ตอนที่ 391 ยอมแพ้

บัลลังก์พญาหงส์

ต่อให้เป็นลูกเขยที่เป็นสามีของลูกสาวแท้ๆ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่แม่ยายจะมาก่อเรื่องวุ่นวายในบ้านของลูกเขยได้ แล้วนับประสาอะไรกับบ้านของลูกเขยที่เป็นสามีของลูกเลี้ยง? อีกทั้งหากจะทำเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะต้องเสียหน้าจวนเหิงกั๋วกงเท่านั้น แม้แต่ฮองเฮารู้เรื่องเข้า ก็จะต้องรู้สึกเสียหน้าไปด้วย

อีกทั้ง ลูกเขยถือว่าเป็นแขกที่มีฐานะสูงส่ง เมื่อลูกสาวแต่งงานออกไปแล้วก็จะกลายเป็นคนของบ้านอื่น เกรงว่าถึงแม้ตอนที่ยังไม่แต่งงานออกไปจะมีตบตีด่าว่าลูกสาวตัวเองอย่างไร เช่นนั้นก็ยังถือว่าเป็นคนของบ้านตัวเองอยู่ คนอื่นไม่มีสิทธิ์มายุ่ง แต่หลังจากแต่งงานออกไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นคนของบ้านอื่น หากคิดอยากจะทำเหมือนเหมือนก่อน ก็ไม่มีสิทธิ์จะทำได้อีกต่อไปแล้ว

แม้ว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จะเป็นคนมุทะลุไปหน่อย แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นคนโง่ เรื่องที่ควรเข้าใจนางก็เข้าใจอยู่ ดังนั้นที่ทำท่าทีแข็งกร้าวอยู่เช่นนี้ ก็เพียงแค่อาศัยฐานะของตัวเองเท่านั้น แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือจวนเพ่ยหยางโหวไม่ยอมอ่อนข้อให้ก็เท่านั้น

ในตอนนี้เห็นอยู่แล้วว่าจวนเพ่ยหยางโหวไม่ยอมอ่อนข้อให้ จะโวยวายต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จึงได้แต่ปิดปากเงียบ

พี่สะใภ้ใหญ่ยังคงเอ่ยปากโน้มน้าวอย่างอ่อนโยน “ฮูหยินใหญ่อย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ รอจนท่านแม่หายดีแล้ว จะต้องเดินทางไปหาท่านอย่างแน่นอน”

ฮูหยินรองยิ้ม “ใช่แล้วเจ้าค่ะ หากฮูหยินใหญ่มีอะไรต้องการสั่ง ก็เพียงแค่บอกกับพวกเราสะใภ้ทั้งสี่คนเท่านั้น พวกเราจะต้องช่วยท่านจัดการอย่างเต็มความสามารถแน่นอนเจ้าค่ะ”

คำพูดนี้กลับทำให้เสียเรื่องทันที พี่สะใภ้ใหญ่เห็นท่าไม่ดี จึงถลึงตามองฮูหยินรองอย่างหมดความอดทน แต่ไม่ว่าฮูหยินรองจะตั้งใจหรือไม่ คำพูดนี้ก็หลุดออกจากปากไปแล้ว จึงทำได้เพียงรับมือไปตามสถานการณ์เท่านั้น

ถาวจวินหลันถือโอกาสตอนยกชาขึ้นดื่มพิจารณาดูฮูหยินรอง ดูไปแล้วฮูหยินรองมีท่าทีเฉลียวฉลาด ในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะยิ้มทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ในแววตาก็สามารถมองแผนการในใจได้

เห็นได้ชัดว่า ฮูหยินรองคนนี้ ไม่ได้พูดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

แต่ว่าเรื่องความขัดแย้งของสะใภ้ในจวนเพ่ยหยางโหว กลับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับนาง ดังนั้นหลังจากนางครุ่นคิดอยู่สักครู่แล้ว ถาวจวินหลันก็ละสายตาแล้วมองไปทางเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่อีกครั้ง

เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ได้โอกาสในตอนที่ฮูหยินรองพูดเช่นนี้พอดี จึงเอ่ยปากออกมาว่า “ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งอยากถาม”

ไม่ต้องเดา ถาวจวินหลันก็รู้ว่าประโยคต่อไปของเหิงกั๋วกงฮูหยินจะพูดว่าอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ๆ จวนเพ่ยหยางโหวก็ปลดปล่อยบ่าวออกไปหรือ แน่นอนว่า ที่สำคัญก็คือ ในบรรดาบ่าวที่ถูกปลดปล่อยไปจำนวนไม่น้อยเป็นบ่าวที่เพ่ยหยางโหวฮูหยินพามาจากจวนเหิงกั๋วกงตอนแต่งงาน

เป็นดั่งที่คิด เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่เอ่ยปากถามว่า “ได้ยินว่าสองวันก่อนจวนของพวกเจ้าปลดปล่อยบ่าวออกไปไม่น้อยหรือ?”

พี่สะใภ้ใหญ่เดาไว้แต่แรก ดังนั้นจึงไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย แล้วตอบอย่างมีเหตุมีผลว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริงๆ เจ้าค่ะ คุณชายน้อยป่วย ท่านแม่จึงรู้สึกกังวลใจ เพื่อทำกุศลให้กับคุณชายน้อย จึงคิดที่จะทำเรื่องนี้ ยังไม่ทันเท่าไร ก็ได้ผลจริงๆ เจ้าค่ะ”

พูดเช่นนี้แล้ว เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ก็จะพูดอะไรออกมาอีกไม่ได้ ในตอนแรกนางอยากจะตำหนิเสียหน่อย แต่ก็ได้แต่กลืนคำพูดลงไปอย่างโกรธๆ นางมองไปทางพี่สะใภ้ใหญ่อย่างไม่พอใจ “ทำไมถึงปลดปล่อยบ่าวที่ติดตามแม่ของพวกเจ้าในตอนแต่งงานออกไปตั้งมากมายเช่นนั้น? พวกเขาทำอะไรไม่ดีตรงไหนหรือ?”

พี่สะใภ้ใหญ่รีบอธิบาย “ฮูหยินใหญ่ จะรังเกียจที่พวกเขาทำไม่ดีได้อย่างไรเจ้าคะ? ท่านแม่รู้สึกสงสารที่พวกเขาลำบากมานานหลายปี ถึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้! ต้องรู้ด้วยว่า ปลดปล่อยจากการเป็นบ่าว ลูกหลานของพวกเขาก็จะสามารถสอบราชการได้ ใครจะรู้ว่าต่อไปพวกเขาอาจจะสอบได้จองหงวนหรือติดข้าราชการก็เป็นได้ มิใช่หรือ? เพราะคิดถึงผลดีต่อพวกเขาต่างหากจึงทำเช่นนี้!”

ฮูหยินใหญ่หัวเราะเสียงเยือกเย็น รู้สึกไม่เชื่อ “พูดได้ฉะฉานดีจริงๆ เช่นนั้นทำไมบ่าวที่เกิดในเรือนเพ่ยหยางโหวถึงไม่ปลดปล่อยออกไป แต่กลับปลดปล่อยบ่าวที่ตามมาจากจวนเหิงกั๋วกงไปเล่า!”

น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นแสดงถึงการตำหนิอย่างชัดเจน ท่าทีของพี่สะใภ้ใหญ่ดูเย็นชาลงไป น้ำเสียงไม่ได้ฟังดูอ่อนน้อมเหมือนเมื่อครู่ “ฮูหยินใหญ่พูดราวกับ ฮูหยินไม่ได้เห็นทีละคนๆ เสียหน่อย ทำไมถึงได้รู้ว่าท่านแม่ปลดปล่อยบ่าวที่ติดตามท่านแม่มาตอนแต่งงานเท่านั้น?”

มิใช่เช่นนี้จริงๆ หรอกหรือ? ไม่ว่าจะท่าทีเหมือนกับว่าเป็นผู้บงการจวนเพ่ยหยางโหว หรือว่าคำพูดที่แสดงความตำหนิติเตียน เห็นได้ชัดว่าต่างไม่ใช่เรื่องดีอะไรทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพูดอย่างบีบบังคับเช่นนี้

ถึงแม้ว่าจวนเพ่ยหยางโหวจะต้องพึ่งพาจวนเหิงกั๋วกง จะต้องพึ่งพาฮองเฮา แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่หมาจนตรอกที่ไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรี อย่างน้อยในจวนเพ่ยหยางโหว ใครเป็นเจ้าของใครเป็นแขก ก็ต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน

ถาวจวินหลันอดคิดในใจไม่ได้ว่า เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ทำเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่จวนเพ่ยหยางโหวจะไม่พอใจ แล้วก็ไม่แปลกที่เพ่ยหยางโหวและเพ่ยหยางโหวฮูหยินคิดอยากจะแยกตัวออกมา

“ไม่รู้ว่าฮูหยินใหญ่ไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากที่ใดรึเจ้าคะ? ไม่ใช่ว่าถูกใครหลอกเอารึ?” ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อว่า “ท่านแม่ทำความดีเพื่อสะสมบารมี ไม่ได้ทำเรื่องผิดเสียหน่อย เหตุใดฮูหยินใหญ่ต้องโกรธเช่นนี้ด้วยเล่า?”

เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจอยู่นานแล้ว ในตอนนี้พอเห็นถาวจวินหลันพูดแทรกขึ้นมา ก็เอ่ยปากต่อว่าออกมา “นี่เป็นเรื่องของจวนเพ่ยหยางโหว ไม่ใช่เรื่องของจวนตวนอ๋อง ถึงแม้เจ้าจะเป็นลูกบุญธรรม แต่ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไป เจ้ายังมีสิทธิ์พูดอะไรอีกหรือ?”

เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่พูดอย่างไม่เกรงใจ แต่ถาวจวินหลันกลับไม่ใส่ใจ เพียงแต่ยิ้ม “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ที่นี่เป็นจวนเพ่ยหยางโหว คนนอกอย่างข้าไม่ควรมีสิทธิ์ที่จะยื่นมือเข้ามายุ่งใดๆ ด้วยแต่แรก” พูดจบแล้ว นางก็มองไปทางเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วก็ขาดเพียงแค่ไม่ได้เอ่ยถามออกไปว่า ข้าเป็นคนนอก แล้วท่านเป็นคนในเช่นนั้นรึ?

เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่โกรธเสียจนถลึงตาโพล่ง แต่กลับตอกกลับมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว

“ถึงอย่างไรคนพวกนั้นก็มีความดีความชอบต่อจวนเหิงกั๋วกง จะไม่พูดอะไรเลยสักคำก็ปลดปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้รึ?” เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ทำเหมือนกับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น แล้วตำหนิพี่สะใภ้ใหญ่ต่อไปอย่างดุดัน “นางทำอะไรไม่ถูกไม่ควร เจ้าเองก็ไม่คิดจะเตือนอย่างนั้นรึ? เช่นนี้ไม่เรียกว่าเย็นชาไร้หัวใจแล้วจะเรียกว่าอะไร? ต่อไปเช่นนี้จะทำให้คนยอมรับได้อย่างไรกัน?”

ถาวจวินหลันมองเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่อย่างแปลกใจ จากนั้นก็หันหน้าไปถามหงหลัว “หากต่อไปเจ้ามีลูกมีหลาน แล้วข้าจะปลดปล่อยพวกเจ้าจากการเป็นบ่าว อีกทั้งยังให้เงินไปสร้างตัว เจ้าจะยินดีรึไม่? หรือว่าจะรู้สึกโกรธเกลียดข้า?”

หงหลัวเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จากนั้นก็เบิกตาโพล่ง แล้วพูดว่า “หากว่าบ่าวเพียงคนเดียวก็ช่างเถิด บ่าวยินดีดูแลชายารองไปตลอดชีวิต แต่ว่าหากต่อไปบ่าวมีลูกมีหลาน บ่าวก็ไม่อยากให้ลูกหลานต้องมาเป็นบ่าวไปชั่วชีวิต หากว่าสามารถหลุดพ้นจากฐานะบ่าวได้ ไม่ต้องให้เงินทองบ่าวก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุดแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจะต้องสวดมนต์ขอพรให้ชายารองทุกวันแน่นอน”

ใครอคิดอยากจะเป็นบ่าวกัน? ชั่วชีวิตนี้ต้องต้อยต่ำกว่าคนทั่วไป ตอนแรกที่ต้องขายตัวเองเข้ามาเป็นบ่าว ก็เพราะไม่มีทางเลือก หากว่าในตอนนั้นมีทางเลือกทีดีกว่านี้ อยู่ๆ ใครจะคิดอยากเป็นบ่าวกัน? นอกเสียจากจะเป็นคนที่สมองมีปัญหา

ถาวจวินหลันพยักหน้า จากนั้นก็ไม่พูดอะไรมาก เพียงแต่มองไปทางเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่แล้วยิ้มโดยไม่พูดอะไร

เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่เหมือนถูกตบหน้าอีกครั้ง ทำให้ทำหน้าเคร่งขรึมลงไปในทันที สีหน้าก็แดงระเรื่อ ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า ในใจรู้สึกเกลียดถาวจวินหลันเป็นที่สุด

ถาวจวินหลันกลับไม่สนใจ…นางเองก็รู้ดีว่านางกล้าบังอาจทำเช่นนี้กับเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ แม้ว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จะไปฟ้องฮองเฮา นางก็ไม่กลัว

อีกอย่าง เรื่องนี้เป็นเพราะเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ไม่มีเหตุผล พูดไปแล้ว อย่างมากนางก็มีแค่ความผิดที่ถือว่าพูดจาไม่เหมาะสมก็เท่านั้น

ภายใต้ความพยายามของถาวจวินหลันและพี่สะใภ้ทั้งสี่ ในที่สุดเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ก็เดินสะบัดออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว แน่นอนว่า นางไม่ได้พบกับเพ่ยหยางโหวฮูหยิน

หลังจากเหิงกั๋วกงฮูหยินกลับออกไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ไปเยี่ยมเพ่ยหยางโหวฮูหยิน…เรื่องป่วยน่ะป่วยจริง เพียงแต่แค่เป็นหวัดธรรมดาด้วยอากาศเปลี่ยนก็เท่านั้น

หลังจากมาบอกท่าทีของหลี่เย่อย่างอ้อมๆ ให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินได้รับรู้แล้ว ก็ถือว่างานที่ได้รับมอบหมายในครั้งนี้ของถาวจวินหลันเสร็จสมบูรณ์ เพียงแต่คิดถึงท่าทีของเหิงกั๋วกงฮูหยินแล้ว นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เกรงว่าเรื่องนี้จะยังไม่จบ ไม่รู้ว่าจวนเหิงกั๋วกงจะทำอะไรต่อ”

เพ่ยหยางโหวฮูหยินหัวเราะอย่างเย็นชา “กลัวอะไรไปเล่า? ในเมื่อนางไม่ไว้หน้าข้า แล้วทำไมข้ายังต้องไว้หน้านางด้วย?”

พอเห็นท่าทีเย็นชาของเพ่ยหยางโหวฮูหยินแล้ว ถาวจวินหลันก็เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกแปลกใจ เพียงแต่รู้สึกสงสัยในความน่าเชื่อถือของเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย

ถึงอย่างไรเพ่ยหยางโหวฮูหยินก็ถูกกดมานานหลายปี เวลาเพียงไม่นาน เกรงว่าคิดอยากจะพลิกฐานะของตัวเองก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถาวจวินหลันต้องมากังวลใจ ดังนั้นหลังจากนั่งอยู่สักพัก ถาวจวินหลันก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับออกมา

รอจนกระทั่งกลับถึงจวนอ๋องแล้ว ถาวจวินหลันก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปเดินตามหาหลี่เย่ที่ดูซวนเอ๋อร์เล่นขี่ม้าอยู่ในสวนพอเห็นว่าสองพ่อลูกมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ นางยืนอยู่ข้างหลังหลี่เย่ที่มองดูซวนเอ๋อร์กำลังเล่นอย่างสนุกสนาน จากนั้นก็เอื้อมมือไปจัดหมวกที่เบี้ยวๆ ของหลี่เย่

หลี่เย่ถึงได้รู้สึกว่านางอยู่ตรงนั้น จึงยิ้มออกมา “กลับมาแล้วรึ?” พูดแล้วก็ยื่นมือไปหยิบดอกกุหลาบออกมาหนึ่งดอก “นี่ เมื่อครู่ซวนเอ๋อร์เพิ่งไปเจอมา ตั้งใจเก็บเอาไว้ให้เจ้าทัดโดยเฉพาะ”

ดอกไม้ดอกนั้นผ่านมือของซวนเอ๋อร์มาแล้ว เห็นได้ชัดว่าถูกทับจนแบนและเ**่ยวไปหมด อีกทั้ง ดอกไม้ดอกนั้นยังบานนานจนแทบจะโรยแล้ว จะเอามาทัดก็คงไม่เหมาะสมเท่าไรนัก

แต่ว่าในเมื่อเป็นน้ำใจและความตั้งใจของซวนเอ๋อร์ ถาวจวินหลันก็ยังรับมาด้วยความดีใจ ยิ้มแล้วเรียกซวนเอ๋อร์เข้ามา “ซวนเอ๋อร์ให้แม่รึ?”

ซวนเอ๋อร์พยักหน้า แล้วหัวเราะเสียงดัง “ทัดดอกไม้! สวย!”

ตอนนี้ดอกไม้ในสวนต่างผลิบานเป็นจำนวนมากแล้ว สาวใช้หลายคนได้เด็ดเอาไปประดับผมของตัวเอง คิดไม่ถึงว่าซวนเอ๋อร์เห็นแล้ว จะเกิดความคิดขึ้นมาว่าทัดดอกไม้นั้นดูสวยงาม

พอได้รับคำตอบจากซวนเอ๋อร์ รอยยิ้มของถาวจวินหลันก็ยิ่งหวานขึ้นไปอีก “เช่นนั้นซวนเอ๋อร์ก็ทัดให้แม่เถิด”

ซวนเอ๋อร์จึงค่อยๆ ลงจากรถม้ามา แล้วหยิบดอกกุหลาบไป หัวเราะแล้วทัดลงบนหัวของถาวจวินหลัน

หลี่เย่กลัวว่าซวนเอ๋อร์จะทำให้ผมของถาวจวินลันยุ่ง จึงได้ยิ้มแล้วจับมือของซวนเอ๋อร์ไว้ แล้วกุมมือเล็กๆ ของเขาช่วยทัดดอกกุหลาบที่ไม่ถือว่าสวยดอกนั้นไปบนหัวของถาวจวินหลัน แล้วยังยิ้มออกมา “สวยอย่างที่ว่าจริงๆ ”

ซวนเอ๋อร์ปรบมือเห็นด้วย

ถาวจวินหลันเด็ดดอกกุหลาบสีชมพูออกมาดอกนึง ยิ้มแล้วพูดว่า “ทัดดอกไม้แล้วสวย ซ่วนเอ๋อน์ทัดให้ท่านพ่อสักดอกเถิด”

ซวนเอ๋อร์จะรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร? พอได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งดีใจ และกระโดดขึ้นไปเกาะบนตัวหลี่เย่ทันที

ถาวจวินหลันมองหลี่เย่และยิ้มอย่างมีเล่ห์กล “ท่านอ๋องทรงอย่างทัดดอกไม้หรือไม่เพคะ?”

หลี่เย่กลับเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉย “นักปราชญ์และผู้มีความรู้ในสมัยโบราณ ต่างก็ทัดดอกไม้กันทั้งนั้น ข้าไม่ติดขัดอะไร”

ถาวจวินหลันจับมือของซวนเอ๋อร์ไว้ แล้วทัดดอกกุหลาบสีสดใสดอกนั้นลงไปตรงหูของหลี่เย่ เพียงแค่มอง ก็รู้สึกว่าตาเบลอไปหมด…ผู้ชายทัดดอกไม้ ไม่ใช่เรื่องน่าขันเช่นนั้น อาจเป็นเพราะหลี่เย่หล่อเหลา เพียงแค่รอยยิ้มบางๆ ก็ทำให้ดูหล่อเหลา เพียงแค่มองก็ทำให้คนอดเกิดเป็นความรู้สึกว่าคนยังงามกว่าดอกไม้ไม่ได้ จนทำให้ดอกกุหลาบแสนสวยดอกนั้นดูเ**่ยวเฉาไปทันที