ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 68 ส่งกระบี่หมื่นลี้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ที่ราบหิมะยามรุ่งอรุณเงียบสงบมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเงามืดนั่นหรือเปล่า หรือเป็นเพราะหมู่เมฆที่ยังไม่กระจายตัวออกจากกัน แสงอรุณจึงเบาบางมาก หิมะที่ตกลงมาจากแสงอรุณก็บางเบาเช่นกัน ลอยละล่องสู่พื้นดินอย่างเงียบๆ

แผนสังหารนี้ต้องได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แผนสังหารนี้ต้องเปลี่ยนทิศทางประวัติศาสตร์ของดินแดนต้าลู่ แม้เกิดเรื่องมาพักใหญ่ แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครแพ้ใครชนะ ทว่าบทสรุปกลับคล้ายถูกกำหนดไว้เรียบร้อย

เงาร่างดุจภูเขาเลากาของขุนพลมารที่อยู่โดยรอบเย็นชาและเงียบงัน เงามืดผืนนั้นยังคงสูงเสียดฟ้า คนชุดดำยังคงนั่งนิ่งบนเนินหิมะห่างออกไปราวสิบลี้ เงาร่างที่ถูกล้อมไว้ตรงกลางยังคงตั้งตรงและสูงโปร่ง แต่กลับโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา

ทันใดนั้น ที่ราบหิมะก็เกิดลมพัด ม้วนเอาละอองหิมะส่วนหนึ่งไป ความเงียบสงบเพิ่งถูกเสียงหวีดหวิวทำลายไม่ทันไร ก็ถูกเสียงระเบิดอย่างแรงฉีกขาดจนสิ้น เห็นเพียงคนชุดดำบนเนินหิมะกำลังปล่อยพลังมหาศาล จนหิมะฟุ้งกระจายไปทั่ว ดวงไฟชีวิตหลายดวงที่ลอยอยู่กลางอากาศหายไปในพริบตา ปกเสื้อด้านหน้าของคนชุดดำฉีกขาด แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ แผ่นสี่เหลี่ยมที่ดูเหมือนทำลายไม่ได้…กลับกลายเป็นเศษเหล็กไปโดยปริยาย

สายตาหลายคู่ยังไม่ทันทอดมองคนชุดดำบนเนินหิมะ เพราะกำลังมองไปยังจุดหนึ่งกลางที่ราบหิมะ

ในที่ราบหิมะพลันมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

ตอนนี้ในดินแดนต้าลู่ ใครบ้างสามารถทำลายเงามืดผืนนั้น อีกทั้งการป้องกันอย่างแน่นหนาของกองทัพมารนับหมื่น แล้วมาถึงที่นี่อย่างไร้สุ้มไร้เสียงได้?

เขาก็คือชายหนุ่มคนหนึ่ง มือขวาถือร่มเก่าๆ คันหนึ่ง มือซ้ายถือกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง กำลังหลับตาแน่น และตรงหว่างคิ้วตึงเครียด มองเห็นร่องรอยของความมุ่งมั่นขณะอยู่ระหว่างความเป็นความตาย แน่นอน สามารถเห็นความอ่อนล้าอันไร้สิ้นสุดบนใบหน้าของเขาด้วยเช่นเดียวกัน

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ชายหนุ่มค่อยลืมตาขึ้น

ชายหนุ่มผู้นี้ย่อมเป็นเฉินฉางเซิง เขามองไปรอบๆ อย่างงุนงง เห็นแต่ความขาวโพลนของหิมะตรงหน้า ไม่รู้สักนิดว่าเกิดอะไรขึ้น คลับคล้ายจะรู้แต่เพียงว่าตนออกจากสวนโจวแล้ว แต่ที่นี่คือที่ไหนอีก? ไยท้องฟ้าจึงมีเงามืดเหมือนกัน? แต่ปณิธานในเงามืดนี้เหตุใดจึงแรงกล้าและน่ากลัวกว่าเงามืดของมหาวิหคในทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล? แล้วเงาร่างขนาดใหญ่ดุจภูเขาเลากาหลายสิบเงารอบๆ ที่ราบหิมะคืออะไร? เหตุใดจึงมีรัศมีพลังแบบเดียวกับคู่สามีภรรยาขุนพลมารเถิงเสี่ยวหมิงและหลิวหวั่นเอ๋อร์? หรือเงาร่างสีดำทะมึนเหล่านี้ล้วนเป็นขุนพลมาร? บนเนินหิมะที่ห่างออกไปราวสิบลี้ ชายผู้สวมชุดสีดำตลอดทั้งร่างคือใครกัน? เหตุใดจึงมีรัศมีพลังที่มืดหม่นเช่นนี้? แล้วทำไมต้องสวมชุดสีดำด้วย?

เฉินฉางเซิงมองไปยังเมืองขนาดใหญ่ที่เห็นเลือนรางห่างออกไปไกลจากที่ราบหิมะ พลางนึกถึงคำบรรยายจากบันทึกในคัมภีร์ลัทธิเต๋า ขณะที่ร่างของตนแข็งทื่อสุดจะเปรียบ อ้าปากได้แต่ส่งเสียงไม่ออก ในใจคิด ไม่นะ? หรือเมืองนี้ก็คือเมืองหิมะโบราณในตำนาน? ที่นี่คือที่ราบหิมะในอาณาเขตเผ่ามาร? เงาร่างสีดำดุจภูเขาเลากาล้วนเป็นขุนพลมารจริงๆ? ส่วนชายผู้มืดหม่นสวมชุดสีดำก็คือชายชุดดำ? แล้วเงามืดนั่นล่ะ?

ก่อนหน้านี้เขายังอยู่บนจุดสูงสุดของสุสานในสวนโจว ต่อสู้กับท้องฟ้าที่ถล่มลงมาเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็มาอยู่ในที่ราบหิมะอาณาเขตเผ่ามารซึ่งอยู่ไกลหมื่นลี้เสียนี่ เห็นเงาร่างของเมืองหิมะโบราณในตำนาน เห็นเงาร่างอันแข็งแกร่งของชนเผ่ามารที่เคยมีอยู่แต่ในจินตนาการและในหนังสือ ถ้าใจเขาไม่แข็งพอ ปณิธานไม่แรงกล้าพอ ไม่แน่ว่าอาจตกตะลึงจนสลบคาที่ กระทั่งตกใจจนหัวใจวายตายไปได้ เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นภาพที่เหลือเชื่อจริงๆ

ปณิธานของเฉินฉางเซิงแรงกล้ามาก เขาจึงไม่สลบ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องดีนัก เขาต้องตื่นตัวเพื่อรับผลกระทบทางจิตใจจากสิ่งที่เห็น กระทั่งรู้สึกถึงลางร้ายจากการทำลายล้าง ตลอดทั้งร่างจึงแข็งทื่อจนไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้

มดตัวหนึ่งพลันเดินมาถึงโลกของคนตัวใหญ่ คนธรรมดาคนหนึ่งพลันหลงเข้าสู่แดนเทพในทะเลแห่งดวงดาว เขาในตอนนี้รู้สึกเช่นนี้

กองหิมะที่กระจายกระซ่านเซ็นกลางอากาศตกลงเสียงดังซู่ๆ จากนั้นหิมะบางๆ ที่มากับก้อนเมฆก็ค่อยๆ ตกลงบนร่ม บนที่ราบหิมะยังคงสงบเงียบ สายตาหลายคู่ที่ห่างออกไปหลายลี้ หลายสิบลี้ กระทั่งหลายพันลี้ กำลังจ้องมองเฉินฉางเซิงอย่างเงียบงัน

ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ กำลังประหลาดใจกับการปรากฏตัวของเฉินฉางเซิง

คนธรรมดาพลันปรากฏตัวในแดนเทพ เหล่าเทพเจ้าระดับสูงย่อมตื่นตระหนกว่า คนธรรมดาผู้นี้มาได้อย่างไรกัน ที่ราบหิมะจึงเข้าสู่ความเงียบแบบแปลกๆ

ร่างของเฉินฉางเซิงแข็งทื่อ ด้วยถูกเรื่องไม่คาดฝันกระทบจิตใจ จนใกล้สูญเสียจิตวิญญาณเต็มที แต่ขณะเดียวกันมันก็กระตุ้นความคิดอ่านของเขาให้กลับมาทำงานอย่างรวดเร็ว

ชั่วระยะเวลาอันสั้น เขาคิดถึงเรื่องต่างๆ นานา คิดว่าตนจากสวนโจวมาถึงที่ราบหิมะในอาณาเขตมารได้อย่างไร เรื่องนี้เขาย่อมคิดไม่ออกในตอนนี้ จึงไม่คิดอีก แล้วเหตุใดตนถึงได้เห็นผู้แข็งแกร่งของชนเผ่ามารในตำนานมากมาย? หรือพวกเขามาสังหารตน?

เป็นไปไม่ได้ ถึงตอนนี้เขาคือหัวหน้าสำนักฝึกหลวงและมีระดับบำเพ็ญเพียรที่ดูเหมือนเพียงพอ แต่ชายหนุ่มผู้บรรลุขั้นทะลวงอเวจี สำหรับบุคคลเหล่านี้แล้ว ประหนึ่งมดปลวกจริงๆ จำเป็นด้วยหรือที่ต้องจัดทัพมากันยิ่งใหญ่เพียงนี้ ซึ่งแม้แต่คนที่หลงตัวเองอย่างถังซานสือลิ่วก็ยังไม่กล้าคิดเช่นนี้

ดังนั้น ผู้ที่บรรดาผู้แข็งแกร่งเผ่ามารต้องการสังหารต้องเป็นอีกคนหนึ่ง คนผู้นี้คือใคร?

ชายวัยกลางคนผู้ถูกกองทัพมารนับหมื่นโอบล้อมอยู่หลายวันหลายคืนนั้นบาดเจ็บสาหัสมาก และกำลังเผชิญกับความตาย แต่เห็นชัดว่าเขายังคงกลอกตาไปมาอย่างไม่ยี่หระ พอเห็นร่มในมือของเฉินฉางเซิง เขาถึงรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา

คล้ายต้องการตรวจสอบการคาดเดาของตน เขาจึงเดินเข้าหาเฉินฉางเซิง บนที่ราบหิมะ เขาอยู่ใกล้เฉินฉางเซิงที่สุด เพียงสิบก้าวก็มาถึงข้างกายเฉินฉางเซิง

“เอ๋ มีกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง”

ชายผู้นั้นยื่นมือเข้ามาหยิบร่มไปจากมือของเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงได้ยินเพียงเสียงฝีเท้า แต่ยังไม่ทันมอง ก็พบว่าร่มกระดาษทองไม่อยู่ในมือแล้ว

พอเขาหันมอง ก็เห็นชายผู้นี้สวมชุดยาว แต่ก็ไม่ได้ยาวมาก ไม่เหมือนฝ่ายบุ๋น หว่างเอวเสียบกระบี่หนึ่งเล่ม แต่ก็ดูไม่เหมือนนักกระบี่ ให้ความรู้สึกไม่เข้าพวกตรงไหนสักที่

ร่างของชายผู้นี้กำลังเปล่งไอพลังปราณอันเย็นจัดออกมา เหมือนกระบี่หนึ่งเล่มเปล่งความแวววาวออกเต็มที่ ทำให้ไม่อาจมองดูตรงๆ ได้

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงเห็นซูหลี ขนาดเห็นแค่ด้านหลังของซูหลี เขายังปวดตาถึงเพียงนี้

แถมต้องใช้เวลาอีกนานจึงจะสามารถมองเห็นชัด เขาในตอนนั้น ยังไม่รู้ว่าชายผู้นี้ก็คือซูหลี อาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานในตำนาน

ต่อมา พอเขาตั้งสติได้ ค่อยพยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล และกำมือขวาเบาๆ ตามสัญชาตญาณ ก่อนพบว่าด้ามร่มหายไป ความรู้สึกว่างเปล่าเช่นนี้ทำให้เขาไม่คุ้นชิน

พอร่มกระดาษทองอยู่ในมือของชายผู้นี้ ไม่รู้ทำไมถึงได้ดูกลมกลืนนัก ราวกับว่ามันเป็นของเขามาก่อน

ขณะมองดูเหตุการณ์ เฉินฉางเซิงก็งุนงงอีกครั้ง พลันรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในสวนโจวล้วนเป็นความฝัน ตนออกจากสุสานเทียนซู จากจิงตูไปเวิ่นสุ่ยได้ร่มคันนี้มา แล้วเข้าไปในทุ่งหญ้านั่น สุดท้ายมาปรากฏตัวบนที่ราบหิมะผืนนี้ได้อย่างน่าพิศวง อุตส่าห์ฟันฝ่าอุปสรรคร้อยแปดพันเก้า ที่แท้ก็แค่…มาส่งร่มให้ถึงมือชายผู้นี้

นำร่มกระดาษทองมาคืนให้กับชายผู้นี้

……

……

มือซ้ายของซูหลีจับเข้าที่กลางร่มกระดาษทอง แล้วมองนิ่งอยู่นาน จากนั้นริมฝีปากก็ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นแหงนหน้าอ้าปากหัวเราะร่า เสียงหัวเราะลากยาว

เขาหัวเราะอย่างยินดีปรีดาเช่นนี้ เพราะว่ารู้สึกดีใจ

เขายังมองไปยังเงาร่างดุจภูเขาดำทะมึนของขุนพลมารที่อยู่ไกลออกไป มองดูคนชุดดำที่นั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางลมหิมะอันบางเบา มองดูเงามืดบนท้องฟ้า แล้วว่า “พวกเจ้าล้วนบอกว่าข้าขาดกระบี่หนึ่งเล่ม ถูกต้อง ข้าขาดกระบี่หนึ่งเล่มจริงๆ แต่ตอนนี้…ข้ามีกระบี่แล้ว เป็นคราวพวกเจ้าบ้างแล้วที่ต้องกลัว”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นร่มคันหนึ่ง ต่อให้มีเจตจำนงกระบี่หนึ่งเล่มอยู่ข้างใน แต่พูดได้อย่างไรว่าเป็นกระบี่หนึ่งเล่ม?

เขาไม่รู้ว่าร่มกระดาษทองก็คือกระบี่บังฟ้า กระบี่ชื่อดังก้องฟ้าเล่มหนึ่ง

เมื่อหลายร้อยปีก่อน หัวหน้าพรรคกระบี่หลีซานใช้กระบี่เล่มนี้ต่อสู้กับโจวตู๋ฟูในสวนโจวกว่าสามร้อยรอบ แม้ตัวตายแต่กระบี่กลับไม่หัก

กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งสุดในสระกระบี่ อีกทั้งยังเป็นกระบี่ที่ไม่ยอมศิโรราบ และอยากได้อิสรภาพมากที่สุดด้วย

กระบี่เล่มนี้เดิมทีซูหลีควรเป็นผู้สืบทอดต่อ มันเป็นกระบี่ของเขา

เพราะตอนตัวกระบี่ออกจากทุ่งหญ้า ซูหลีเป็นผู้เก็บได้ และส่งไปยังเวิ่นสุ่ย จากนั้นร่มก็เกิดการเปลี่ยนแปลงร้อยแปดพันเก้า

แต่เจตจำนงกระบี่ไม่อยู่แล้ว มันจึงไม่ใช่กระบี่ที่เขาอยากได้อีก

เจตจำนงกระบี่เล่มนี้อยู่ที่ทุ่งหญ้ามาโดยตลอด รอคอยการพบกับตัวกระบี่อีกครั้ง

หลายร้อยปีให้หลัง เฉินฉางเซิงเดินทางผ่านเวิ่นสุ่ย ได้รับร่มเป็นของขวัญจากบ้านตระกูลถัง และนำร่มเข้าไปในสวนโจว ทำให้ตัวกระบี่และเจตจำนงกระบี่พบเจอกันในทุ่งหญ้า กระบี่หมื่นเล่มจึงถูกปลุกให้ออกมาปรากฏบนท้องฟ้า

เรื่องนี้เมื่อมาถึงจุดนี้ คล้ายจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น

กระทั่งเขามาถึงที่ราบหิมะผืนนี้ และนำร่มคันนี้มอบให้ซูหลี จึงถือเป็นการจบบริบูรณ์อย่างแท้จริง

ซูหลีถือร่มกระดาษทองพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายร้อยปีก่อน ตอนที่เขาเข้าไปในถ้ำพำนักบนยอดเขาหลีซานเป็นครั้งแรกแล้วเห็นผนังถ้ำด้านหลังของท่านอาจารย์แขวนกระบี่เล่มนี้ไว้ นึกถึงหลายปีต่อมา ที่เขาพยายามควบคุมการบำเพ็ญเพียรให้อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี เพื่อเข้าไปในสวนโจวเสาะหากระบี่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็น่าเสียดายนัก

นี่เป็นกระบี่ของเขาหลีซาน ของท่านอาจารย์ และของเขา ซูหลี

หลายร้อยปี นานมากแล้วที่ไม่ได้พบเจอกัน

เช่นนี้จะไม่ให้เขายินดีปรีดาได้อย่างไรเล่า จะไม่ให้เขาหัวเราะจนหนำใจได้อย่างไรเล่า

เขายังคงหัวเราะอยู่อย่างนั้น ร่มกระดาษทองก็เหมือนกำลังหัวเราะเช่นเดียวกัน

แต่เสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจนั้นกลับแฝงความรู้สึกเสียใจและเสียดายอยู่บ้าง

ท่านอาจารย์ ข้าได้จับกระบี่เล่มนี้อีกครั้งจนได้

แต่…โจวตู๋ฟูเสียชีวิตไปแล้ว ข้าไม่มีโอกาสสังหารเขาด้วยกระบี่เล่มนี้ ล้างแค้นให้ท่าน

เสียงหัวเราะดังลั่น อหังการแต่กลับโศกศัลย์ สะท้อนก้องอยู่ในที่ราบหิมะอันเงียบงัน คล้ายได้ยินไปไกลหลายพันลี้

เสียงหัวเราะบอกกล่าวกับโลกอย่างชัดเจน กระทั่งเฉินฉางเซิงยังฟังออก

เสียใจที่โจวตู๋ฟูเสียชีวิตลง เสียดายที่เขามิได้เสียชีวิตภายใต้กระบี่เล่มนี้

นี่เป็นความมั่นใจ กระทั่งเป็นความคิดที่อวดดีเกินไปหรือไม่

แต่ไม่มีใครแสดงท่าทีดูหมิ่นเหยียดหยาม แม้แต่คนชุดดำก็ยังนิ่งเงียบ

เนื่องจากซูหลีได้พบกระบี่ของเขาแล้ว ใครจะรู้ว่าเขากับวิถีกระบี่จะไปกันได้ถึงไหน?

เสียงหัวเราะดังก้องค่อยๆ เบาลง แสงกระบี่บนร่างของซูหลีก็ค่อยๆ จางลงเช่นเดียวกัน คล้ายกลายเป็นชายวัยกลางคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง

เขาเงยหน้ามองไปรอบๆ ที่ราบหิมะ มองดูเงาร่างมหึมาดุจภูเขาเลากาดำทะมึนในความเงียบเหล่านั้น พลางจับด้ามร่ม

มือซ้ายจับกลางร่มกระดาษทอง เหมือนจับฝักกระบี่

มือขวาจับด้ามร่มกระดาษทอง เหมือนจะชักกระบี่

เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นว่า นิ้วของเขายาวมาก ช่างเหมาะกับการดีดพิณยิ่ง และแน่นอน เหมาะกับการจับกระบี่ด้วย

ด้ามร่มก็คือด้ามกระบี่ ทันทีที่ด้ามร่มอยู่ในมือซูหลี เจตจำนงกระบี่อันคมกริบก็แผ่ปกคลุมไปทั่วที่ราบหิมะและพื้นที่โดยรอบอีกหลายสิบลี้ เงาร่างดุจภูเขาเลากาของขุนพลมารร่างหนึ่งโงนเงนเล็กน้อย ก่อนล้มลงบนพื้นหิมะอย่างจัง

โลหิตสายหนึ่งสาดกระเซ็นท่ามกลางละอองหิมะ