บทที่ 447 ลาก่อนเหยียนซีโรว่

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 447 ลาก่อนเหยียนซีโรว่
วันนี้ หลัวซิวเดินออกจากหอคอยฝึกตนในแดนปริศนา ไม่ยังสำนักเขาที่อยู่ด้านนอกแดนปริศนา

ตามเงื่อนไขที่เขาต้องการ อายุไม่เกินสามสิบปี บรรลุถึงระดับแดนฝึกจิต สามารถกลายเป็นศิษย์ในสำนักของสำนักไท่เสวียนได้ ในตระกูลสวีทั้งหมด ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขนี้มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ก็คือเด็กหนุ่มที่ชื่อสวีห้าว

ศิษย์นอกสำนัก คนของตระกูลสวีที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขมีอยู่ค่อนข้างมาก แต่ก็มีเพียงแค่สิบสามคน เมื่อรวมกับราชายุทธ์อีกเจ็ดคน ภายในสำนักเขาที่ยิ่งใหญ่ ถือได้ว่ามีจำนวนคนอยู่น้อยมาก

สำหรับคนเหล่านี้ หลัวซิวเองก็ไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้สูงนัก ถึงแม้เขาจะเอื้อการฝึกตนที่เหนือกว่าให้กับคนเหล่านี้ได้ แต่ท้ายที่สุดผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ดี

มีเพียงสวีห้าวซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์มากที่สุด ที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกภูมิใจได้เล็กน้อย

ครั้งนี้หลัวซิววางแผนจะเดินทางออกจากสำนักเขา ก่อนออกเดินทาง เขาได้ทำฮู้ขึ้นมาและมอบให้กับเหยียนเยว่เอ๋อร์ หากในช่วงที่เขาไม่อยู่ แนวค่ายกลคุ้มเขาไม่สามารถต้านทานได้ ก็ให้นำคนในสำนัก เข้าไปหลบในแดนปริศนา

ตรงทางเข้าของแดนปริศนานั้น จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำในสมัยโบราณได้ตั้งค่ายกลวิชาห้ามเอาไว้ ต่อให้มกุฎยุทธ์หลายคนร่วมมือกัน ก็ไม่อาจบุกรุกเข้าไปได้

เป้าหมายในการเดินทางของหลัวซิวครั้งนี้ก็คือเทือกเขาเหิงหยุน ที่ที่เทือกเขาเหิงหยุนตั้งอยู่ เป็นพื้นที่ที่อยู่นอกพรมแดนของประเทศเทียนหวูแล้ว

ตามที่เขาเข้าใจ บริเวณใกล้ ๆ กับเทือกเขาเทียนหยุน นอกจากสำนักไม้เสวียนแล้ว ก็ไม่มีสำนักอื่นที่แข็งแกร่งมากนัก แต่ทางตอนใต้ของเทือกเขาเหิงหยุน กลับมีแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ที่ยิ่งใหญ่อยู่

เทือกเขาเหิงหยุนเป็นสถานที่ที่อันตราย มีอสุรกายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีสมบัติล้ำค่าหายากทุกชนิดอยู่มากมาย ดังนั้นศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ จึงมักปรากฏตัวขึ้นใกล้ ๆ กับเทือกเขาเหิงหยุนอยู่บ่อยครั้ง

บางครั้งหลัวซิวก็อาศัยค่ายวาร์ปขององค์กรนักล่ายุทธ์ในแต่ละเมือง บางครั้งก็ใช้วิชาเหาะเหินเดินฟ้า ใช้เวลาอยู่หลายวันจึงจะเดินทางมาถึงเชิงเขาของเทือกเขาเหิงหยุนได้

เขาเห็นนักยุทธ์หลายคนกำลังรวมกลุ่มกันเพื่อเข้าไปในป่าลึก นักยุทธ์ที่มาเพียงลำพัง น้อยคนนักที่จะกล้าบุกเข้าไปหาสมบัติล้ำค่าภายในป่าเพียงคนเดียว เพราะนอกจากการคุกคามจากอสุรกายแล้ว ที่อันตรายที่สุดก็คือ นักล่าที่คอยตามฆ่านักยุทธ์ที่มาจากที่อื่น !

ฆ่าคนเพื่อปล้นสมบัติ เป็นวิธีการทำเงินที่รวดเร็วที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร หลังจากฆ่าคนแล้ว ก็ทิ้งศพเอาไว้ในป่า ซึ่งยากที่จะสอบสวนได้

ในบรรดานักยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ มีคนเฉพาะกลุ่มเช่นนี้อยู่ ที่อาศัยการฆ่าคนเพื่อปล้นสมบัติมาสร้างฐานะทีละนิด ๆ

หากพูดอย่างจริงจัง หลัวซิวเองก็เป็นคนประเภทนี้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่เขาไม่ได้มุ่งร้ายที่จะฆ่าคนเพื่อปล้นสมบัติ อย่างไรก็ตาม ยอดฝีมือที่ตายด้วยน้ำมือของเขาก็มีอยู่ไม่น้อย และทรัพยากรสมบัติมากมายที่เขาได้รับนั้น ถือว่ามั่งคั่งยิ่งกว่าผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์อีกเป็นจำนวนมาก

หลัวซิวเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า ภายในเทือกเขาเหิงหยุนแห่งนี้ เขาจะสามารถหาวัสดุอย่างดินดำเหลืองได้จากที่ไหนกันแน่ เขาต้องการจะซื้อบางส่วนผ่านทางองค์กรนักยุทธ์ แต่กลับหาซื้อไม่ได้

ดังนั้น เขาจึงต้องมาเดินสำรวจภายในป่า และได้พบเข้ากับการต่อสู้ระยะประชิดด้วยตาของเขาเอง

การต่อสู้มีคนทั้งสิ้นแปดคน ฝ่ายหนึ่งสามคน อีกฝ่ายหนึ่งห้าคน

แต่ผลสุดท้ายกลับไม่ใช่ห้ารุมสาม ทว่าเป็นสามคนนั้น ที่จัดการฝ่ายตรงข้ามทั้งห้าคนจนหมดเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้

ที่จริงแล้วต้องพูดว่าสองคนถึงจะถูก ที่จัดการฝ่ายตรงข้ามทั้งห้าคนจนถอยร่นไป ยังมีอีกคนที่ไม่ได้ลงมือ แต่กลับยืนกอดอกและแสยะยิ้มมองดูการต่อสู้

ถึงแม้คนผู้นี้จะไม่ได้ลงมือ แต่กลับทำให้ฝ่ายตรงข้ามทั้งห้าคน สัมผัสได้ถึงความกดดันมหาศาล

สายตาของหลัวซิวจับจ้องไปที่คนผู้นี้ พบว่าคนที่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้เป็นผู้ชายในชุดคลุมยาวดำ ในร่างกายมีพลังจิตแท้หมุนเวียนอยู่ ที่แท้เป็นแรงกดดันอันน่าเกรงขามของจักรพรรดิยุทธ์ ที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามทั้งห้าคนต้องเหงื่อไหลจนอาบหน้าผาก

ทั้งห้าคนนี้ สองคนเป็นราชายุทธ์ขั้นปฐมภูมิ ส่วนอีกสามคนเป็นผู้ฝึกจิตช่วงปลาย

ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามของพวกนางจะมีแค่สองคน แต่ทั้งสองนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นราชายุทธ์ช่วงกลาง

ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายต่างระดับกัน ราชายุทธ์ช่วงกลางเพียงคนเดียว ก็สามารถจัดการกับราชายุทธ์ขั้นปฐมภูมิสองคนจนหมดเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้ได้แล้ว ส่วนราชายุทธ์ช่วงกลางที่เหลืออีกหนึ่งคน ดูราวกับแมวที่กำลังวิ่งหยอกล้ออยู่กับหนู ทำให้ผู้ฝึกจิตช่วงปลายทั้งสามคน หมดหนทางที่จะหนีรอดไปได้

คนของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่มีกำลังคนน้อย ล้วนแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวดำ ส่วนฝ่ายที่มีกำลังคนมาก ล้วนแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีขาว จึงเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

ตอนนั้นเอง สายตาของหลัวซิวก็หยุดนิ่งอย่างกะทันหัน เพราะในบรรดาห้าคนที่แต่งกายสีขาว เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีขาว ดูราวกับนางฟ้าตกสวรรค์ มีใบหน้าที่งดงาม ในมือถือกระบี่อยู่หนึ่งเล่ม และมีกระบี่สะพายหลังอีกหนึ่งเล่ม

“เหยียนซีโรว่ ?” ความทรงจำปรากฏขึ้นในหัวอย่างรวดเร็วราวกับมีน้ำถังใหญ่สาดเข้ามา

หลายปีมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย จนทำให้หลัวซิวแทบจะลืมคนผู้นี้ไปแล้ว แต่เขากลับจดจำได้อย่างชัดเจนว่า ผู้หญิงคนนี้คือความมุ่งมั่นที่เขาไม่อาจลืมเลือนได้ ต่อให้ต้องผ่านวัฏจักรมาอย่างไม่รู้จบ

เมื่อเห็นเหยียนซีโรว่ หลัวซิวก็เข้าใจในทันทีว่า คนชุดขาวกลุ่มนี้ น่าจะเป็นคนของสำนักไป๋ซิงกู่

เพราะเขาจำได้ว่า เหยียนซีโรว่เป็นศิษย์ของสำนักไป๋ซิงกู่

“เช้ง !”

ในตอนนี้เอง ไป๋หุ้ยเหลียนผู้เป็นอาจารย์ของเหยียนซีโรว่ ปรากฏขึ้นที่ข้างตัวนางอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงดึงกระบี่ยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังของนางออกมา

“นี่เป็นกระบี่ยุทธ์ขั้นดินกลาง หวังว่าท่านทั้งสามจะยอมปล่อยคนของสำนักไป๋ชิงกู่ของเราไป”

ไป๋หุ้ยเหลียนโยนกระบี่ยุทธ์ให้ราชายุทธ์ช่วงกลางทั้งสองที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่

“อาจารย์……”

เหยียนซีโรว่กำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง แต่กลับถูกไป๋หุ้ยเหลียนจ้องตาเขม็ง และกระบี่ยุทธ์เล่มนี้ คือสิ่งที่หลัวซิวมอบให้แก่นางในตอนนั้น

“กระบี่ยุทธ์สำคัญ หรือว่าชีวิตของคนสำนักไป๋ซิงกู่ของเราสำคัญกว่ากันแน่ ?”

เหยียนซีโรว่เข้าใจความหมายของอาจารย์ดี สิ่งที่นางสนใจไม่ใช่ตัวกระบี่ยุทธ์ แต่เป็นเพราะกระบี่ยุทธ์เล่มนี้ หลัวซิวเป็นคนมอบให้

“อาจารย์ ต่อให้เราจะมอบกระบี่ยุทธ์ให้กับพวกเขา คนพวกนี้ก็ไม่มีทางปล่อยเราไปอยู่ดี” เหยียนซีโรว่กัดฟันพูด

ชายชุดคลุมยาวดำที่ยืนกอดอกอยู่ในที่ไกล ๆ โดยไม่ลงมือก่อนหน้านี้ เมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังทันที “แม่นางผู้นี้พูดถูก แค่กระบี่ยุทธ์ขั้นดินกลางเล่มเดียว ไม่ได้อยู่ในสายตาของข้า ซือถูสงเลยแม้แต่น้อย”

ขณะที่พูด ซือถูสงก็ชี้นิ้วไปที่เหยียนซีโรว่ “สำนักไป๋ซิงกู่เป็นสำนักเล็ก ๆ จากที่ไหนกัน ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่ขอแค่พวกเจ้ายอมทิ้งผู้หญิงคนนี้เอาไว้ คนอื่น ๆ ข้า ซือถูสง จะยอมละเว้นพวกเจ้าสักครั้ง”

เมื่อได้ยิน สีหน้าของเหยียนซีโรว่ก็ซีดเผือดทันที แววตาของอีกฝ่ายดูราวกับหมาป่าที่ดุร้าย เห็นได้ชัดเจนว่าการรั้งตนเองเอาไว้ ต้องไม่ใช่เจตนาดีอย่างแน่นอน

ผู้นำของสำนักไป๋ซิงกู่ก็คือไป๋หุ้ยเหลียน เมื่อได้ยินชื่อของซือถูสง นางก็หน้าถอดสีทันที และแอบคิดในใจว่าช่างโชคร้ายเสียจริง ๆ ทำไมถึงพบเข้ากับปีศาจร้ายเช่นนี้ได้

ในพื้นที่เทือกเขาเหิงหยุน ซือถูสงถือว่าเป็นบุคคลที่เลื่องชื่อด้านวิชามาร เขาฝึกวิชามารโดยใช้ธาตุหยินเข้ามาเสริมธาตุหยาง ปกติแล้วหญิงสาวที่ถูกเขาดูดซับพลังจิต ล้วนมีจุดจบที่น่าเวทนา อีกทั้งปีศาจตนนี้ชอบสาวงาม และดูเหมือนว่าจะถูกใจในใบหน้าที่งดงามของเหยียนซีโรว่เข้าแล้ว

“ผู้อาวุโสซือถู นางเป็นศิษย์ของสำนักไป๋ซิงกู่ที่เตรียมจะส่งไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์หยุนไห่ ขอให้ผู้อาวุโสได้โปรดเห็นใจ” ไป๋หุ้ยเหลียนพูดอย่างสุภาพนอบน้อม

ในฐานะที่เป็นราชายุทธ์ ในอาณาเขตของประเทศเทียนหวูซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักไป๋ซิงกู่ เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับที่เทือกเขาเหิงหยุน กลับไม่มีความสำคัญอะไรเลย