ตอนที่ 392 เปลี่ยนแปลง

บัลลังก์พญาหงส์

ไม่เพียงแต่ถาวจวินหลันเท่านั้นที่มองจนแทบไม่ละสายตา แม้แต่สาวใช้จำนวนไม่น้อยที่ถวายการดูแลอยู่ข้างๆ ก็มองไม่ละสายตาเช่นกัน…ถาวจวินหลันเห็นแล้วก็เริ่มเสียใจภายหลัง อยากจะยื่นมือไปหยิบดอกไม้ออกมา

แต่หลี่เย่กลับหันหน้าหนี ยิ้มแล้วพูดว่า “หากเอาออกจริงๆ ซวนเอ๋อร์จะรู้สึกเสียใจได้ ถึงอย่างไรก็ไม้ต้องออกจากบ้าน ไม่เป็นไรหรอก”

ถาวจวินหลันคิดแล้ว ในใจก็เกิดความคิดเรื่องน่าขันขึ้นมาได้ แล้วก็เด็ดดอกทับทิมออกมาอีกสองดอก แล้วให้ซวนเอ๋อร์ไปเสียบที่หูทั้งสองข้าง ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ทัดทั้งสองข้างไปเสียเลย”

จากนั้นก็แอบหัวเราะ ลดเสียงกระซิบไปที่ข้างหูของหลี่เย่ “ดูซี เหมือนสาวงามหรือไม่?”

หลี่เย่เองก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน ซวนเอ๋อร์ดูงุนงงไม่รู้เรื่อง แต่ก็หัวเราะตามไปด้วยอย่างงงงัน

พริบตาเดียวบรรยากาศในสวนก็คึกคัก เสียงหัวเราะดังไปไกลจนถึงนอกสวน

ทั้งสามคนต่างเล่นสนุกกันอยู่สักพัก จนกระทั่งซวนเอ๋อร์เหนื่อยแล้ว ถาวจวินหลันจึงให้แม่นมอุ้มซวนเอ๋อร์ไปนอน แต่ตัวเองกลับดึงตัวหลี่เย่ไปเดินเล่นในสวนดอกไม้

“วันนี้ข้าถึงได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าการกดขี่ที่แท้จริง” ถาวจวินหลันเดินไปก็พูดกับหลี่เย่ถึงเรื่องในวันนี้ไป “แค่เห็นท่าทีกดขี่บังคับเช่นนั้น หากว่าข้าเป็นเพ่ยหยางโหว เกรงว่าคงอดให้คนมาไล่นางออกไปไม่ได้”

หลี่เย่ได้ยินแล้ว ก็รู้สึกว่าน่าขันจนอดยกมุมปากขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นก็พูดว่า “ก่อนฮองเฮาจะได้ขึ้นรับตำแหน่งฮองเฮา จริงๆ แล้วเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่เป็นคนมีเหตุมีผลคนหนึ่ง แต่สองสามปีมานี้กลับชอบกดขี่และหยิ่งยโสถึงเพียงนี้ แต่ว่ากลับปฏิบัติเช่นนี้กับเพ่ยหยางโหวฮูหยินมาโดยตลอด หรืออาจจะพูดได้ว่ากดขี่มากกว่าเดิม”

ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ดูท่าแล้ว อำนาจคงทำให้คนหลงระเริงจริงๆ เพียงแต่ฮองเฮาทรงเฉลียวฉลาดเช่นนั้น เหตุใดถึงไม่ตักเตือนเสียหน่อยเล่า? ทำเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วคงทำให้ทุกคนโกรธเกลียดกันหมด”

หลี่เย่เลิกคิ้วเล็กน้อย “ถึงอย่างไรฮองเฮาก็อยู่แต่ในวังหลวง คนอื่นไม่พูด แล้วนางจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? แล้วถึงแม้จะรู้แล้ว ถึงอย่างไรนางก็จะสั่งให้ขังท่านแม่ของนางเอาไว้ไม่ได้” เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ถือว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดในจวนเหิงกั๋วกง หากว่าคิดอยากจะควบคุมนาง เกรงว่าคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย

ถาวจวินหลันยิ้ม “ปล่อยให้นางทำเช่นนี้ไปเถิด ถึงอย่างไรก็มีผลดีต่อพวกเราไม่น้อย” เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ยิ่งทำให้คนโกรธเกลียดเท่าไร ก็ยิ่งมีคนไม่อยากเข้าพวกกับพวกเขามากขึ้นเท่านั้น แล้วทีนี้พวกนางก็จะได้ลากคนมาเป็นพวกได้มากยิ่งขึ้น

หลี่เย่เองก็คิดเช่นนี้ ศัตรูของศัตรู ก็ถือว่าเป็นมิตร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีมาแต่โบราณ

“แต่ว่าครั้งนี้ จวนเพ่ยหยางโหวตัดขาดกับจวนเหิงกั๋วกงโดยสิ้นเชิง” ถาวจวินหลันพูด “ฮองเฮาจะลงมือจัดการจวนเพ่ยหยางโหวหรือไม่?”

“ในตอนนี้ฮองเฮายังทำเช่นนั้นไม่ได้” หลี่เย่พูดอย่างมั่นใจด้วยเสียงเคร่งขรึม “อีกทั้งจวนเพ่ยหยางโหวกล้าทำเช่นนี้ ย่อมเตรียมวิธีป้องกันเอาไว้ดีแล้ว”

จวนเพ่ยหยางโหวไม่ใช่คนโง่ ในเมื่อจวนเพ่ยหยางโหวถูกบีบบังคับให้ต้องเลือกข้างกะทันหันเช่นนี้ หากว่าไม่ได้มีการเตรียมพร้อมเอาไว้เป็นอย่างดี จวนเพ่ยหยางโหวจะกล้าทำเรื่องให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายหรือ? เห็นได้ชัดว่าไม่มีทาง

ดังนั้น จวนเพ่ยหยางโหวก็เพียงทำทุกอย่างไปตามสถานการณ์เท่านั้น ถือโอกาสครั้งนี้ออกจากการควบคุมของฮองเฮา จากนั้นก็จะได้มีชีวิตใหม่

ถาวจวินหลันคิดแล้ว ก็อดพยักหน้าไม่ได้ พูดเรื่องนี้กันมาตลอด บรรยากาศดูไม่ค่อยดีนัก ถาวจวินหลันจึงเปลี่ยนเรื่องคุย ยิ้มแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าพวกเรายังมีโอกาสเดินเล่นในสวนด้วยกัน เช่นนั้นไปดูใบบัวที่เพิ่งงอกเสียหน่อยดีหรือไม่? หากมีที่กำลังงาม ก็เด็ดมาสักสองใบ จะได้เอามาต้มน้ำแกงดื่มได้”

ทั้งสองคนเดินเล่นมองทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ เป็นช่วงเวลาว่างที่หาได้ยากยิ่งนัก

สุดท้ายทั้งสองคนก็กำหนดวันเดินทางไปบ้านพักในอีกสามวันให้หลัง

องค์หญิงเก้าจะเสด็จไปพร้อมกันด้วย องค์หญิงแปดตอบกลับมาช้า แต่ก็ได้ตอบตกลง ได้ยินว่าพระสวามีขององค์หญิงแปดลางานเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าจะลางานไม่นาน แต่ก็ยังดีที่ได้มีเวลาว่างบ้างไม่กี่วัน

ก่อนออกเดินทาง ถาวจวินหลันก็พบกับหลิวเอินอีกครั้ง

ถาวจวินหลันกำชับหลิวเอินเรื่องหนึ่งว่า “ตอนที่พวกเราไม่อยู่ในเมืองหลวง เจ้าคอยสังเกตสถานการณ์ของจวนเพ่ยหยางโหวเอาไว้ให้มาก ไม่ว่าพวกเขาจะพูดคุยเรื่องแต่งงานกับใคร ก็จะต้องหาวิธีทำลายความคิดนี้ให้ได้ หากว่าเจอคนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วยังยินยอม เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องขัดขวาง นอกเหนือจากนั้น ก็ให้ความสนใจจั่วเสี่ยนอวี้ให้มากหน่อย”

แน่นอนว่าหลิวเอินไม่มีทางปฏิเสธ

“นอกเหนือจากนั้น หากว่ามีการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ให้คิดหาวิธีแจ้งข่าวกับพวกเราโดยเร็ว” ถึงแม้ปากจะกำชับออกไปเช่นนี้ แต่ถาวจวินหลันกลับรู้สึกว่าไม่น่าจะเกิดเรื่องใหญ่ใดๆ ขึ้น

หลังจากกำชับเรื่องพวกนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องอะไรต้องสั่งอีก ถาวจวินหลันจึงให้หลิวเอินกลับไป

หลิวเอินกลับออกไปไม่นาน เจียงอวี้เหลียนก็เข้ามา ถาวจวินหลันรู้ว่าเจียงอวี้เหลียนมาเพราะเหตุใด…มิใช่เรื่องที่หลี่เย่ตัดสินใจไม่พานางไปด้วยหรอกหรือ

ดังนั้น ถาวจวินหลันจึงไม่ยอมพบหน้าเจียงอวี้เหลียน เพียงแต่ให้สาวใช้ไปบอกกับเจียงอวี้เหลียนว่า “ดูแลจวนอ๋องให้ดี อย่าทำเรื่องโง่เขลาโดยเด็ดขาด”

แน่นอนว่า คำพูดที่ให้เอาไปบอกกับนางไม่ได้พูดตรงๆ เช่นนี้ แต่กลับพูดอย่างอ้อมค้อม ทว่าความหมายก็เหมือนกัน

แค่คิดก็รู้ว่า หลังจากเจียงอวี้เหลียนได้ยินแล้วอารมณ์ของนางจะเป็นเช่นไร แต่ถึงโกรธแล้วจะทำอะไรได้? จะโกรธมากเพียงใดก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้

สุดท้ายแล้ว เจียงอวี้เหลียนก็อุ้มเซิ่นเอ๋อร์และร้องไห้ อะไรเรียกว่าความสิ้นหวัง? อะไรเรียกว่าความไม่ยุติธรรม? อะไรเรียกว่าความโกรธแค้น? ในพริบตานั้น เจียงอวี้เหลียนรู้สึกว่านางสัมผัสได้จนหมดแล้ว นางเคยคิดว่านางมีเซิ่นเอ๋อร์แล้ว ถึงแม้นางจะเทียบถาวจวินหลันไม่ได้ แต่ก็จะไม่ได้ต่างกันมากเท่าไร แต่คิดไม่ถึงว่า ถึงแม้จะมีเซิ่นเอ๋อร์แล้ว ท่าทีของหลี่เย่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

เพียงแต่นางไม่ยอมรับ ทำไมผู้หญิงแซ่ถาวผู้นั้นถึงได้กุมหัวใจของหลี่เย่เอาไว้ได้? นางมีข้อด้อยตรงไหนกัน? หลี่เย่ไม่ชอบนาง นางก็พยายามเปลี่ยนแปลง นางเรียนรู้จากผู้หญิงแซ่ถาว ถึงขั้นยอมคุกเข่าเสียหน้าเพื่อไปประจบประแจง แต่ผลลัพธ์เป็นเช่นไร?

เจียงอวี้เหลียนร้องไห้โวยวายจนแทบขาดใจ สาวใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ข้างนอกปิดปากเงียบ คิดในใจว่าช่วงนี้ต้องระวังตัวให้มาก อย่าทำให้ชายารองเจียงโกรธจะดีที่สุด มิเช่นนั้นเกรงว่าจะต้องเจ็บตัวอีกแล้ว

สักพัก เจียงอวี้เหลียนก็ค่อยๆ เช็ดน้ำตา แววตาหลงเหลือไว้แต่ความร้ายกาจ…ในเมื่อหลี่เย่ไม่หวั่นไหว เช่นนั้นนางก็ควรจะลองวิธีอื่นดูบ้าง เหมือนกับตอนนั้นที่นางหาวิธีขับไล่ผู้หญิงที่มายั่วยวนท่านพ่อของนาง!

เจียงอวี้เหลียนหัวเราะออกมาด้วยเสียงแหลมสูง ท่าทางเช่นนั้นดูแล้วช่างร้ายกาจนัก

อาจด้วยเซิ่นเอ๋อร์ตกใจ จึงได้ร้องไห้ออกมา

เจียงอวี้เหลียนรีบปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน “เด็กดี อย่าร้องไห้ไปเลย อย่าร้องเลย แม่จะต้องหาวิธีทำทุกอย่างให้เจ้าอย่างดีที่สุด จะต้องไม่มีทางทำให้ใครมากดหัวเจ้าได้ ลูกแม่”

เสียงร้องไห้ของเซิ่นเอ๋อร์ค่อยๆ เงียบลงไป สุดท้ายแล้วก็เคลิ้มหลับไปอีกครั้ง เจียงอวี้เหลียนมองใบหน้าเล็กๆ ของเซิ่นเอ๋อร์ แล้วค่อยๆ ยิ้มอย่างเย็นชา ท่าทีดูโหดเ**้ยมอำมหิต

แน่นอนว่า เรื่องในเรือนชิวอี๋นั้นไม่มีใครรู้ ถาวจวินหลันกับหลี่เย่กำลังเก็บของกันอย่างสบายใจเพื่อเตรียมตัวเดินทาง นอกจากเรือนเฉินเซียงแล้ว เรือนอื่นๆ ก็ยังดีอกดีใจไปด้วย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นโอกาสหาได้ยาก…ถึงแม้ว่าออกไปแล้วจะไม่ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับหลี่เย่ แต่ก็ยังดีที่จะได้พักผ่อนอย่างสบายใจบ้างมิใช่หรือ?

ต้องรู้ด้วยว่า ผู้หญิงคนหนึ่งต้องการจะออกจากบ้าน โดยเฉพาะออกไปไกลเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ดังนั้นอยู่ๆ มีโอกาสจึงทำให้ทุกคนต่างดีใจเป็นอย่างมาก

รอจนกระทั่งถึงเวลาเดินทาง เจียงอวี้เหลียนก็ออกมาส่ง นางแต่งหน้าทาแป้งหนาๆ แต่ว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถปกปิดใบหน้าโทรมๆ ของนางได้ก็เพียงเท่านั้น

เจียงอวี้เหลียนแอบโกรธ แต่กลับไม่ได้แสดงความโกรธออกมาอย่างเห็นได้ชัด กลับค่อยๆ เอ่ยปากออกมาว่า “ท่านอ๋องระวังตัวด้วยเพคะ ไปอยู่ที่อื่นพักผ่อนให้สบายใจ แต่ก็ต้องระวังบาดแผลด้วย เรื่องในจวนอ๋องที่มอบให้หม่อมฉัน หม่อมฉันจะจัดการทุกอย่างเป็นอย่างดีเพคะ”

ถาวจวินหลันยืนมองอยู่ข้างๆ ก็อดแปลกในเล็กน้อยไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า เกิดเรื่องผิดปกติอะไรขึ้นกันแน่?

ไม่แปลกที่นางจะรู้สึกแปลกใจ…ถึงอย่างไรหากเป็นคนอื่นไม่ว่าใครก็จะต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน เรื่องนี้ถือเป็นการหักหน้า เกรงว่าหากเป็นนางเจอเรื่องเช่นนี้ นางไม่มีทางโผล่หน้าออกมาอย่างแน่นอน แต่เจียงอวี้เหลียนกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างได้ จะไม่น่าแปลกใจได้อย่างไร?

อีกทั้งดูจากท่าทีของเจียงอวี้เหลียนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนนางไม่ได้นอน ถึงขั้นว่ายังผ่านการร้องไห้อย่างหนัก ดังนั้นถึงน่าแปลกใจมิใช่หรือ?

แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เจียงอวี้เหลียนไม่ก่อเรื่องวุ่นวายก็ถือเป็นเรื่องดี หลังจากตกใจอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หันไปยิ้มให้เจียงอวี้เหลียน แล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องในจวนอ๋องก็มอบให้ชายารองเจียงแล้ว ข้าจะต้องดูแลท่านอ๋องเป็นอย่างดี เจ้าวางใจได้”

คำพูดนี้ถือเป็นการเอามีดกรีดลงไปบนหัวใจของเจียงอวี้เหลียนอย่างแรง ถาวจวินหลันตั้งใจทำเช่นนี้ พูดจบแล้ว นางยังจงใจจ้องไปที่เจียงอวี้เหลียนอยู่นาน

เจียงอวี้เหลียนกลับทำเหมือนไม่รู้ถึงความโอ้อวดนั้น และยิ้มออกมา พลางพูดอย่างจริงใจว่า “เช่นนั้นก็ต้องลำบากชายารองถาวแล้ว”

ตอนนี้ ไม่เพียงแต่ถาวจวินหลันที่รู้สึกแปลกๆ แม้แต่หลี่เย่เองก็ทำตัวไม่ถูก น้ำเสียงของเจียงอวี้เหลียนเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน? ท่าทีเช่นนี้ ดูเหมือนกับเป็นสิ่งของอย่างไรอย่างนั้น หรือเป็นเพราะมีลูก จึงทำให้เจียงอวี้เหลียนกลายเป็นคนใจกว้างและมีคุณสมบัติของผู้หญิงดีขึ้นเช่นนี้

ถาวจวินหลันให้เจียงอวี้เหลียนกลับไปก่อน “เวลาก็ล่วงเลยมาแล้ว พวกเราจะไม่มัวรอช้าอยู่ ชายารองเจียงกลับไปก่อนเถิด”

ใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนกระตุกเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถฝืนยิ้มออกมาได้

กลับเป็นถาวจือที่อยู่ๆ ก้าวมาข้างหน้า แล้วเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “หม่อมฉันอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือชายารองเจียงดีกว่าเจ้าค่ะ เกรงว่าชายารองอยู่คนเดียวในจวน จะไม่มีคนให้พูดคุยด้วยเลยสักคน”

ถาวจวินหลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย…พูดราวกับว่า หรือว่าจะไม่มีสาวใช้หรือคนอื่นๆ อยู่ในจวนอ๋องอีก? หากว่ารู้สึกเบื่อจริงๆ ก็เชิญนักปราชญ์หญิงเข้ามาเล่านิทานอ่านหนังสือให้ฟังได้! จะต้องถึงขั้นนี้ที่ไหนกัน?

นางยิ้มแล้วมองเจียงอวี้เหลียน ถาวจวินหลันคิดในใจว่า ในเมื่อถาวจือไม่ยินยอมไป เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องบังคับ ดังนั้นจึงได้เอ่ยปากแล้วพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็อยู่ที่นี่เถิด ลำบากเจ้าที่มีน้ำใจเช่นนี้แล้ว”

ถาวจือยิ้ม แล้วเดินไปยืนข้างๆ เจียงอวี้เหลียน

เจียงอวี้เหลียนหันหน้าไปมองถาวจือ ท่าทีเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

แต่ถาวจวินหลันกลับไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ นางจึงเดินออกประตูไปพร้อมกับหลี่เย่ จากนั้นต่างคนต่างก็ขึ้นรถมาเพื่อเดินทางไปยังประตูเมือง…พวกเขาทั้งสามครอบครัวจะเดินทางมาเจอกันที่ประตูเมือง หากไปช้าเกรงว่าคนอื่นจะต้องรอนาน