ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 67 จากสวนโจวถึงที่ราบหิมะ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ร่มขนาดมหึมาที่สร้างขึ้นจากกระบี่ กำบังสวนโจวจากท้องฟ้า ป้องกันไม่ให้ชิ้นส่วนที่หล่นจากท้องฟ้าตกถึงพื้นดินแล้วกลายเป็นกระแสอัคคี ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านี้ไม่ควรมีน้ำหนัก แต่พอตกลงบนร่ม ก็คล้ายมีน้ำหนักไม่จำกัดเสียอย่างนั้น ทว่าก็ได้ยินเพียงเสียงเปรี๊ยะแผ่วเบา เท้าทั้งสองข้างของเฉินฉางเซิงจมลึกลงไปในหินแข็ง เห็นรอยแตกเส้นเล็กๆ หลายเส้นอยู่โดยรอบ กางเกงกลายเป็นเศษผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตา

จากนั้น ร่างของเขาก็สั่นอย่างรุนแรงขึ้นมา น้ำหนักที่ยากคาดเดากับแรงกดดัน ถูกส่งผ่านกระบี่หมื่นเล่มมายังร่างของเขา ทำให้กระดูกทุกชิ้นในร่างส่งเสียงดังกุกกักจนอาจแตกหักได้ทุกเมื่อ

เสียงปริแตกอันน่ากลัวของก้อนหินดังอย่างต่อเนื่อง เท้าทั้งสองข้างของเขาจมลงไปในก้อนหินเรื่อยๆ จนก้อนหินแตกออกในที่สุด ทำให้เขาแทบค้ำยันต่อไม่ไหว พอเข่าซ้ายหัก และต้องคุกเข่าลง หัวเข่าก็กระทบกับก้อนหินอย่างแรง จนก้อนหินแหลกเป็นจุณ ฝุ่นละอองฟุ้งไปทั่ว

ได้ยินเพียงเสียงตูมดังกึกก้องจากด้านล่าง ฝุ่นธุลีมหึมาตลบอบอวล ค่อยๆ ลอยปกคลุมบริเวณใกล้เคียงทุ่งหญ้าและพื้นที่ที่หญ้าสีขาวเคยงอกเงย สุสานเริ่มสั่นไหว จากนั้นพื้นที่ทั้งหมดของสุสานก็จมลงในระยะเวลาอันสั้น!

นี่ก็คือน้ำหนักของท้องฟ้า

เฉินฉางเซิงคุกเข่าข้างเดียวอยู่ส่วนบนสุดของสุสาน ใต้ท้องฟ้า ใบหน้าเขาซีดขาวลงเรื่อยๆ ด้วยรู้สึกเจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายที่เคยอาบโลหิตมังกรแท้ พูดได้ว่าแข็งแกร่งปานเหล็กไหล แม้ขนนกยูงของหนานเค่อ ก็ไม่อาจทำลายเกราะป้องกันชั้นนอกของเขาได้ แต่เมื่ออยู่ใต้แผ่นฟ้าที่ทั้งบริสุทธิ์และหนักหน่วงจนน่ากลัว แม้ร่างของเขาเป็นเหล็กไหลจริงๆ ก็ดูเหมือนกำลังจะถูกบดขยี้จนกลายเป็นเศษเหล็กอยู่รอมร่อ

ยังดีที่มันไม่ใช่ท้องฟ้าจริงๆ เป็นเพียงเป็นชิ้นส่วนของท้องฟ้าที่ถูกพลังพายุฉีกขาดลงมา แม้รู้สึกเจ็บปวดมากจนวิญญาณเทพเสี่ยงต่อการถูกบดขยี้จนแหลก แต่ที่สุดแล้วเขาก็ยังค้ำยันต่อได้ จนร่างกายไม่สั่นอีก

เสาหินทั้งสิบเอ็ดต้นรอบสุสานสงบนิ่งแล้วจริงๆ ระหว่างศิลาจารึกสีดำคล้ายมีพลังบางอย่างไหลเวียนอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะหินสีดำที่หวังจือเช่อเก็บเอาไว้ก้อนนั้น ไม่ว่าเขา หรือสวีโหย่วหรง หรือคนที่มาบำเพ็ญเพียรในสวนโจว และสัตว์อสูรทั้งหลาย ล้วนไม่มีทางเป็นเหมือนตอนนี้ได้ อย่างน้อยก็ยังรักษาลมหายใจเฮือกสุดท้ายเอาไว้ได้

เขาคุกเข่าอยู่บนจุดสูงสุดของสุสาน มือซ้ายถือร่มกระดาษทอง มือขวาจับกระบี่สั้นที่แทงลงไปในหิน จึงลำบากพอควรกว่าจะเงยหน้าขึ้นมาได้ เขามองไปยังที่ที่ไกลออกไป หวังว่าลมหายใจเฮือกนั้นได้มาถึงแล้ว

ท้องฟ้าที่แตกร้าวเดิมทีก็มืดครึ้มอยู่ ยามนี้พอถูกกระบี่หลายเล่มบดบัง โลกในสวนโจวพลันมืดมนลงทันที ฟ้าดินหยุดล่มสลายชั่วคราว แต่พายุหมุนในทุ่งหญ้ายังคงหมุนอยู่ จะเห็นได้ว่าสัตว์อสูรมากมายวิ่งตะบึงมาอยู่ริมทุ่งหญ้า และจะเห็นได้ว่าป่าที่ถูกแผดเผาในระยะไกล คลับคล้ายว่ามีพลังปราณกำลังเคลื่อนออกอย่างรวดเร็ว หรือมีคนออกไปบ้างแล้ว?

จากนั้น สายตาของเขาก็มองทะลุพายุทรายไปยังที่ที่ไกลออกไป เหมือนจะเห็นวิหคน้อยตัวหนึ่งจับหญิงสาวเอาไว้พลางบินออกจากทุ่งหญ้า ก่อนหายไปในเทือกเขาตรงขอบฟ้า

เจ้าต้องรอดชีวิต และมีชีวิตที่ดีต่อไป

เขาคิดเงียบๆ ในใจ

ประตูสวนโจวน่าจะเปิดแล้ว ผู้คนที่เข้ามาบำเพ็ญเพียรกำลังออกไป สัตว์อสูรเหล่านั้นก็น่าจะหนีออกไปได้เช่นกัน แต่เขากลับไปไหนไม่ได้ เพราะพอเขาเก็บกระบี่หมื่นเล่ม ท้องฟ้าก็จะถล่มลงทันที จากนั้นก็จะอัดทับเขาเข้ากับสวนโจวจนกลายเป็นไอสีเขียว

พายุหมุนในทุ่งหญ้ายังคงรุนแรง หัวเข่าของเขาจมลึกลงไปในก้อนหินที่อยู่บนสุดของสุสาน อ่อนล้าจนศีรษะตกลง รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของตนคงคล้ายวีรบุรุษชื่อดังผู้มีชีวิตอันน่าเศร้าในตำนานเทพของสำนักฝึกหลวง

วีรบุรุษผู้ใช้พลังทั้งหมดในร่างยันก้อนหินขนาดใหญ่ที่กลิ้งลงมาตามทางขึ้นภูเขาอันสูงชัน ถ้าเขาผ่อนแรงลงเพียงเล็กน้อย ย่อมต้องถูกก้อนหินบดอัดจนถึงแก่ชีวิต จึงได้แต่ค้ำยันทั้งวันทั้งคืน อุทิศชีวิตให้กับกระบวนการต้านทานก้อนหินอย่างไม่สิ้นสุดตลอดไป

เฉินฉางเซิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าสภาวะสิ้นหวังเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง เขาไม่อยากเป็นวีรบุรุษจากโศกนาฏกรรม และไม่มีความคิดที่จะเสียสละชีวิตเพื่อผดุงคุณธรรม เขามิได้ยิ่งใหญ่เช่นนั้น เขาเพียงคิดที่จะมีชีวิตอยู่ และหวังให้อีกหลายๆ คนมีชีวิตอยู่เช่นกัน

อย่างเช่นคนที่เขารู้จัก คนที่เขาใส่ใจ

เจ๋อซิ่ว ถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็อยู่ต่อไปเถิด ชีเจียน เจ้าก็ควรมีชีวิตอยู่ต่อ ยังมีคนที่เพิ่งหายไปในเทือกเขา คนที่มีนามสกุลเดียวกับตน อีกทั้งยังเป็นหญิงสาวเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่มีนามอันไพเราะ…แม่นางชูเจี้ยน เจ้าต้องมีชีวิตที่ดีต่อไป

แล้วตัวเขาเองล่ะ ควรทำอะไรเป็นลำดับต่อไป? เขาเพิ่งบอกสวีโหย่วหรงว่าจะทำเท่าที่ทำได้ แท้จริงแล้วประโยคนี้แปลว่าไม่รู้จะทำอย่างไรดีต่างหาก แต่เขาก็คิดจริงๆ ว่าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ตนรอคอยว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่

ในตำนานเทพของสำนักฝึกหลวง วีรบุรุษชีวิตโศกเศร้าชื่อดังผู้นั้น ผู้ที่สุดท้ายต้องอุทิศชีวิตวัยหนุ่มเพื่อยันหินก้อนนั้นไว้ชั่วนิจนิรันดร์ จนกระทั่งความสิ้นหวังแปรเปลี่ยนเป็นรูปสลักหิน เนื่องจากในช่วงเวลาอันยาวนานนี้ ไม่มีใครสักคนยินยอมไปช่วยเหลือเขา เพราะเขาเป็นคนที่มีนิสัยยโสโอหัง ไม่เคยช่วยเหลือคนธรรมดาที่มีฐานะต่ำต้อยมาก่อน

ส่วนเฉินฉางเซิงนั้น แม้มักทำให้ผู้คนพูดไม่ออกอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเขาเป็นคนยโสโอหัง คำว่ามั่นใจในตนเองกับยโสโอหังมิใช่คำเหมือน และที่ผ่านมาเขาคอยช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ดังเช่นตอนนี้ที่กำลังช่วยผู้คนที่มาบำเพ็ญเพียรในสวนโจวให้หนีรอดปลอดภัย

ผู้รู้แจ้ง ต้องช่วยเหลือผู้คนอย่างสม่ำเสมอ

ผู้แข็งแกร่งเช่นใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาแห่งสำนักฝึกหลวง ยังมีจูลั่วผู้ร่ำสุราโดดเดี่ยวใต้แสงจันทร์ ล้วนกำลังอยู่หน้าประตูสวนโจว ขอเพียงเขายืนหยัดต่ออีกสักระยะ คนเหล่านี้ต้องมาช่วยเขาแน่

เฉินฉางเซิงคิดเช่นนี้

เพียงแต่ สุดท้ายแล้วจะยันได้ถึงเมื่อไหร่? ต้องยืนหยัดอีกนานเท่าใด?

น้ำหนักอันน่ากลัวของท้องฟ้า ทำให้เขาเจ็บปวดไปทั่วร่าง เวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้มือซ้ายที่ถือร่มของเขารู้สึกหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ จวบจนแขนของเขาค่อยๆ หมดความรู้สึก คล้ายพิการไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เสียงของมังกรดำในกระบี่สั้นที่เขาแทงลงไปในหินก้อนบนสุดของสุสานก็ดังขึ้น “เจ้า…เป็นอย่างไรบ้าง?”

เฉินฉางเซิงก้มศีรษะตอบ “เจ้าล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง?”

เขากลับเป็นห่วงสภาพของมันในตอนนี้แทน ด้วยก่อนหน้านี้เพราะต้องการกำราบมหาวิหคปีกทอง จึงทำให้วิญญาณล่องลอยของมังกรดำตื่นขึ้นในทะเลสาบนอกดินแดนลี้ลับ แล้วเข้ามาในกระบี่สั้น จากนั้นเขาก็ไม่มีเวลาทำการสื่อสารใดๆ กับมันอีก

มังกรดำเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วว่า “ยังดี”

เฉินฉางเซิงจึงตอบ “ข้าก็ยังดี ยังสามารถ…ค้ำยันต่อได้อีกสักระยะ”

มังกรดำว่า “ข้าฟังออก นี่เป็นวาจากำกวมของมนุษย์อย่างพวกเจ้า แต่เจ้าก็รู้ว่าสำหรับภาษามังกรแล้ว ศิลปะเช่นนี้หรือขั้นตอนอันซับซ้อนเช่นนี้ แท้จริงแล้วน่าสมเพชยิ่งนัก”

เฉินฉางเซิงพูดอย่างอ่อนล้า “พูดเรื่องอื่นได้ไหม?”

มังกรดำว่า “อืม มีเรื่องหนึ่งที่เหมือนกับว่าเจ้าจะยังไม่รู้ ข้ากำลังอยู่คิดว่าควรบอกเจ้าดีหรือไม่…”

เฉินฉางเซิงว่า “ไม่ต้องก็ได้”

เสียงของมังกรดำเปลี่ยนเป็นระมัดระวังขึ้น “เจ้า…จะตายไหม?”

“ไม่หรอก” เฉินฉางเซิงตอบโดยไม่ต้องคิด

มังกรดำเงียบไปนาน ค่อยว่า “แต่ดูแล้ว เจ้ากำลังจะตายจริงๆ”

เฉินฉางเซิงเริ่มทนไม่ไหว “เหตุใดถึงพูดเช่นนี้? ก็บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้าไม่ตาย”

มังกรดำว่า “เมื่อครู่เจ้าตอบเร็วเกินไป…แบบไม่ตั้งใจ”

เฉินฉางเซิงคร้านที่จะสนใจมันต่อ และคล้ายรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง มังกรดำพูดภาษามนุษย์เป็นด้วยหรือ? แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเท่ากับเสียงของมันที่เหตุใดจึงฟังดูอ่อนหวานนุ่มนวลเช่นนี้ เหมือนกับเสียงของหญิงสาว…

เขาไม่ได้ถาม เพราะตอนนี้เขาเหนื่อยมากจริงๆ อ่อนล้ามาก และเจ็บปวดมาก เหมือนจะ…ค้ำยันไม่ไหวแล้ว

นี่เป็นน้ำหนักของท้องฟ้า คนธรรมดาสามารถค้ำยันได้สักกี่น้ำ?

เขาไม่มีเหงื่อ แต่รู้สึกว่ากล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างฉีกขาดและกำลังจะหมดแรงลงในไม่ช้า สติเลื่อนลอย พลังปราณแท้ถูกใช้จนหมดสิ้น กระทั่งภาพที่เห็นก็เลือนรางไปหมด

หมื่นกระบี่เงียบกริบ เขาก็เงียบงันเช่นกัน กระทั่งเข้าสู่สภาวะของการลืมเลือนชนิดหนึ่ง ลืมเลือนเรื่องราวทั้งหมด

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เสียงสายลมพัดหวีดหวิวค่อยๆ อ่อนกำลังลง พลังพายุอันกราดเกรี้ยวที่นำมาซึ่งความกดดันก็ค่อยๆ จางหายไป น้ำหนักที่ร่มกระดาษทองถ่ายเทมาก็ค่อยๆ หายไปเช่นเดียวกัน ฟ้าดินเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง

เฉินฉางเซิงลืมตาขึ้น รู้สึกอ่อนล้าสุดๆ ขณะหันมองไปรอบๆ

และในตอนนี้เอง หิมะก็ตกลงมา ตกลงบนร่มกระดาษทอง เป็นหิมะที่อ่อนโยนอะไรเช่นนี้ แต่กลับทำให้ข้อมือของเขาปวดร้าวขึ้นมา จนจับด้ามร่มแทบไม่ไหว สวนโจว…หิมะตก?

ไม่ใช่

ที่นี่ไม่ใช่สวนโจว ที่นี่คือที่ราบหิมะ

เขามองไปยังที่ที่ไกลออกไป เห็นเพียงเลือนรางว่ามีเมืองใหญ่เมืองหนึ่งตั้งอยู่ใต้เงามืดของท้องฟ้า

ที่นี่ที่ไหน? เขางุนงงอย่างมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งตกใจและอ่อนล้า ขยับเขยื้อนก็ไม่ได้ ได้แต่คงท่วงท่าก่อนหน้านี้เอาไว้… เข่าข้างหนึ่งอยู่ในพื้นหิมะ มือซ้ายจับกระบี่สั้น มือขวาถือร่มกระดาษทอง

ท้องฟ้าของที่นี่มิได้ถล่ม ที่ราบหิมะทั้งสงบและสวยงาม ท่วงท่าเช่นนี้จึงน่าหัวร่อจริงๆ

เสียงฝีเท้าดังขึ้น คนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาข้างกายเขา อุทานเสียงแผ่วเบาแล้วว่า “มีกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง”

จากนั้นก็ยื่นมือมาหยิบร่มกระดาษทองไปจากมือของเฉินฉางเซิง