ภาคที่ 5 บทที่ 59 หลังเหตุการณ์

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ยามฟ้าสว่าง บนถนนเสียงฝีเท้าอึกทึกก็ลอยมา คล้ายมีคนวิ่งตะลีตะลานร้องตื่นตระหนกอยู่

ได้ยินเสียงนี่ บุรุษคนหนึ่งในเรือนหลังหนึ่งพลันจุดคบไฟอันหนึ่งทันที

“นายท่าน” สตรีคนหนึ่งร่ำไห้กอดแขนเขาไว้

บุรุษผู้นี้สวมชุดขุนนางสวมหมวกขุนนาง ที่เอวเสียบป้ายเตือนความจำไว้ แต่งตัวถูกต้องตามระเบียบ สีหน้าก็น่าเกรงขามอย่างยิ่ง คล้ายเข้าเฝ้าในประชุมขุนนางเช้า

แต่เวลานี้รอบด้านของเขากองเต็มไปด้วยไม้ฟืน กลางวงของกองฟืนที่ล้อมอยู่ นอกจากเขากับภรรยา ยังมีลูกอีกสี่คน ชายหนึ่งหญิงสาม คนโตอายุแค่สิบสี่สิบห้า คนเล็กยังอยู่ในผ้าอ้อม เวลานี้เด็กสี่คนเบียดอยู่ด้วยกัน คนโตที่รู้ความทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นสีหน้าซีดขาว คนเล็กสองคนยังดูดนิ้วมือ คล้ายคิดว่านี่คือการละเล่นสักอย่างหัวเราะคิกคัก

“นายท่าน” ภรรยาคุกเข่าร่ำไห้ไม่อาจห้ามตัวเอง “ลูกๆ ยังเล็ก…ไม่มีทางรอดแล้วจริงหรือเจ้าคะ?”

“ภรรยา อย่าเลอะเลือนเลย” เขาเอ่ยเคร่งขรึม “ชาวจินล้อมเมืองนานปานนี้ เสียหายมหาศาล พวกเจ้าไม่รู้จักสันดานของชาวจิน ข้ารู้ชัดยิ่ง หลังพวกเขาเข้ามืองต้องแก้แค้นฆ่าล้างเมืองแน่นอน แทนที่จะถูกพวกเขาสังหารตาย ไม่สู้พวกเราฆ่าตัวตายก่อน ยังได้มีหน้ามีตา”

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปอีกหน

“ต่อให้ชาวจินไม่ฆ่าล้างเมือง ข้าในฐานะขุนนางราชสำนักก็ไม่มีทางยอมจำนนต่อชาวจินเด็ดขาด ยินดีพลีกายเพื่อแคว้น”

เขามองภรรยาที่ร่ำไห้โศกา

“เจวี้ยนเหนียงเอ๋ย ประชาชนของเมืองที่แตกยังสู้สุนัขสุกรไม่ได้ แทนที่พวกเจ้าจะถูกชาวจินย่ำยี ยังไม่สู้จากไปก่อนอย่างสะอาดพิสุทธิ์มีหน้ามีตา”

ภรรยาร่ำไห้เช็ดน้ำตา

“เจ้าค่ะ นายท่าน” นางร่ำไห้เอ่ย “พวกเราทั้งครอบครัวไปด้วยกัน”

นางพูดพลางแย่งคบไฟในมือเขามากำลังจะโยนไปทางกองฟืน ทันใดนั้นประตูใหญ่พลันถูกคนชนเปิด

เขามองไปเห็นข้ารับใช้ในบ้านหลายคนที่ตนเองให้แยกย้ายไป

“นายท่าน นายท่าน เผาไม่ได้ เผาไม่ได้ขอรับ” ข้ารับใช้ในบ้านหลายคนนั้นโซเซพุ่งเข้ามา สีหน้าคลุ้มคลั่ง “ทหารกองหนุนมาแล้ว ทหารกองหนุนมาแล้ว ชาวจินถอยไปแล้วขอรับ”

ข่าวนี้ตะลึงคนเกินไปแล้ว นายหญิงมือลื่นทีหนึ่งคบเพลิงร่วงลงกับพื้น

บนกองฟืนราดน้ำมันไว้แล้ว น้ำมันหยดไหลข้ามมาฉับพลันลุกติดไฟดังพรึบทันที

นายหญิงตกใจกรีดร้องเสียงแหลม บุรุษรีบก้าวเข้าไปกระทืบสองสามที ข้ารับใช้ทั้งหลายพลันรีบพุ่งเข้ามาช่วยเหลือ ในเรือนตกสู่ความโกลาหลพักหนึ่ง

ดีที่เปลวเพลิงไม่ใหญ่โตจึงถูกเหยียบดับอย่างเร็วยิ่ง หน้าตาของเขาอเนจอนาถอยู่บ้าง แต่ไม่มีเวลาสนจัดการกิริยาแล้ว

“ทหารกองหนุนมาแล้วรึ?” เขารีบร้อนเอ่ยถาม

บรรดาข้ารับใช้พยักหน้าอย่างยินดี

“เมื่อคืนวานมาขอรับ ตอนที่ป้องกันเมืองก็ลอบโจมตีของชาวจิน”

“ชาวจินล้วนถอยไปรับศึก วันนี้เช้าพอชาวจินถอยไป พวกเขาก็มาแล้ว”

“ประตูเมืองกำลังเปิดออก ทุกคนล้วนวิ่งไปดูแล้วขอรับ”

ข้ารับใช้ทั้งหลายต่างพูดกันวุ่นวาย ฟังแล้วเขาเวียนหัวอยู่บ้าง

“ทหารกองหนุนจากที่ไหน?” แต่อย่างไรก็เป็นขุนนาง เขาถามคำถามที่สำคัญที่สุดทันที

“กองทหารชิงซานขอรับ” ข้ารับใช้ทั้งหลายเอ่ยเสียงพร้อมเพรียง

ได้ยินว่ากองทหารชิงซาน แววตาของขุนนางพลันเป็นประกาย

หากเป็นกองทหารชิงซาน ถ้าเช่นนั้นเมืองหลวงก็ไร้กังวลจริงๆ แล้ว

“มากี่คน?” เขารีบร้อนเอ่ยถาม

ได้ยินประโยคนี้ ข้ารับทั้งหลายพลันสบตากันทีหนึ่ง

“เหมือนจะมีหลายพันนาย” พวกเขาเอ่ย

หลายพันนาย? !

ใบหน้าของขุนนางฉับพลันหมองลง

ทหารจินมีตั้งหลายหมื่นนายเชียวนะ

หลายพันคนนี่ทำอันใดได้! ต่อให้ชั่วขณะบีบทหารจินให้ถอย ทหารจินย่อมต้องบุกมาอีกแน่

เขาถอนหายใจมองกองฟืนในเรือน

“อย่างเพิ่งรื้อ เก็บไว้รอดูก่อนเถอะ” เขาเอ่ย

เวลานี้ในเมืองคนจำนวนมากไม่ได้คิดไกลเช่นนี้อย่างขุนนาง ภัยคุกคามเมืองแตกทำให้พวกเขาแทบสิ้นหวัง เวลานี้มีกำลังพลมา ทหารจินถอยไป ต่อให้สงบเพียงชั่วคราว พวกเขาก็ยินดีเสพความยินดีอันคลุ้มคลั่งนี้เช่นกัน

หน้าประตูเมืองชาวบ้านเร่งมาล้อมอยู่เต็ม อยากมองดูผู้กล้าวีรบุรุษที่ร่วงลงมาจากฟ้าช่วยเหลือพวกเขานี้

เพียงแต่ผู้กล้าวีรบุรุษตรงหน้าคล้ายไม่เหมือนกับจินตนาการอยู่บ้าง

เห็นนายทหารหลายคนสีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ร่างกายสั่นเทาฟันกระทบกันตรงหน้า ชาวบ้านทั้งหลายชั่วขณะก็ไม่รู้ควรมีปฏิกริยาอย่างไร

“ทหารกล้าทั้งหลายคงเหนื่อยแล้ว..” ชาวบ้านคนหนึ่งเป็นฝ่ายอธิบาย

ใช่แล้ว ต่อสู้สังหารมาครึ่งคืน ต้องเหน็ดเหนื่อยยิ่งแน่ นอกจากนี้บนร่างพวกเขาล้วนมีบาดแผล เห็นได้ถึงความโหดร้ายยากลำบากของการรบ

ชาวบ้านทั้งหลายล้วนรีบพยักหน้า

“ทหารจินถอยไปแล้วหรือ?” นายทหารคนหนึ่งพลันเอ่ยถาม มองชาวบ้านตรงหน้า สีหน้าคล้ายจะงุนนงงอยู่บ้าง

ดูสิ เหนื่อยจนเลอะเลือนแล้ว ขาวบ้านทั้งหลายในใจถอนหายใจ

“ใช่แล้ว พวกเจ้าเข้าเมืองแล้ว” พวเขารีบเอ่ย กำลังจะเอ่ยยกยอขอบคุณอีกหลายประโยคก็เห็นนายทหารคนหนึ่งร้องไห้โฮชึ้นมา

“น่ากลัวเกินไปแล้ว” เขาตะโกน

นายทหารหลายคนที่เหลือก็คล้ายใช้เรี่ยวแรงจนเหือดแห้งนั่งลงบนพื้นร้องไห้เสียงดัง

“น่ากลัวเกินไปแล้ว น่ากลัวเกินไปแล้ว” พวกเขากุมหัวร้องไห้โหยหวนเอ่ยซ้ำไปมา

ชาวบ้านทั้งหลายมองดูตาโตอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร

“ใช่ ใช่แล้ว” มีชาวบ้านหัวไวนิดหน่อย เอ่ยติดอ่างขึ้น “น่ากลัวยิ่ง ทหารกล้าทั้งหลายแม้ไม่หวาดกลัวที่จะสังหารศัตรู แต่อย่างไรก็หวาดกลัวเป็นไหม”

ถูกต้อง ก็มีเหตุผลนี้ ชาวบ้านทั้งหลายพากันพยักหน้า แม้ไม่เหมือนกับที่จินตนาการไว้อยู่บ้าง แต่อย่างไรนายทหารเหล่านี้ก็ช่วยพวกเขาไว้ ทุกคนพากันปลอบโยนปลอบประโลม ยกชารินน้ำ แล้วเรียกท่ามหมอทั้งหลายมารักษา

ท่านหมอทั้งหลายไม่ได้พักผ่อน ล้วนกำลังรีบช่วยรักษาอยู่ ผู้บาดเจ็บถูกยกมา คนตายถูกเก็บไป

บนกำแพงก็จัดการใหม่เช่นกัน ราวกั้นท่อนไม้ก้อนหิน เด็กๆ ทั้งหลายวิ่งมาวิ่งไปรวบรวมศร

บนล่างประตูเมืองวุ่นว่ายไปหมด แต่ไม่เหมือนกับความสิ้นหวังนิ่งสนิทก่อนหน้านี้ บรรยากาศฮึกเหิมเช่นนั้นเหมือนยามประจันศึกกับชาวจินแรกสุดอีกหน

พวกหนิงเหยียนเรียกแม่ทัพของกองทหารชิงซานมาไถ่ถาม

หลี่กั๋วรุ่ยเคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่อยู่ต่อหน้าขุนนางมากเช่นนี้เป็นครั้งแรก แม้ขุนนางเหล่านี้ตรงหน้าหน้าตาเปื้อนเขม่าฝุ่นดิน แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่วันวานเขายากจะได้เห็นยิ่งเช่นกัน

หลี่กั๋วรุ่ยตื่นเต้นทั้งยังภาคภูมิใจอยู่บ้างแนะนำตัวเอง

“ใต้เท้าหลี่?” ขุนนางคนหนึ่งประหลาดใจอยู่บ้างเล็กน้อย มองไปหลังร่างเขา “ไม่ใช่บอกว่าผู้ดูแลกองทหารชิงซานคือคุณหนูจ้าวหรือ?”

หลี่กั๋วรุ่ยฉับพลันสูญความฮึกเหิมไปบ้าง พูดไปแล้วเขาก็เป็นขุนนางอาวุโสอันดับหนึ่งอันดับสองในกองทหารชิงซาน แต่ในความเป็นจริงนั่นเป็นเพราะเขาเป็นบุรุษเท่านั้น คนดูแลตัดสินใจที่แท้จริงคือคุณหนูจ้าวที่ไม่อาจจัดตำแหน่งขุนนางให้ได้คนนั้น

คุณหนูจ้าว ยามปกติเรื่องใดนางล้วนเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ของรางวัลก็ดี หนังสือเอกสารก็ดี เรื่องจิปปาถะอันใดล้วนเป็นเขาทำเอง

แต่นี่ก็บอกชัดว่า คุณหนูจ้าวเชื่อใจเขาไหม

หลี่กั๋วรุ่ยภาคภูมิใจขึ้นมาอีกหน เมินเฉยเรื่องที่เขาอยู่ในกองทหารชิงซานแต่ไม่ถูกเชื่อถือไปด้วยตนเอง

“คุณหนูจ้าวไปพบครอบครัวของนางแล้วขอรับ” เขาเอ่ยมีท่าทางจริงจังอยู่บ้าง “ใต้เท้าทั้งหลายมีเรื่องใดถามข้าก็พอ”

……………………………………….

……………………………………….

“พี่สาว !”

จ้าวฮั่นชิงตะโกนเสียงดัง กระโดดก้าวหนึ่งมาถึงหน้าร่างคุณหนูจวิน

คุณหนูจวินยกมือลูบศีรษะของนาง จัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อยนิดหนึ่งแล้วเช็ดคราบเลือดบนหน้าของนาง นางทำสิ่งเหล่านี้อย่างละเอียดลออตั้งอกตั้งใจ คำใดก็ไม่เอ่ย

รอยยิ้มบนใบหน้าจ้าวฮั่นชิงยิ่งกว้างแล้ว

ฟางจิ่นซิ่วด้านข้างเบ้ปาก ส่วนไหวอ๋องอดไม่ได้ก้าวเข้ามาก้าวหนึ่งยืนชิดอีกด้านหนึ่งของคุณหนูจวิน

“คุณหนูจวิน ผู้นี้คือคุณหนูจ้าวหรือ?” เขาเอ่ยถาม

คุณหนูจวินรั้งมือกลับ อมยิ้มพยักหน้าให้เขา

“นี่คือน้องสาวของข้า จ้าวฮั่นชิง” นางเอ่ย

จ้าวฮั่นชิงมองไหวอ๋อง ไหวอ๋องก็มองนาง

“คุณหนูจ้าวลำบากแล้ว” ไหวอ๋องเปิดปากเอ่ยก่อน

จ้าวฮั่นชิงขานอ้อ ย่อเข่าคำนับไหวอ๋อง แม้ไม่เอ่ยวาจาแต่ท่วงท่าสง่างาม

นี่เป็นน้าเซียนสอนมาดี แล้วก็เป็นฮั่นชิงเรียนมาดี คุณหนูจวินอมยิ้มมองจ้าวฮั่นชิง ปัญญาฝีมือยุทธ์เพียบพร้อม เป็นบุตรธิดาที่บิดามารดาคนใดล้วนจะถือเป็นความภาคภูมิต้องการมี

อาจารย์ในปรโลกได้รับรู้ต้องยินดีปรีดาแน่

บรรยากาศด้านนี้อบอุ่น บรรยากาศของหลี่กั๋วรุ่ยด้านนี้กลับหนักอึ้งอยู่บ้าง

“ว่าเช่นนี้ กำลังพลกองใหญ่ขณะนี้ยังเร่งมาไม่ทัน?” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยถาม สีหน้ายากปิดบังความกังวล

หลี่กั๋วรุ่ยพยักหน้า ไม่ซ่อนเร้นสักนิด

“ชาวจินถอยชั่วคราว พวกเราจึงฉวยโอกาสฝ่าเข้ามา” เขาเอ่ยขึ้น “ทหารสอดแนมสืบรู้ชัดแล้วว่าชาวจินตั้งค่ายอยู่ที่เนินประตูศิลา”

เนินประตูศิลา? ที่นั่นห่างจากเมืองหลวงก็ไม่นับว่าไกล

ทหารถาโถมมาใหม่ได้ตลอดเวลา

“กลัวอันใด” หนิงเหยียนอ้าปากเอ่ย “ก่อนหน้านี้พวกเรายังปกป้องเมืองหลวงได้ วันนี้มีทหารกองหนุนกองหนึ่งเพิ่มมาแล้ว ยังกลัวพวกเขาชาวจินอีกหรือ?”

ก็ถูก กลัวอันใด!

มาแล้วก็สู้อีกเท่านั้น

บรรยากาศในโถงที่ทำการขุนนางเปลี่ยนเป็นฮึกเหิม

เมืองหลวงเข้าสู่สภาพเตรียมรับศึกอีกครั้ง แต่รออยู่สามสี่วันก็ไม่เห็นชาวจินเดินทางมา มีเพียงทหารสอดแนมสองฝ่ายเผชิญหน้ารบชุลมุนในที่โล่งไม่กี่ครั้ง

ที่แท้จะโจมตีหรือจะผละถอยเล่า?

“ย่อมต้องโจมตี” อวี้ฉือไห่เอ่ยนิ่งสนิท “แม้กองทหารชิงซานฝ่าเข้าไปแล้ว แต่พวกเขาก็เสียหายหนักเช่นกัน”

ในกระโจมแม่ทัพจินหลายคนสีหน้าลังเล คิดถึงศึกเลวร้ายคืนนั้นในใจยังคงหลงเหลือความหวาดหวั่น

“ทหารกองหนุนของพวกเราทำไมยังมาไม่ถึงอีก?” แม่ทัพจินคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้น

“น่าจะใกล้ถึงแล้วกระมัง” แม่ทัพจินอีกคนหนึ่งเอ่ย “ฮ่องเต้รวบรวมกองทัพใหญ่หนึ่งแสนได้แล้ว แดนเหนือชิงเหอปั๋วสู้ติดพันอยู่กับกองทัพใหญ่ห้าหมื่น ต้องต้านไม่อยู่แน่”

คำนี้ทำให้แม่ทัพจินหลายคนเผยความยินดีออกมา

“ถ้าเช่นนั้นไม่สู้รออีกหน่อย…” พวกเขาเอ่ย

อวี้ฉือไห่ด้านข้างยิ้มเย้ยหยันทั้งยังโกรธเกรี้ยว

“รออีกไม่แน่อาจไม่มีโอกาสแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น

สิ้นเสียงของเขา ก็ได้ยินเสียงบึ้มทีหนึ่ง ตามติดมาด้วยผืนดินสั่นสะเทือน ด้านนอกเสียงโหวกเหวกเอะอะดังระงม

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” แม่ทัพจินทั้งหลายตะโกนพุ่งออกไป

ทหารจินทั้งหลายในกระโจมวุ่นวาย

“ทหารโจวบุกมาแล้ว”

“กองทหารชิงซานมาแล้ว”

มาโจมตีค่ายแล้วจริงๆ หรือ? แต่แค่ทหารม้าไม่กี่พันก็ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว แม่ทัพจินกำลังจะออกคำสั่งประจันศึก กลับเห็นขอบฟ้าหมอกควันกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมา ผืนดินสั่นสะเทือนอีกครั้ง

“ไม่ใช่ กองทหารชิงซานที่มีรถยิงกระสุนมาแล้ว” ทหารจินทั้งหลายตะโกนเสียงดัง สีหน้าหวาดผวา

กองทหารชิงซานที่มีรถยิงกระสุน!

แม่ทัพจินทั้งหลายสีหน้าซีดขาว อวี้ฉือไห่ที่ยืนอยู่นอกกระโจมหลับตาลง

“ไม่มีโอกาสแล้ว” เขาเอ่ยพึมพำ

……………………………………….

……………………………………….

เห็นควันไฟลอยขึ้นมา สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบนผืนดินอันน่าสะพรึง ผู้คนบนกำแพงเมืองของเมืองหลวงก็โห่ร้องยินดี ครั้งนี้ไม่มีความกังวลอีกต่อไป

กองทัพใหญ่สามหมื่นของกองทหารชิงซานรวมพลที่เมืองหลวง กองทัพใหญ่ของชาวจินถอยไปประหนึ่งน้ำลด ข่าวนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วยิ่ง

“คลี่คลายวงล้อมแล้วจริงหรือ?”

ฮ่องเต้ที่ไท่หูรู้ตั้งแต่เพลาแรกเช่นกัน

ลู่อวิ๋นฉีขานรับ

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ทหารจินสี่หมื่นนั่นถูกตีกระเจิง หลบหนีวุ่นวายอเนจอนาถ” หยวนเป่าเสริมเช่นเคย แสดงชัดว่าตนเองรู้ข้อมูลมากยิ่งกว่า

ฮ่องเต้เผยสรวลโล่งพระทัย

“ไม่แลว ไม่เลว” พระองค์ตรัส จากนั้นขมวดพระขนงอีก “ถ้าเช่นนั้น ข้าต้องเร่งกลับไปเร็วที่สุด จะได้ปลอบประโลมหัวใจของประชาชน”

ความหมายของคำพูดนี้ของเขา สามคนที่อยู่ที่นั่นล้วนเข้าใจ

สิ่งที่ฮ่องเต้ตรัสถามก็คือจะได้หัวใจประชาชนปลอบประโลมหัวใจประชาชนแล้วกลับไปได้อย่างไร?

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” หนิงอวิ๋นเจาก้าวเข้ามาก้าวหนึ่ง สีหน้าจริงใจกราบทูล “ฝ่าบาทมาลงโทษพระองค์เองที่สุสานหลวง วันนี้ทหารจินถอยไปแล้ว ทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จกลับเมืองหลวงในเร็ววันด้วย”

ลงโทษพระองค์เองที่สุสานหลวง ความคิดดี!

ฮ่องเต้ดวงตาเป็นประกาย มองหนิงอวิ๋นเจาแล้วแย้มสรวลชื่นชม

ลู่อวิ๋นฉีที่อยู่ด้านข้างก็มองหนิงอวิ๋นเจาทีหนึ่ง สีหน้านิ่งสนิท