ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 66 ฟ้าจะถล่มแล้ว ต้องมีคนค้ำยันไว้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“เพราะอะไร?” สวีโหย่วหรงหน้าซีด

“ประตูสวนโจวกำลังจะเปิด” เฉินฉางเซิงเหลือบมองวิหคน้อยพลางพูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง

สวนโจวเปิดขึ้นอีกครั้ง ย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่น้ำเสียงเขากลับไม่มีวี่แววปีติยินดีอะไร เพราะการล่มสลายยังคงดำเนินอยู่ เขาทำตามวิธีของสวีโหย่วหรง ให้หินสีดำกลายเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ หยุดยั้งการล่มสลายที่กำลังจะมาถึง แต่เท่านี้ยังไม่พอ… ภูเขาหิมะเริ่มถล่ม ปฐมพลังอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดินกลับสู่ความสงบดังเดิม แต่หิมะบนภูเขาค่อยๆ เลื่อนไหลลงมาเรื่อยๆ ใครจะหยุดยั้งปรากฏการณ์เหล่านี้?

พลังพายุรุนแรงสายหนึ่งเคลื่อนตัวมาถึงหน้าสุสาน พร้อมเสียงแตกร้าวอันน่ากลัวกว่าสิบครั้ง พื้นดินสุสานเริ่มสั่นไหวรุนแรง ก้อนหินขนาดใหญ่หลายก้อนจากด้านบนของทิศตะวันตกเฉียงใต้ร่วงหล่นลง ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มที่แตกร้าวเปลี่ยนเป็นมืดหม่นลง อีกทั้งยังมีชิ้นส่วนของท้องฟ้าอีกมากมายปลิวกระจายไปทั่วในพายุหมุน โดยไม่รู้ว่าจะตกลงบนทุ่งหญ้าเมื่อใด สวนโจวในระยะไกลเห็นกระแสอัคคีลุกลามเป็นทางยาว เต็มไปด้วยควันสีดำและเปลวเพลิง สัตว์อสูรหนีตายกันจ้าละหวั่น คลับคล้ายได้ยินเสียงร้องครวญครางและเสียงโหยหวนมากมาย โลกใบนี้กำลังล่มสลาย

สวีโหย่วหรงจ้องตาเขา… นางไม่มีแรงยกมือขึ้นจับปกเสื้อของเขา แต่ความหมายก็ประมาณนี้… ที่แน่ๆ นางเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า ต่อให้แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เหล่านี้กลับสู่ความสมดุลอีกครั้งก็ไม่มีประโยชน์ สวนโจวได้เข้าสู่ขั้นตอนการล่มสลายแล้ว แต่ถ้าประตูสวนโจวกำลังจะเปิดในไม่ช้า ทำไมถึงไม่ออกไปด้วยกัน ทำไมต้องให้ข้าไปก่อน?

“ฟ้าจะถล่มแล้ว” เขาจ้องตานาง พลางพูดอย่างจริงจัง

“แล้วอย่างไร?” นางจ้องตาเขา พลางถามอย่างจริงจัง

“ถ้าไม่มีใครค้ำยันเอาไว้ คนทั้งหมดอาจออกไปไม่ทัน”

เฉินฉางเซิงหันไปหยิบร่มกระดาษทองมาถือไว้ในมือ แล้วหันบอกนาง “ข้าต้องอยู่ที่นี่ คิดหาวิธีค้ำยันไว้สักระยะ”

เสียงของสวีโหย่วหรงสั่นเครือเล็กน้อย คล้ายน้ำในทะเลสาบถูกสายฝนทำให้ตกใจ “เจ้าหรือ? จะทำ…อย่างไร?”

เจ้าจะทำได้อย่างไร? หรือเจ้าจะทำอย่างไร? ไม่รู้ว่าประโยคนี้ของนางแท้จริงแล้วคือความหมายใด

เฉินฉางเซิงมองนางพลางพูดจากใจจริง “ข้าจะทำเท่าที่ทำได้”

เมื่อแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์กลับคืนสู่สวนโจว ค่ายกลกลับสู่ความสงบดังเดิม ทำให้ยืดเวลาอันมีค่าในสวนโจวออกไปได้อีกสักระยะ ถ้าดูจากความเร็วในการทำลายล้าง และถ้าผู้คนที่อยู่ด้านนอกหาทางเปิดประตูสวนโจวไม่ทัน เมื่อท้องฟ้าถล่มลง สัตว์อสูรที่ใช้ชีวิตอยู่ในนี้และผู้คนหลายร้อยคนที่เข้ามาบำเพ็ญเพียรในสวนโจว ล้วนต้องเสียชีวิตในกระแสอัคคีที่ลุกโหมไปทั่วอย่างแน่นอน

ถ้าสวนโจวล่มสลาย และสรรพชีวิตต้องตายลงเช่นนี้ สาเหตุโดยตรงย่อมเกิดจากการที่เขานำกระบี่ทั้งหมดในสระกระบี่ออกมา… ยังไม่ต้องพูดถึงแผนร้ายของพวกมาร หรือการวางหมากอันแยบยลของคนชุดดำ ยังไม่ต้องสนใจการที่เขากับนางช่วยเหลือซึ่งกันและกันจนมาถึงส่วนลึกของทุ่งหญ้า ยังไม่ต้องพูดถึงการเรียกร้องของร่มกระดาษทองกับเจตจำนงกระบี่เล่มนั้น สรุปแล้วเรื่องราวเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากเขา เช่นนั้นก็ต้องให้เขาเป็นผู้แก้ไข

เขาเคยคิดว่า ถ้าไม่สามารถหยุดยั้งการล่มสลายของสวนโจว ก็จะลองใช้กระบี่สั้นนำพาผู้คนที่มาบำเพ็ญเพียรในสวนโจวและสัตว์อสูรส่วนหนึ่งออกไป แต่ปัญหาก็คือ ที่ว่างในกระบี่สั้นมีจำกัด และส่วนหนึ่งได้รองรับกระบี่พิการหมื่นเล่มไปแล้ว ไม่สามารถเก็บอะไรได้มากนัก เชื่อว่าศาสตราแห่งช่องว่างที่สวีโหย่วหรงพกติดตัวมาก็เป็นเช่นเดียวกัน

สิ่งที่เขาทำได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือ ทำให้อัตราการทำลายล้างในสวนโจวช้าลง เพื่อให้ผู้คนมีเวลาพอที่จะหนีออกไป และทำตามคำขอของวิหคน้อย ช่วยสัตว์อสูรที่ใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งหญ้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นเขาจึงต้องอยู่ต่อ โดยหวังว่าจะสามารถยันไว้ได้สักพัก ยืดเวลาออกไปอีกสักระยะ

แต่ว่า…เพื่ออะไรล่ะ? สวีโหย่วหรงยังไม่ทันได้ถามคำถามนี้ ก็ถูกวิหคน้อยจับไหล่ทั้งสองข้าง นำนางบินออกไปยังท้องฟ้านอกสุสาน

วิหคน้อยบอกว่ามันสามารถพาออกไปได้เพียงคนเดียว เฉินฉางเซิงยังไม่ทันตัดสินใจ ก็เห็นมันพานางบินออกไปไกลเสียแล้ว

รอบๆ สุสานพายุโหมกระหน่ำ สวีโหย่วหรงอ่อนแออย่างยิ่ง จึงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่มองดูเขายืนอยู่ในสุสาน นางตั้งใจมองมาก คล้ายคิดจดจำใบหน้าเขาไว้ในความทรงจำ พอเห็นร่างของเขาในสุสานเล็กลงเรื่อยๆ นางก็ตะโกน “สวีเซิง เจ้าคนซื่อบื้อ”

ลมแรงมาก กว่าเสียงของนางจะแหวกอากาศมาถึงสุสานก็แทบจะไม่ได้ยิน แต่เฉินฉางเซิงได้ยิน จึงตะโกนกลับ ทว่าความแรงของลมในเวลานี้ทำให้นางไม่ได้ยิน

“ข้าไม่ได้ชื่อสวีเซิง ข้าชื่อเฉินฉางเซิง”

พูดจบเขาก็หันกาย วิ่งขึ้นด้านบนของสุสาน สุสานใหญ่มาก จากหัวถนนเสินหน้าประตูสุสานถึงจุดที่สูงที่สุดกินระยะทางหลายพันจั้ง อีกทั้งก้อนหินที่ใช้สร้างสุสานก็มีขนาดใหญ่ ทำให้ปีนยากมาก ดีที่เขามีพลังและความเร็วเหนือคนธรรมดา จึงใช้เวลาไม่มากในการขึ้นมาถึงด้านบนสุดของสุสาน

เขายืนอยู่บนก้อนหินตรงจุดสูงสุดของสุสาน มองดูกระแสอัคคีที่ลุกลามอย่างต่อเนื่องในจุดที่ไกลออกไป มองดูควันดำและผืนป่าที่ถูกแผดเผา มองจนคล้ายกับว่าท้องฟ้าที่แตกร้าวกำลังจะถล่มลงตรงหน้า เขากระชับกระบี่ในมือให้มั่น… ฟ้ากำลังจะถล่มลงมาแล้วจริงๆ

เมื่อก่อนลั่วลั่วเคยพูดประโยคที่เต็มไปด้วยความรู้สึกกับเขาประโยคหนึ่ง

ประโยคซึ่งจักรพรรดิขาวเคยพูดกับนาง ‘เมื่อฟ้าถล่มลง จะมีร่างกายที่สูงใหญ่ค้ำยันแทนเจ้า’

ตอนนี้เขาอยู่ในจุดสูงสุดของสุสาน และเป็นจุดที่สูงที่สุดในสวนโจว สูงกว่ายอดเขาอัสดง ใกล้กับท้องฟ้ามากสุด ไกลจากพื้นดินมากสุด ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเป็นชายร่างกายที่สูงใหญ่ที่สุดในสวนโจวคนนั้น

ฟ้าถล่มแล้ว แน่นอนว่าเขาควรเป็นผู้ที่ค้ำยันมันไว้ นี่ไม่เกี่ยวกับประโยคที่ว่าพลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง เพราะเขาคิดว่าเดิมทีนี่ก็คือความรับผิดชอบของเขา และเขาก็มีพลังนี้พอดี… ใครใช้ให้เขามาอยู่ในสุสาน พร้อมร่มหนึ่งคันในมือ และมีกระบี่หมื่นเล่มในฝักอย่างพอดิบพอดีเช่นนี้กันเล่า?

เขาสลับมือที่ถือร่มกระดาษทองกับกระบี่สั้น เสียงฉึกดังขึ้นคราหนึ่ง กระบี่สั้นอันคมกริบแทงลึกเข้าไปในก้อนหิน ช่วยให้เขายืนนิ่งได้ในพายุ จากนั้นเขาก็ยื่นร่มกระดาษทองไปยังแผ่นฟ้าที่ส่ายไปส่ายมาใกล้ถล่มลงเต็มที เสียงพรึ่บดังขึ้นอีกหนึ่งครา ร่มกระดาษทองถูกกางออกในพายุ กลายเป็นดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กๆ ที่สั่นไหวน้อยๆ ดอกหนึ่ง คล้ายสามารถถูกพายุหมุนบดขยี้ได้ทุกเมื่อ

ร่มกระดาษทองเป็นศาสตราวิเศษที่มีพลังปกป้องแข็งแกร่งสุดในโลกก็ว่าได้ เมื่อรวมกับเจตจำนงกระบี่ที่อหังการคับฟ้าเล่มนั้น หากตกอยู่ในมือของผู้ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานจริงๆ แล้วล่ะก็ ต้องเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าบาดตามากออกมา แต่… ยังคงไม่สามารถค้ำยันท้องฟ้าทั้งผืนด้วยร่มเพียงคันเดียว แม้จะเป็นท้องฟ้าในโลกใบเล็กของสวนโจวก็ตาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าตอนนี้ร่มกระดาษทองอยู่ในมือเขา ผู้บรรลุขั้นทะลวงอเวจี ซึ่งไม่ธรรมดาในหมู่คนรุ่นใหม่ก็จริง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าท้องฟ้าผืนนี้ เขากลับเหลือตัวเล็กนิดเดียว

ได้โปรดออกมาช่วยข้าเถิด เฉินฉางเซิงพูดในใจ

นี่เป็นหน้าที่ของเขา ดังนั้นเขาต้องค้ำยันไว้ให้ได้ นี่ก็คล้ายเป็นหน้าที่ของกระบี่เหล่านั้นเช่นเดียวกัน แต่กระบี่เหล่านั้นเดิมทีถูกบังคับให้อยู่ในสวนโจว ดังนั้นเขาจึงใช้คำว่า ‘ได้โปรด’

ไม่มีการหยุดชะงักใดๆ เป็นไปตามความคิดของเขา รอบท้องฟ้าบนก้อนหินขนาดใหญ่ในจุดสูงสุดของสุสานทั้งสี่ทิศ เสียงร้องแหลมเล็กของกระบี่จำนวนมากดังขึ้น พร้อมกันกับที่พายุกระบี่อันทรงพลังหลายสายปรากฏขึ้น สยบพายุหมุนอันเกรี้ยวกราดในสวนโจวลงได้ในพริบตา

กระบี่หลายเล่มพุ่งออกจากฝักข้างเอวของเขา!

ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว! กระบี่เหล่านี้พุ่งผ่านขอบร่มกระดาษทองไป จากนั้นก็กระจายตัวออกอย่างรวดเร็ว คล้ายกับดอกไม้ไฟ

กระบี่หมื่นเล่มกลายเป็นแสงกระบี่หลายสิบสาย พุ่งออกจากยอดสุสาน ไปยังท้องฟ้า คล้ายกับก้านร่ม

นี่เป็นร่มขนาดมหึมาที่มีความกว้างหลายพันลี้

เป็นร่มที่เฉินฉางเซิงกางออก เพื่อค้ำยันท้องฟ้าที่กำลังจะถล่มลง