ ไก่ฟ้าก็นึกถึงอะไรบางอย่าง ดวงตาทั้งสองของมันดูประหลาดพิกล ม่านตาสีทองกลอกไปมาอย่างรวดเร็วสองรอบ จากนั้นก็นิ่งเงียบอย่างผิดปกติ ไม่มองเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงแม้แต่หางตา ค่อยๆ ถอยออกไปอย่างเงียบๆ เหมือนคิดหลบไปให้พ้นจากสายตาของพวกเขา ปัญหาก็คือ พื้นที่ใต้ร่มอันน้อยนิดนี้ มันจะหลบไปไหนได้?