ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 65 อดีตของแผ่นป้ายอนุสรณ์และกระบี่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

พอหินสีดำก้อนนั้นตกลงบนแผ่นหิน แผ่นหินก็กลายเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สีดำ มันเปล่งพลังอันไกลโพ้นหากแต่เก่าแก่สายหนึ่งออกมา ก่อนจะค่อยๆ หลอมรวมกับพลังที่เปล่งออกจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สิบแผ่นนั้น การมาถึงของพลังทั้งหมด ทำให้ค่ายกลซึ่งซ่อนอยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กันคล้ายกับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ลึกลับซับซ้อนและสำคัญยิ่ง

รอบๆ สุสานสงบลง ผิวของเสาหินไม่หลุดร่อนอีก ผิวของแผ่นป้ายอนุสรณ์สีดำที่ปรากฏออกอบอวลไปด้วยดวงแสงอันขมุกขมัวและเยือกเย็น มีเส้นเล็กๆ อย่างน้อยหลายร้อยเส้นที่คลับคล้ายกับรอยแตกบนท้องฟ้า ลอยประดับอยู่ท่ามกลางเสาหินเหล่านี้

เส้นเล็กๆ ที่คล้ายรอยแตกบนท้องฟ้าซึ่งลอยอยู่ท่ามกลางเสาหินเหล่านี้ ที่จริงแล้วน่ากลัวอย่างมาก มืดมนดุจก้นเหวลึกอย่างไรอย่างนั้น สิ่งใดที่ลอยมาสัมผัสพวกมันจะถูกตัดขาดออกจากกันทันที หรือถ้าถูกรอยแตกเหล่านี้กลืนกินก็จะถูกส่งไปยังช่องว่างประหลาด แล้วล่องลอยอย่างเดียวดายไม่มีที่สิ้นสุดไปตลอดกาล ยังดีที่ตอนนี้พวกมันถูกพลังบางอย่างกักบริเวณไว้ ลอยไปไหนต่อไหนไม่ได้อีก

ในเสียงหวีดหวิวของพายุ ได้ยินเสียงร้องใสๆ ของวิหคน้อยดังมา เป็นเสียงร้องอย่างปีติยินดีและเต็มไปด้วยความสะใจที่ได้แก้แค้นสำเร็จ ชาติก่อนมันเป็นพาหนะของโจวตู๋ฟู เคยเห็นนายผู้แข็งแกร่งควบคุมแผ่นป้ายอนุสรณ์อหังการเหล่านี้กับตา ตอนนี้คล้ายเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมขึ้นอีก แล้วจะไม่ให้มันยินดีปรีดาได้อย่างไร?

เฉินฉางเซิงละสายตาจากรอยแตกบนท้องฟ้าเหล่านั้น หันมองเสาหินสิบเอ็ดต้นรอบๆ สุสาน พลางตรวจทานการคิดคำนวณอีกครั้งจากข้อสันนิษฐานของสวีโหย่วหรง ให้แน่ใจว่าค่ายกลนี้ควบคุมการระเบิดพลังที่ปรากฏขึ้นของแผ่นป้ายอนุสรณ์สวรรค์ ขณะเดียวกันก็ให้แน่ใจว่าความทรงจำของตนและความคิดที่ดูเหมือนน่าทึ่งนั่นไม่ผิด

ตอนเฉินฉางเซิงอยู่ในสุสานเทียนซูยามค่ำคืนและกำลังดูแผ่นป้ายอนุสรณ์สวรรค์สิบเจ็ดแผ่นแรกซึ่งรวมตัวกันเป็นดวงดาวกลุ่มหนึ่งนั้น ก็รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีบางส่วนหายไป ทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามธรณีประตูนั่นได้สักที กระทั่งสุดท้าย หินสีดำที่นำมาจากหอหลิงเยียนเปล่งแสงออก เสริมเข้าไปในกลุ่มดาวจนสมบูรณ์ เขาจึงตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ และบรรลุการบำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจี

แสงดาวพร่างพราวชะล้างสุสาน แต่เขาในตอนนั้นกลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ชัดเจนว่าโลกแห่งจิตวิญญาณของตนเกิดอะไรขึ้น ต่อมาจึงลืมประโยชน์ของหินสีดำไปเสียสนิท เหลือเพียงความทรงจำคลุมเครือเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ดีที่สุดท้ายเขายังนึกขึ้นได้ และพอทำการพิสูจน์ก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง

หินสีดำที่อยู่ข้างหลังภาพเหมือนหวังจือเช่อในหอหลิงเยียนก็คือ…แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นหนึ่ง

จนถึงตอนนี้ ความลับซึ่งถือว่าเป็นความลับใหญ่สุดของสุสานเทียนซูและสวนโจว หรือเป็นความลับใหญ่สุดของดินแดนต้าลู่ในรอบพันปีก็ว่าได้ ที่สุดแล้วก็ได้เผยโฉมอยู่ตรงหน้าเขาเกือบทั้งหมด ให้เขาได้เห็นความจริงบางอย่าง และได้รู้เรื่องราวระหว่างผู้กล้าไร้เทียมทานที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

ในอดีต โจวตู๋ฟูนำแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สิบสองแผ่นออกจากสุสานเทียนซู เรื่องนี้ย่อมทำให้ผู้คนแตกตื่น ใครต่อใครย่อมคิดไม่ออกว่าเขาทำได้อย่างไร และการที่เขาเก็บรักษาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เหล่านี้ไว้ได้ขณะอยู่นอกสุสานเทียนซูก็ยิ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่

แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เป็นของวิเศษจากสวรรค์ สิ่งที่อยู่ในตัวมันไม่เหมาะกับโลกของเรา เรียกได้ว่ามีพลังรุนแรงเกินไป พลังปราณและพลังงานเหล่านั้นมาจากโลกอื่น ที่คล้ายดาวอังคารทั้งหลาย ซึ่งเห็นป่าเขาลำเนาไพร แม่น้ำลำธาร มนุษย์ สรรพสัตว์ และสิ่งที่ดำรงอยู่บนโลกทั้งหมด เป็นกองฟืนกองหนึ่ง

เมื่อกองฟืนกับไฟบรรลัยกัลป์พบกัน จึงเกิดเปลวเพลิงนับไม่ถ้วน โชคดีที่ตอนคัมภีร์สวรรค์ตกลงบนโลก ธรรมชาติได้จำกัดขอบเขตของพวกมันไว้ ด้วยการหลอมรวมพวกมันให้เป็นหนึ่งเดียวกับพื้นดินในเขตหวงห้ามชนิดหนึ่ง ให้ความหนาของดินควบคุมพลังของพวกมันไว้ ดังนั้นตอนคัมภีร์สวรรค์ตกลงบนโลก พลังเหล่านี้จึงถูกรักษาไว้อย่างสงบในแผ่นป้ายอนุสรณ์ แต่พอออกจากสุสานเทียนซู พลังที่เข้ากันไม่ได้กับโลก ก็จะออกจากแผ่นป้ายอนุสรณ์ทันที แล้วจุดไฟเผาทุกอย่างบนโลก พลังจากบรรพกาลเหล่านี้ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่สำหรับโลกแล้ว มันคือการทำลายล้าง

ดังนั้น แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์จึงไม่สามารถออกจากสุสานเทียนซูได้

ทว่าโจวตู๋ฟูก็เลือกทำเช่นนั้น และยังทำสำเร็จด้วย แต่ก็มีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นหนึ่งหายไปโดยไม่รู้สาเหตุ เขาจึงนำที่เหลืออีกสิบเอ็ดต้นเข้ามาในสวนโจวซึ่งตัดขาดจากโลกภายนอก แม้ความสามารถของเขาเข้าใกล้คำว่ามหัศจรรย์ แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เก็บซ่อนพลังไว้ ไม่ให้พลังเหล่านั้นออกมาสัมผัสกับโลกที่แท้จริง ดังนั้นเขาจึงใช้ปัญญาจากพรสวรรค์และความคิดอันน่าตื่นตะลึง คิดวิธีการอันน่าทึ่งออกมาวิธีหนึ่ง…ให้แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ทั้งสิบเอ็ดต้นรวมตัวกันเป็นค่ายกลหนึ่ง

ค่ายกลนี้ลอกเลียนแบบเขตหวงห้ามของสุสานเทียนซูได้อย่างยอดเยี่ยม หรือพูดตรงๆ ก็คือ สุสานเทียนซูขนาดเล็กนั่นเอง…การที่สวีโหย่วหรงสามารถมองความเกี่ยวข้องของเสาหินเหล่านี้ออกในระยะเวลาอันสั้น มองวิธีการอันน่าทึ่งของโจวตู๋ฟูได้ทะลุปรุโปร่ง ก็เพราะนางศึกษาประวัติความเป็นมาของสุสานเทียนซูและแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มาแต่เด็ก

โจวตู๋ฟูอาศัยค่ายกลชนิดนี้ทำให้พลังในแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่นำออกมาจากสุสานเทียนซู ไหลเวียนในวงจรพลังอย่างไม่สิ้นสุด จนเกิดเป็นโลกใบใหม่ อาศัยความสมดุลที่ดูเปราะบางชนิดนี้ หยุดยั้งการทำลายล้างโลก และเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาทำลายสมดุลนี้ เขาจึงทิ้งสัตว์อสูรที่น่ากลัวไว้มากมายในทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล

ถ้าเรื่องเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือหลังจากโจวตู๋ฟูเสียชีวิตลง วันเวลาผันผ่านไปพร้อมๆ กับกฎเกณฑ์ในสวนโจวค่อยๆ เสื่อมลง สุสานทรุดโทรม แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในเสาหินสิบเอ็ดต้นยังคงไม่มีใครค้นพบ พวกมันจึงได้แต่ตากลมตากฝนอยู่เงียบๆ ตราบนิจนิรันดร

แต่ไม่มีอะไรในโลกที่เป็นนิรันดร ความจริงก็คือ หลังจากโจวตู๋ฟูขโมยแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ออกจากสุสานเทียนซูได้ไม่กี่ปี ก็มีชายผู้หนึ่งแอบเข้าไปในสวนโจว และทำให้เสาหินเหล่านี้ตื่นตัว ถ้าพูดถึงลำดับขั้นบำเพ็ญเพียรและกำลังการต่อสู้ ชายผู้นี้ย่อมสู้โจวตู๋ฟูไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงด้านอื่นๆ ในสายตาของผู้คน เขาย่อมเจนจัดกว่าโจวตู๋ฟู

ชายผู้นั้นมีนามว่า หวังจือเช่อ

หรือเป็นเพราะได้รับพระบัญชาจากจักรพรรดิไท่จงให้มาสืบหาการหายไปของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ หรือเป็นเพราะต้องการพิสูจน์การคาดเดาอะไรบางอย่างของตน หวังจือเช่อจึงเข้ามาในสวนโจว จากนั้นไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร ถึงได้นำแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่อยู่ในเสาหินต้นหนึ่งออกมาได้ ที่ประหลาดมากก็คือสามารถทำให้แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นนั้นกลายเป็นหินสีดำก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง

โจวตู๋ฟูย่อมรู้เรื่องนี้ และรู้ว่าจะมีปัญหาต่างๆ เกิดตามมา

แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สิบเอ็ดแผ่น หายไปหนึ่งแผ่น หมายความว่าค่ายกลที่เป็นชีวิตจิตใจทั้งหมดทั้งมวลของเขาถูกทำลายลง

สวนโจวในตอนนั้น คิดว่าคงเหมือนกับตอนนี้ เต็มไปด้วยเสียงหวีดหวิวที่เกิดจากพลังทำลายล้างของพายุหมุน

โจวตู๋ฟูย่อมสามารถอาศัยพลังอันไร้เทียมทานของตน ตรึงพลังของแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไม่ให้ระเบิดออก แต่ก็เหมือนช่วงแรกที่ว่า เขาไม่สามารถอยู่กับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไปชั่วนิจนิรันดร์ ฉะนั้นเขาต้องซ่อมแซมค่ายกลนั้น พูดอีกอย่างก็คือ ต้องไปหาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มาอีกหนึ่งแผ่น

เห็นชัดว่า นิกายหลวงกับราชวงศ์ต้าโจวมีประสบการณ์มาครั้งหนึ่งแล้ว ไม่มีทางให้โอกาสนี้กับเขาอีก บางที ในตอนที่เขากำลังนั่งครุ่นคิดอยู่ในสุสาน ได้เห็นกระบี่ที่ไม่ยอมศิโรราบเล่มหนึ่งในเวิ้งน้ำทุ่งหญ้า อาจเป็นกระบี่มังกรครวญของเฉินเสวียนป้า หรือไม่ก็กระบี่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของสถานศึกษาหนานซี ทำให้เขานึกถึงวิธีหนึ่งขึ้นมาได้

เมื่อการหาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นหนึ่งเป็นเรื่องยาก เช่นนั้นก็หาอะไรมาแทนที่ก็แล้วกัน

แน่นอน สิ่งที่จะมาแทนที่ต้องแข็งแกร่งพอ มีพลังพอๆ กับแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์

สิ่งที่โจวตู๋ฟูเลือกมาแทนที่ก็คือเจตจำนงกระบี่

เขาใช้เจตจำนงหมื่นกระบี่มาแทนที่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นนั้น

เช่นนี้ สวนโจวจึงค่อยๆ กลับสู่ความสงบนิ่ง

ทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

ไม่มีใครพบเจอสุสานอีก ยิ่งไม่มีใครสามารถพบเจอความลับในเสาหินเหล่านี้ได้

กระทั่งหลายปีต่อมา วิญญาณกระบี่เล่มหนึ่งแยกตัวออก ตัวกระบี่ไหลไปตามเวิ้งน้ำในทุ่งหญ้า ผ่านทะเลสาบเล็กๆ ไปยังโลกอีกด้านของสวนโจว ลอยไปตามสระเยือกเย็น ถูกพัดขึ้นริมฝั่งแม่น้ำในป่าลึก ถูกซูหลีเก็บได้ แล้วเวิ่นสุ่ยก็มีร่มเพิ่มมาคันหนึ่ง ร่มคันนั้นตอนนี้อยู่ในมือเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงนำร่มกระดาษทองกลับมาที่สวนโจว สำหรับเจตจำนงกระบี่หมื่นวิถีแล้ว นี่คือการกลับมาของพวกมัน เมื่อไม่มีเจตจำนงกระบี่หมื่นวิถีตรึงไว้ ค่ายกลก็พังทลายลง เมื่อแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ปรากฏ ก็เริ่มทำลายล้างฟ้าดิน แต่ใครๆ ก็คิดไม่ถึงว่าเขานำแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่ตกหล่นอยู่ด้านนอกกลับมาด้วย ซึ่งนี่ก็คือการกลับมาอย่างแท้จริงของสวนโจว

นี่อาจเป็นเรื่องราวในตอนนั้น และแน่นอน มันเป็นเพียงการคาดเดาของเฉินฉางเซิง ซึ่งเขาในตอนนี้ก็ยังไม่รู้ความลับที่แท้จริงของร่มกระดาษทอง เรื่องราวที่เขาจินตนาการขึ้น ยังมีรายละเอียดอีกมากที่ไม่ชัดเจน เช่น เหตุใดหวังจือเช่อจึงนำแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ออกไปเพียงแผ่นเดียว? เพราะเขามีพลังจำกัด หรือเพราะเขาไม่ได้คิดตามหาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ แต่ต้องการทำลายค่ายกลเพื่อที่จะทำลายสวนโจว กระทั่งใช้วิธีนี้ต่อกรกับโจวตู๋ฟู?

ไม่มีใครรู้ว่าตอนนั้นหวังจือเช่อคิดเช่นไร และไม่มีใครรู้ว่าตอนนั้นในสวนโจวเกิดการต่อสู้ที่สะเทือนเลือนลั่นฟ้าดินหรือไม่ ตามบันทึกประวัติศาสตร์ หวังจือเช่อกับโจวตู๋ฟูไม่เคยต่อสู้กัน ตามตำนานพื้นบ้าน พวกเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน แต่ใครจะรู้เล่า? เหล่าผู้กล้าที่เคยบุกตะลุยดินแดนต้าลู่ เหล่าผู้อาวุโสที่เป็นดาวเด่นของเมืองจิงตู พวกเขามีรูปแบบการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างไร มีรูปแบบการต่อสู้กันอย่างไร เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เฉินฉางเซิงในตอนนี้สามารถเข้าใจได้ กระทั่งไม่ใช่เรื่องที่เขาสามารถจินตนาการได้

……

……

วิหคน้อยบินผ่านท้องฟ้าที่มีรอยแตกร้าวน่ากลัว กลับมาที่หน้าประตูสุสาน

เฉินฉางเซิงมองตามันโดยไม่พูดไม่จา มันก็เข้าใจ จึงมีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมา ในใจคิด นี่เป็นการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง เมื่อข้าปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้น ไยต้องช่วยเจ้าต่อด้วย? อีกอย่าง เห็นท่าทางนางก็รู้แล้วว่าไม่ขยับไปไหนแน่ แล้วถ้าข้าบินออกไปไม่ทันล่ะ จะทำอย่างไรดี? ใช่แล้ว ไม่น่าจะทันหรอก

ผิวของเสาหินเหล่านั้นไม่หลุดร่อนแล้ว แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ไม่เปล่งแสงแล้ว พลังจากบรรพกาลกลับเข้าไปในส่วนลึกของหินสีดำ แต่โลกในสวนโจวมีสภาพเละเทะมาก พลังพายุยังคงทำลายล้างทุ่งหญ้าและภูเขา ที่น่ากลัวที่สุดคือ แผ่นฟ้ายังคงร่วงลงไม่หยุดหย่อน สัตว์อสูรทั้งหลายในทุ่งหญ้าคล้ายรู้สึกถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย จึงวิ่งตะบึงมายังสุสานอันห่างไกล แต่ภูเขาในบริเวณนั้นก็ถล่มลงอีก ใครจะรู้บ้างว่าก่อนโลกล่มสลาย พวกมันจะสามารถหนีออกมาได้หรือไม่?

เฉินฉางเซิงหันมองสวีโหย่วหรง

นางรู้สึกว่าด้านนอกเกิดการเปลี่ยนแปลง ดวงตาที่จ้องมองเขาจึงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

ค่ายกลที่โจวตู๋ฟูสร้างขึ้นจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สิบเอ็ดต้นนั้น นางมองออกและบอกวิธีแก้ปัญหาให้กับเฉินฉางเซิง แต่ที่นางคิดไม่ถึงก็คือ เฉินฉางเซิงสามารถแก้ปัญหาได้จริงๆ จึงทำให้นางตื่นตะลึง กระทั่งงุนงงว่าเหตุใดเขาถึงมีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์อยู่หนึ่งแผ่น? แต่พูดไปก็ไม่ทันการณ์ นางจึงไม่ได้พูดอะไร

แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เงียบสงบลง พวกเขาต้องรีบออกไปจากที่นี่ ออกไปด้วยกัน

แต่เฉินฉางเซิงกลับไม่คิดเช่นนี้ เขามองดูสวนโจวที่ใกล้ล่มสลายเต็มที พลางว่า “เจ้าไปก่อน”