กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 858

จู่ๆกู้ชูหน่วนก็กุมแผลเอาไว้คิ้ว ขมวดหน้าผากย่นและคนก็เจ็บปวดจนงอเอวลงแล้ว

“ซี๊ด……ปวดยิ่งนัก……ไม่ใช่ว่าบาดแผลจะฉีกออกอีกแล้วนะ”

เซี่ยวอวี่เซวียนพยุงนางนั่งลง

แม้จะรู้ว่านางไม่ต้องการตอบคำถามของตนจึงได้หาข้อแก้ตัวข้อหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่านางบาดแผลเต็มร่างเซี่ยวอวี่เซวียนก็ยังคงรู้สึกทุกข์ใจ

“เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสนัก ผู้นำของแต่ละนิกายใหญ่ได้เข้าสู่หุบเขาสัตว์เทพแล้ว เขตกั้นน่าจะไม่ถูกปิดเป็นการชั่วคราว พักผ่อนที่นี่หนึ่งวันหลังจากนั้นค่อยจากไปเถอะ”

“ไม่กลัวหากว่าแต่กลัวหากบังเอิญว่า หากบังเอิญว่าพวกเขาหาดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีไม่พบ ด้วยความโมโหออกจากหุบเขาสัตว์เทพแล้วปิดหุบเขาสัตว์เทพ พวกเราก็ยังคงออกจากที่นี่กันก่อนเถอะ”

ช่างน่าขัน บรรยากาศนั้นทำสิ่งใดไม่ถูกอยู่แล้ว นางจะอยู่กับเซี่ยวอวี่เซวียนที่นี่ตามลำพังเพื่อสร้างความขวยเขินต่อไปได้อย่างไร

เซี่ยวอวี่เซวียนขยับมุมปาก ท้ายที่สุดก็ประคองซึ่งกันและกันจากไปพร้อมกับนาง

ตลอดทางทั้งสองคนไม่มีผู้ใดพูดจาเลย

ใจกู้ชูหน่วนสับสน

เซี่ยวอวี่เซวียนปวดใจ

เขารวบรวมความกล้าไม่ได้ง่ายๆเพื่อสารภาพกับนาง แต่นางกลับมีใจอยู่ที่เขา

บางทีชั่วชีวิตนี้เขาไม่สมควรได้รับความรัก

คนสองคนกับเสือหนึ่งตัวออกจากหุบเขาสัตว์เทพได้อย่างไร แม้แต่พวกเขาก็ไม่รู้รู้เพียงแค่ว่าพวกเขาพยายามเลือกที่จะหลีกเลี่ยงนิกายใหญ่แต่ละนิกายให้มากที่สุด

หลังจากออกจากหุบเขาสัตว์เทพแล้วและมาถึงเมืองหลวงแล้ว เซี่ยวอวี่เซวียนและกู้ชูหน่วนก็แยกทางกัน

“เบื้องหน้าก็คือจวนมู่แล้วข้าจะไม่ไปส่งแล้ว เจ้ากลับไปพักฟื้นให้ดี อย่าได้……อย่าได้วิ่งไปวิ่งมาอีก”

“แล้วเจ้าหล่ะ”

“ข้าก็จะกลับไปรักษาตัว”

“เอาเถอะ”

มองดูเซี่ยวอวี่เซวียนเดินโซเซจากไป ส่วนเจ้าเสือน้อยได้หมอบนอนอยู่บนหน้าอกของกู้ชูหน่วนพร้อมชะโงกหัวเยี่ยมๆมองๆ

“นายท่าน คุณชายเซี่ยวก็หล่อเหลาและก็ดีต่อท่านนัก ท่านไม่ยอมรับเขาจริงๆหรือ?”

“ข้าไม่ประจักษ์แม้แต่อดีตของตนเองแล้วจะให้อนาคตกับเขาได้อย่างไร ใครจะไปรู้ว่าอดีตของข้าเป็นเช่นไร”

“นายท่านก็บอกแล้วว่าเป็นอดีต และอดีตก็คืออดีต พวกเรามองไปข้างหน้าก็พอแล้ว”

“เจ้าจะไปรู้อะไร?”

กู้ชูหน่วนกลอกตาใส่มันแล้วหันเดินไปทางจวนมู่

ท้องฟ้ามืด ดวงเปิดสวยงามจุดขึ้น

ทางเข้าจวนมู่เต็มไปด้วยผู้คน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางหรือว่าผู้คนจากนิกายใหญ่ต่างๆที่มาสู่ขอแต่งงานจนแทบจะเหยียบประตูของจวนมู่เสียหายไปหมดแล้ว

ฝูงชนหนาแน่นนั่นเกือบล้อมรอบจวนมู่ทั้งจวนแล้ว กู้ชูหน่วนต้องการเบียดเข้าไปยังยากเย็น

สุดท้ายทำได้เพียงคนที่ที่คนค่อนข้างน้อยแล้วปีนข้ามกำแพงเข้าไป

นางกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “คนเหล่านี้เลือดสูบฉีดกันยิ่งนักถึงได้รีบร้อนสู่ขอแต่งงานกันเช่นนี้”

“นายท่าน ข้าคิดว่าพวกเราควรจะหาโอกาสตักตวงโชคลาภ”

“ข้าทั้งง่วงทั้งเหนื่อยทั้งหิวทั้งเจ็บ ไม่มีอารมณ์ตักตวง”

“ท่านไปพักผ่อนข้าจะไปตักตวง”

“หรือว่าเยี่ยจิ่งหานทุบตีเจ้ายังทุบตีได้ไม่อนาถเพียงพอ”

“ใครว่าหล่ะ หากไม่ใช่ว่าชีวิตเสือของข้าแข็งข้าคงถูกเขาทุบตีจนตายไปนานแล้ว เจ้าคนนั้นเลวทรามที่สุดคราวหน้าพบเจอเขาจะต้องจัดการเขาดีๆสักครั้ง”

“เจ้าก็บาดเจ็บสาหัสแล้วยังจะมีใจไปตักตวงสมบัติอยู่อีกหรือ?”

“ชีวิตสำคัญ สมบัติสำคัญยิ่งกว่า”

ไม่รอให้กู้ชูหน่วนพูดจาเจ้าเสือน้อยก็วิ่งชู่ว์ไปเลย และก็ไม่รู้ว่ามันจะไปตักตวงสมบัติเงินทองเงินที่ใด

กู้ชูหน่วนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กำลังจะกลับไปยังห้องของตนเองด้านหน้าก็มีเสียงของผู้นำตระกูลมู่กับผู้นำรองผู้นำสามและคนอื่นๆดังมา

“ท่านพ่อ ท่านว่าอาหน่วนเก่งกาจเช่นนั้นจริงๆหรือ? นางเป็นปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายจริงๆหรือ? ความแข็งแกร่งของนางถึงระดับสองแล้วจริงๆหรือ?”

“น่าจะใช่กระมัง ไม่เช่นนั้นเหตุใดคนจำนวนมากเช่นนี้ถึงได้มาขอสู่ขอ” ผู้นำตระกูลมู่อารมณ์ดีนักและลูบเคราไม่หยุด

ผู้นำรองหน้าตามีความสุข

“ท่านพ่อ ผู้นำตระกูลหนิงได้ส่งคนมาสู่ขอ สู้ขอให้กับหนิงเทียนโยว่หลานชายเอกของเขา”

“ตระกูลซั่งกวนก็มาสู่ขอด้วย สู่ขอให้กับซั่งกวนอวิ๋นหลาง”

“ยังมีตระกูลที่มีชื่อต่างๆก็มาสู่ขอกับตระกูลด้วย ท่านพ่อมีคนมากมายมาสู่เช่นนี้ ท่านว่าพวกเราจะให้อาหน่วนแต่งงานกับผู้ใดดีหล่ะ?”

ไม่ต้องรอให้ผู้นำตระกูลมู่กล่าวผู้นำรองก็ชิงกล่าวก่อนว่า “นี่ยังจะต้องกล่าวอีกหรือ แน่นอนว่าแต่งงานกับหลานชายเอกของผู้นำตระกูลหนิงหนิงเทียนโย่ว ลูกชายของผู้นำตระกูลหนิงได้ล่วงลับไปแล้วมีเพียงหลานชายเอกผู้นี้เท่านั้น ภายภาคหน้าตำแหน่งผู้นำตระกูลก็ต้องส่งถึงมือหนิงเทียนโย่วเป็นแน่”

ผู้นำสามกล่าวว่า “ตระกูลหนิงนั้นดีแต่ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่นั้น ตระกูลหนิงกำลังตกต่ำตระกูลเขาเช่นไรก็เทียบกับตระกูลซั่งกวนไม่ได้ แล้วยิ่งความแข็งแกร่งของซั่งกวนอวิ๋นหลางได้ขึ้นถึง ระดับสามแล้ว นั่นเป็นพรสวรรค์ต้นๆ บางทีตระกูลซั่งกวนอาจจะส่งต่อตำแหน่งผู้นำตระกูลให้แก่ซั่งกวนอวิ๋นหลางก็ไม่แน่”

“ในความคิดของข้าก็ยังคงเป็นตระกูลหนิงดี”

“ตระกูลซั่งกวนดั”

ผู้นำรองและผู้นำสามกล่าวกันไปมาโดยได้โต้เถียงกันอย่างดุเดือด

ผู้นำตระกูลมู่มองไปยังเทียบเชิญสู่ขอก็รู้สึกลำบากใจอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับผู้ใดดี

มู่ซินผลักรถเข็นเดินออกมาด้วยท่าทีแน่วแน่ “ไม่นานมานี้ตระกูลซั่งกวนได้ล้มเลิกงานแต่ง ทำให้ชื่อเสียงของอาหน่วนเสียหายยับเยิน ตอนนี้พวกเขาคิดจะกลับคำพูดก็กลับคำพูด เช่นนั้นภายหน้าอาหน่วนยังจะออกไปพบเจอผู้คนได้อย่างไร? ข้าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้”

กู้ชูหน่วนพิงตรงกำแพงและฟังวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขาอยู่เงียบๆ

ผู้นำตระกูลสามกล่าวอย่างตั้งความหวังราวหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าว่า “พี่ใหญ่เหตุใดท่านถึงได้ความคิดคร่ำครึโบราณเช่นนี้ เพียงแค่แต่งงานได้ดีจะไปสนใจผู้อื่นกล่าวทำไม หากว่าแต่งงานกับซั่งกวนอวิ๋นหลางจริงๆอาหน่วนก็จะเงยหน้าบินขึ้นเป็นหงส์ผู้คนตั้งเท่าไหร่อยากจะอิจฉาก็ยังไม่ทันเลยนะ”

“ข้าบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”

ผู้นำตระกูลมู่ขมวดคิ้วกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าใหญ่พูดก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล ตระกูลซั่งกวนเสียใจทีหลังแล้วมาสู่ขอแต่งงานอีก ผู้ที่ไม่รู้ว่าก็จะคิดว่าเราเร่งรีบเอาอกเอาใจ”

ผู้นำรองกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เลือกตระกูลหนิงสินะ”

มู่ซินกล่าวว่า “การแต่งงานของลูกสาวของข้าให้นางตัดสินใจเอง นอกเสียจากนางต้องการแต่งไม่เช่นนั้นผู้ใดก็ไม่สามารถบังคับนางได้”

“ข้าว่านะพี่ใหญ่ท่านเจ็บป่วยเสียจนเวียนศีรษะไปแล้วนะ การแต่งงานที่ดีเช่นนี้ถือโคมส่องหายังไม่สามารถหาพบได้ พลาดจากครั้งนี้แล้วภายหน้าอยากจะแต่งก็หาไม่ได้แล้วนะ”

“อาหน่วนไม่ต้องการแต่งงานข้าก็จะไม่บังคับนาง ท่านพ่อหวังว่าท่านพ่อก็จะไม่บังคับนางเช่นเดียวกัน”

“……”

กู้ชูหน่วนยกมุมปากขึ้นจากนั้นหันตัวกลับไปยัฝห้องส่วนตัวของตน

มีท่านพ่อปกป้องอยู่รู้สึกดียิ่งนัก

ผลักประตูออกนางเหนื่อยเสียจนต้องการล้มนอนลงบนเตียงหลับสักตื่นใหญ่ จู่ๆก็มีบุรุษผู้หนึ่งก็ยืนอยู่ในห้องส่วนตัว

ชายผู้สง่างามดังพลัดพรากจากความเป็นอมตะซึ่งอยู่ในชุดสีขาวปลิวไสว

ชายหนุ่มหันหลังให้กับนางซึ่งมองหน้าตาไม่ออก

แต่ว่ารูปร่างของเขาผอมเพรียวท่าทางสูงส่ง ผมดำสนิทของเขาถูกมัดด้วยผ้าสีขาวอย่างเกียจคร้านครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งห้อยลงมาด้านหลังศีรษะของเขาซึ่งผมนั้นดำสนิทเรียบลื่นราวกับผ้าไหม

เมื่อเห็นเงาด้านหลังนี้ ในใจของกู้ชูหน่วนก็เต้นผิดจังหวะจากนั้นก็หันหลังกลับต้องการจะจากไป

“ปึง……”

ไม่รอให้นางวิ่งออกไป ประตูห้องส่วนตัวก็ปิดลงเอง

ชายหนุ่มซึ่งหันหลังให้หันกลับมา

แน่นอนว่าชายหนุ่มที่หันกลับมาสวมหน้ากากผีเสื้อและไม่สามารถมองหน้าตาของเขาออก แต่ความรู้สึกรอบกานของเขาแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็ไม่สามารถทำให้ผู้คนเพิกเฉยเขาได้

กู้ชูหน่วนค่อยๆยิ้ม “ดึกๆดื่นๆเจ้าผีเสื้อไม่ใช่ว่าเหงาหงอยแล้วเลยต้องการให้ข้ารักใคร่เอ็นดูเจ้าให้ดี”

กล่าวจบกู้ชูหน่วนก็แทบจะอยากกัดลิ้นตนเองทิ้ง

หากเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ก็ยังสามารถหยอกล้อได้

ตอนนี้หยอกล้อเขาไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ?

เหวินเส่าอี๋ดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม รอบกายปรากฏความเยือกเย็นขึ้นบีบบังคับทุกฝีก้าวจนบีบกู้ชูหน่วนถึงยังมุมกำแพง

“เหงาหงอย? มือทั้งคู่ของข้าไม่ได้นองเลือดมานานมากแล้ว จริงสิ……เหงาหงอยมาเป็นเวลานานแล้ว……”