ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 64 หินดำที่หายไป

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ฝ่ามือที่งดงามข้างหนึ่งยื่นออก ลูบศีรษะเจ้าไก่ฟ้าเบาๆ มันดูไม่ค่อยพอใจ แต่กลับไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมาให้เห็น ได้แต่ยืนยืดคอ ปล่อยให้มือข้างนั้นลูบอย่างว่านอนสอนง่าย ดูๆ ไปก็คล้ายนกกระทาตัวหนึ่ง

นั่นเป็นมือของสวีโหย่วหรง… ไก่ฟ้าชัดเจนดีว่า สายเลือดในร่างกายของหญิงสาวเป็นอย่างไร มันไม่ชอบเป็นอย่างยิ่ง แต่จำต้องยอมรับว่านั่นเป็นคู่ปรับของมัน

มือของเฉินฉางเซิงก็ยื่นออกมาเช่นกัน คล้ายคิดจะลูบมัน ซึ่งไก่ฟ้าก็ชัดเจนเช่นกันว่า ชายหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด ที่สำคัญคือ เขาเป็นนายของร่มกระดาษทองคันนี้ ถ้ามันคิดจะมีชีวิตรอดในพายุอันบ้าคลั่งและน่ากลัว ก็ล่วงเกินเขาไม่ได้ อย่าว่าแต่ลูบทีสองทีเลย แม้ให้มันเต้นท่าถอนขน มันก็ทำได้ เพียงแต่…ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ไก่ฟ้าก็ยื่นจะงอยปากออกมา แล้วจิกเข้าที่หลังมือของเฉินฉางเซิงอย่างแรง

เสียงโต้กลับดุจหยกสีทองกระทบกันดังชัดเจน

ไก่ฟ้าตะลึงงัน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงทำพฤติกรรมบ้าบอคอแตกเช่นนี้ เฉินฉางเซิงก็ตะลึงเช่นเดียวกัน จากนั้นค่อยนึกขึ้นได้ว่า แม้บาดแผลบนร่างของตนสมานแล้ว กลิ่นโลหิตที่ไหลออกก็จางลงแล้ว แต่สำหรับสัตว์ทั้งหลาย ยังเป็นความเย้ายวนที่ยากปฏิเสธอยู่

“แม้จะบอกว่ามหาวิหคตกยากสู้ไก่ฟ้าไม่ได้ แต่อย่างไรก็ยังเป็นมหาวิหค มีความหยิ่งผยองในตัวเอง”

สวีโหย่วหรงพูดพลางมองเฉินฉางเซิง นี่ไม่ใช่คำพังเพยดั้งเดิม ดั้งเดิมคือ หงส์สวรรค์ตกยากสู้แม่ไก่ไม่ได้ แต่นางย่อมไม่พูดเช่นนี้

อย่างที่นางพูด มันดูเหมือนไก่ฟ้าขนยุ่งตัวหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วมันคือมหาวิหคปีทองที่ก่อนหน้านี้กางปีกปกคลุมท้องฟ้าตัวนั้น เพียงแต่ตอนนี้มันไม่มีฤทธิ์เดชเช่นก่อนหน้านี้อีก ตอนที่มันบินเข้ามาในร่มกระดาษทอง เฉินฉางเซิงก็รู้แล้วว่ามันคือมหาวิหคปีกทองตัวนั้น เพราะไอพลังปราณและดวงไฟเทวาที่ลุกโชนอยู่ในส่วนลึกดวงตาของมัน มันปลอมตัวได้เนียนมากจนสามารถเล็ดลอดจากพลังพายุหมุน แถมยังรู้ว่าร่มกระดาษทองสามารถเป็นที่กำบังให้กับมันได้ มันเป็นมหาวิหคตัวนั้นแน่นอน

ตอนที่โจวตู๋ฟูเสียชีวิต ไม่มีใครรู้ว่ามหาวิหคปีกทองตัวนี้ตายหรือจากไป กระทั่งหลายวันก่อนในตอนที่หนานเค่อนำไม้จิตวิญญาณกลับมาในสวนโจว วิญญาณเทพของมันซึ่งหลับใหลอยู่ในเงามืดของทุ่งหญ้ามาโดยตลอดก็ถูกปลุกให้ตื่น แต่ตอนนี้มหาวิหคปีกทองยังเป็นเพียงลูกนก ไม่มีพลังจากการบำเพ็ญเพียรเช่นในยุคที่เฟื่องฟู มิน่าเล่า มันถึงทำได้เพียงกลายร่างเป็นเงาดำปกคลุมท้องฟ้าเท่านั้น จวบจนหนานเค่อใช้วิญญาณเทพของนางกับพลังจากไม้จิตวิญญาณหลอมรวมกับมัน จึงฟื้นคืนพลังเทพส่วนใหญ่ของมหาวิหคบรรพกาลได้

เฉินฉางเซิงมิได้ลองลูบศีรษะวิหคน้อยตัวนี้ใหม่ มันจึงค่อยๆ เงียบสงบลง ไม่หวาดระแวงและกระสับกระส่ายเหมือนเมื่อครู่อีก ดวงไฟเทวาในดวงตาทั้งสองข้างก็เบาบางลง เปลี่ยนเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ซับซ้อนแทน

เฉินฉางเซิงเข้าใจในความหมายที่มันแสดงออก จึงสะดุ้งโดยไม่รู้ตัว ข้อความที่วิหคน้อยอยากจะบอกล้วนอยู่ในดวงตาของมัน มีทั้งวิงวอน ขอร้อง อ้อนวอน เสียใจ ลำบากใจ หดหู่ สิ้นหวัง… สัตว์อสูรมากมายในสวนโจวล้วนเป็นสหายของมันหรือไม่ก็อยู่ใต้อาณัติของมัน สัตว์อสูรเหล่านี้อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้ามานับร้อยปี ตัดขาดจากโลกและมิได้ต่อสู้แย่งชิงใดๆ กับมนุษย์ ทุ่งหญ้าแห่งนี้จึงประหนึ่งบ้านของพวกมัน แต่ตอนนี้บ้านของพวกมันกำลังจะพังทลายลงในไม่ช้า

เฉินฉางเซิงพูดในใจว่า ไม่ต้องให้เจ้าขอร้องหรอก ข้าก็กำลังพยายามรักษาโลกใบนี้ให้ดำรงอยู่ต่อไป

วิหคน้อยคล้ายได้ยินเสียงในใจของเขา มันจึงเงียบลงและเชื่องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่น่าสนใจก็คือ มันยังคงไม่ยอมเข้าใกล้เขา แต่กลับเขยิบเข้าหาสวีโหย่วหรงและเข้าไปอยู่ในอ้อมอกนางหน้าตาเฉย ทั้งที่แต่เดิมมันทั้งหวาดกลัวและรังเกียจนาง

หางตาของเฉินฉางเซิงจ้องจับพายุทรายรอบๆ สุสานและคิดแก้ปัญหาในใจเงียบๆ ตลอดเวลาที่คุยกับสวีโหย่วหรง หรือสื่อสารทางจิตกับมหาวิหค ตามคำพูดก่อนหน้านี้ของสวีโหย่ว แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สิบต้นรอบๆ สุสานมีความเกี่ยวข้องกัน โดยขึ้นอยู่กับการแปรเปลี่ยนของค่ายกลบางอย่างนั้น ตอนนี้เพราะการปรากฏตัวของสระกระบี่ ความสมดุลในค่ายกลจึงถูกทำลาย ซึ่งไม่มีวิธีที่จะทำให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ นอกจากจะหาอะไรมาแทนที่ช่องว่างที่หายไปของสระกระบี่ได้

ถูกต้อง ในค่ายกลนี้ สระกระบี่เป็นเพียงทางเลือกหนึ่ง แล้วพวกมันเป็นทางเลือกของอะไร? สวีโหย่วหรงบอกว่าโจวตู๋ฟูนำแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สิบสองต้นออกจากสุสานเทียนซู แต่ที่นี่มีเสาหินเพียงสิบต้น แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์อีกสองต้นอยู่ไหน?

ในตอนเริ่มคิดแก้ปัญหา เฉินฉางเซิงมักจะรู้สึกว่าตนลืมอะไรบางอย่าง นั่นคือความจำครั้งสุดท้ายที่ว่างเปล่าขณะมองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูแล้วหยั่งรู้ ต่อมาเขาคลับคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ แต่เป็นการคาดเดาที่ผุดขึ้นในใจและยากข่มใจไม่ให้นึกถึง

เพราะต้องการพิสูจน์การคาดเดานี้ เขาจึงจับจ้องรอบๆ สุสานมาโดยตลอด หาหลักฐานที่จะพิสูจน์การคาดเดาของเขาได้… เขาต้องเชื่อมั่นในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะดำเนินการตามการคาดเดานั้น เนื่องจากมันเป็นการกระทำที่มีความเสี่ยงสูง มนุษย์มีเพียงชีวิตเดียว โอกาสสุดท้ายจึงมีเพียงครั้งเดียว

พายุทรายกระจายเต็มท้องฟ้า พื้นดินรอบๆ สุสานบางแห่งมีเนินดินเล็กๆ ผุดขึ้น ในบางแห่งกระทั่งพื้นหินสีเขียวครามที่แข็งมากยังกระดกขึ้น เขาจ้องมองแต่พื้นที่เหล่านี้ ซึ่งก็คือพื้นที่ที่สวีโหย่วหรงคิดคำนวณก่อนหน้านี้ พื้นที่ที่เคยถูกหญ้าสีขาวปกคลุม ตอนนี้กลับถูกกรวดหินดินทรายและซากศพของสัตว์อสูรทับถม จนปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริงเมื่อหลายร้อยปีก่อนออกมาในที่สุด

ตรงนั้นมีก้อนหินผุพังก้อนหนึ่ง ดูเหมือนแผ่นหิน แผ่นป้ายอนุสรณ์

ด้านนอกควรมีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์อยู่… เฉินฉางเซิงแน่ใจในข้อเท็จจริงนี้ จิตสัมผัสขยับเล็กน้อย ก่อนจะหยิบสิ่งเดียวกันมากำไว้ในมือ จากนั้นก็มองไปยังวิหคน้อยที่รู้สึกไม่ปลอดภัยมาตั้งแต่ต้น มันอยากหันไปทางอื่น ไม่อยากสบตาเขา แต่กลับลนลานเกินเหตุ คอจึงแข็งอยู่อย่างนั้น

เมื่อมนุษย์กับวิหคสบตากัน บรรยากาศจึงแปลกพิกลอยู่บ้าง วิหคน้อยคิดในใจ เหตุใดต้องเป็นข้าด้วย?

เฉินฉางเซิงจึงตอบในใจ เพราะเจ้าคือมหาวิหคปีกทองที่ไม่ธรรมดา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ต้านทานพลังของพายุหมุนอันเกรี้ยวกราดได้ อย่างน้อยก็ระยะหนึ่ง

วิหคน้อยโต้กลับในใจอย่างไม่พอใจ แล้วเหตุใดเจ้าไม่ไปเองล่ะ?

เฉินฉางเซิงกระชับมือที่จับด้ามร่มแน่น พลางพูดในใจ ต่อให้ข้าเดาแม่น สวนโจวก็ยังคงพังทลายไปเรื่อยๆ ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ

เฉินฉางเซิงแบมือออก บนฝ่ามือมีหินสีดำก้อนหนึ่ง

หินดำก้อนนี้รูปร่างยาวๆ ยาวประมาณครึ่งหนึ่งของนิ้ว สีดำทั้งก้อน ผิวของมันคล้ายมีหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่ ดุจท้องฟ้ายามราตรีที่ไม่มีดวงดาว แต่กลับมีแสงสว่างของดวงดาว ทำให้ผู้คนหลงใหล ปรารถนาที่จะเข้าไปข้างใน เห็นชัดว่ามันไม่ใช่หินธรรมดา นี่เป็นหินดำซึ่งเขาพบเจออยู่ข้างหลังภาพเหมือนหวังจือเช่อในหอหลิงเยียน

ดวงตาวิหคน้อยมีแววหวาดกลัวขึ้นวาบหนึ่งขณะมองดูหินดำ สักพักค่อยสงบนิ่งลง แล้วอ้าจะงอยปาก คาบหินดำขึ้นมา

เฉินฉางเซิงหมุนร่มกระดาษออกด้านข้าง เปิดช่องว่างให้วิหคน้อยออกไป

ขณะกระทำเช่นนี้ เขาใช้ร่างบังสายตาของสวีโหย่วหรงไว้ตลอด ใช่ว่าไม่อยากให้นางรู้ความลับตน แต่เกรงว่านางจะห้ามไม่ให้ตนทำเรื่องที่ตนกำลังจะทำ

พายุหมุนคว้าง วิหคน้อยกลายร่างเป็นเงาดำ บินออกจากร่มกระดาษทอง ลอดผ่านพายุหมุนอันเกรี้ยวกราดในสุสานและท้องฟ้าที่มีรอยแตกอันน่าหวาดกลัวเหล่านั้น ทำตามแนวทางที่เฉินฉางเซิงชี้แนะให้เมื่อครู่ บินฝ่าพายุทรายไปเกาะอยู่บนแผ่นหินผุๆ พังๆ และไม่มีอะไรโดดเด่นแผ่นนั้น แล้วจึงอ้าจะงอยปาก จากนั้น…หินดำก็ตกลงบนแผ่นป้ายอนุสรณ์อย่างแม่นยำ

คล้ายดวงดาวได้มาถึงสวนโจวที่ไม่เคยมีดวงดาวมาก่อน

มืดมนอย่างมาก และก็เงียบสงัดอย่างมากเช่นกัน

พลังอันแข็งแกร่งและเงียบสงบสายหนึ่งเปล่งออกจากแผ่นหิน

ถัดจากนั้น บนแผ่นหินผุพังก็ปรากฏแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นหนึ่งขึ้น