ภาคที่ 5 บทที่ 60 กล้าเอ่ยปาก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ในวังหลวงทหารองครักษ์กลับมาแล้ว แต่บรรยากาศในวังยังคงเอะอะวุ่นวาย

ขันทีกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ากำลังขนท่อนฟืนรอบด้านตำหนักไทเฮาออกไป

แม้สีหน้ายังคงหวาดหวั่นดังเดิม แต่เทียบกับความสิ้นหวังก่อนหน้านี้ดีกว่ามาก นี่คงเพราะหน้าตำหนักนอกจากทหารองครักษ์ยังมีทหารกล้าแถวหนึ่งยืนอยู่ด้วย

ทหารกล้าเหล่านี้สวมชุดทหาร อาวุธล้วนปลดออกแล้ว รูปร่างก็สูงใหญ่สู้ทหารองครักษ์ไม่ได้ แต่ยืนยู่ด้านนั้นรูปร่างเหยียดตรงเคร่งขรึมน่ากลัว แผ่บรรยากาศที่ทำให้คนหวาดหวั่นออกมา

นี่ก็คือกองทหารชิงซานที่คลี่คลายวงล้อมให้เมืองหลวง

เมื่อพวกเขามาถึง ทหารจินหลายหมื่นได้ข่าวก็วิ่งหนี

“ทำไมต้องไปไล่โจมตี?”

เสียงดังไม่พอใจของไทเฮาลอยออกมาจากในตำหนัก

พระสนมทั้งหลายที่เดิมทีถูกขังอยู่ที่นี่ในตำหนักล้วนไล่แยกย้ายไปแล้ว ไทเฮาที่นั่งอยู่บนพระที่นั่งสีหน้าซีดเผือด ท่าทางอ่อนแรงหลังรอดพ้นภัย แต่สีหน้าดูแล้วยังดีอยู่

“ตอนนี้เวลานี้ยังจะส่งกองทหารชิงซานมากปานนั้นไปไล่ตามโจมตีอีก เมืองหลวงไยไม่ใช่การป้องกันอ่อนแออีกแล้วเล่า?” ไทเฮาตรัสท่าทางพิโรธอยู่บ้าง ความยินดีก่อนหน้านี้ยามขุนนางคนนี้พากองทหารชิงซานกลุ่มหนึ่งมาคุ้มกันพระราชวังพลันเลือนหาย “หากชาวจินบุกกลับมาอีกจะทำอย่างไร?”

“ไทเฮาวางพระทัย ทหารคุ้มกันเมืองหลวงจัดการเรียบร้อยแล้ว กำลังทหารของเมืองเหรินจี้ล้วนอยู่ แล้วยังมีกองทหารประจำการเมืองอื่นอีกหลายแห่งก็เร่งเดินทางมาถึงแล้ว” ขุนนางเฒ่าเอ่ย

ไทเฮามองเขาสีพระพักตร์ไม่พอใจอยู่บ้าง จัดการ จัดการ ก่อนหน้านี้ก็เป็นพวกเขาปิดบังว่าสงบสุข บอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์เล่า ชาวจินเกือบตีเมืองแตก

“หนิงเหยียนล่ะ?” พระนางตรัสถาม

ครั้งนี้รักษาเมืองหลวงไว้ได้ก็เพราะหนิงเหยียนก้าวออกมาตั้งแต่เพลาแรก สงบประชาชนรวมใจของทหาร แน่นอนยังมีคุณหนูจวินคนนั้นพาครอบครัวของกองทหารชิงซานมาเสริมความแข็งแกร่งของแนวป้องกันเมืองด้วย

แต่ตอนนี้เมื่อทุกสิ่งจบลงขุนนางทั้งหลายเข้าวังมากราบทูบ หนิงเหยียนกับคุณหนูจวินกลับไม่มา

“ไทเฮา หนิงเหยียนกล่าวว่าตอนนี้ไม่ได้เป็นขุนนางไร้ตำแหน่งไม่มีโองการไม่สะดวกเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย สีหน้าแน่วแน่แล้วติดจะชื่นชมอยู่บ้าง

นี่ถึงเป็นคุณธรรมของขุนนางพลเรือน มีสิ่งที่ทำสิ่งที่ไม่ทำ ไม่ให้สตรีเหล่านี้หลบหลู่ตำหนิตามอารมณ์

ไทเฮามองเจตนาของเขาออก ในพระทัยยิ่งอับอายโกรธเกรี้ยวอยู่บ้าง

นางชาติกำเนิดต้อยต่ำ ไม่มีอำนาจตระกูลช่วยเหลือ เพื่อให้ฮ่องเต้ได้ชื่อเสียงดีงาม ฮองเฮาก็เป็นคนตระกูลเล็กตระกูลน้อย

ในสายตาของขุนนางใหญ่เหล่านี้นางกับฮ่องเต้ก็คือแม่หม้ายลูกกำพร้าครองบัลลังก์โดยไม่มีรากฐาน ไม่มีญาติข้างนอกช่วยเหลือ

ดังนั้นนางถึงต้องให้ฮ่องเต้ขยันขันแข็งดีงามอยู่เสมอ ฮ่องเต้ที่ปกครองแผ่นดินพระองค์หนึ่งมีเพียงทำได้ถึงจุดนี้ถึงเพียงพอกลายเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชาที่ขุนนางใหญ่ทั้งหลายเชื่อถือ ผลสุดท้าย…ตัวไร้ประโยชน์ตัวนี้!

“ข้าเพียงต้องการถามเรื่องการปกป้องเมืองครานี้เท่านั้น เขาเป็นคนรับผิดชอบ ไม่เป็นขุนนางไร้ตำแหน่งก็เข้ามาได้” ไทเฮาเอ่ยอย่างอดทน “ยังมีคุณหนูจวินคนนั้นอีก ล้วนต้องถกความชอบมอบรางวัล”

ขุนนางราชสำนักเงียบงันครู่หนึ่ง

“องค์ไทเฮา พูดถึงถกความชอบมอบรางวัล” เขาเงยศีรษะขึ้น “ฝ่าบาทตอนนี้อยู่ที่ไหนพ่ะย่ะค่ะ?”

ถกความชอบมอบรางวัลเรื่องเช่นนี้ย่อมต้องให้ฮ่องเต้มาทำ

ปัญหาข้อนี้ไทเฮาไม่อยากได้ยินอีกแล้ว แล้วก็เป็นเรื่องที่ไร้หนทางเช่นกัน

สีพระพักตร์ของไทเฮาไม่น่าดูอยู่บ้างอีกหน พระหัตถ์ที่กุมอยู่หน้าร่างกำแน่น

นางไม่อาจเป็นฝ่ายเอ่ยว่าไม่รู้ที่ประทับของอ่องเต้ ไม่เช่นนั้นไยไม่ใช่บอกคนใต้หล้าว่าฮ่องเต้ทิ้งนางแล้วหนีไป ทิ้งขุนนางทิ้งมารดาผู้ให้กำเนิด คนที่ไร้สิ้นความภักดีกตัญญูเช่นนี้ในสายตาคนใต้หล้ายังนับเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปรีชาอันใดอีก

ภาพลักษณ์จริงใจตรงไปตรงมาเมตตาใจกว้างที่ทุ่มเทเรี่ยวแรงใช้สิ้นความคิดสร้างให้เขาตั้งแต่เล็กจนโตหมดสิ้นแล้ว

แม้บอกว่าไม่มีก็ไม่เป็นอะไร เขายังคงเป็นฮ่องเต้ ทว่ากลัวก็แต่จะทำให้ขุนนางทั้งหลายที่เดิมก็ดูแคลนเขาอยู่แล้ววันหน้ายิ่งดูแคลนยิ่งกว่าเดิม

คิดถึงตรงนี้ไทเฮาพลันพิโรธนัก ที่พิโรธยิ่งกว่าก็คือตัวไร้ประโยชน์ผู้นี้ทำกับนางเช่นนี้ นางยังต้องปกป้องเขาอีก

“ข้าให้คนพาฝ่าบาทไปเอง” นางตรัส “ชาวจินล้อมเมือง ข้าไม่อาจให้เรื่องของฮ่องเต้เหรินเซี่ยวเกิดขึ้นอีกครั้ง”

นางเน้นน้ำเสียงที่คำว่า ‘ให้คนพาไป’ สี่คำ แสดงชัดว่านี่ไม่ใช่พระประสงค์ของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ถูกบังคับจึงจนปัญญา

ขุนนางเฒ่าค้อมศีรษะขานรับ

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เมืองหลวงคลี่คลายวงล้อมแล้ว ไม่ทราบฝ่าบาทอยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ?” เขาเอ่ย “พวกกระหม่อมจะได้สะดวกไปรับ”

ผีถึงรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน

หัตถ์ที่วางอยู่บนหัวเข่าไทเฮากำแน่น

“ยังไม่รีบร้อน ใกล้ๆ เมืองหลวงอย่างไรก็ยังมีทหารจินหลายหมื่นอยู่ รอปลอดภัยอย่างสิ้นเชิงแล้วค่อยว่ากันเถอะ” นางตรัส

ขุนนางกลับไม่ขานรับ

“ก็เพราะไม่ปลอดภัยจึงขอให้องค์ไทเฮาบอกที่ประทับ พวกกระหม่อมจะได้ส่งทหารไปคุ้มครอง” เขายืนยันเอ่ย

ขุนนางคนนี้ช่างกล้าเอ่ยปากจริงๆ ไม่จบไม่สิ้น

ไทเฮาขมวดพระขนงเส้นเลือดเขียวเต้นตุบๆ กำลังจะระเบิดโทสะ นอกวังเสียงแจ้งของขันทีพลันลอยมา

“ไทเฮา หยวนกงกงกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หยวนเป่า!

เจ้าสามานย์คนนี้! ฮ่องเต้พาเขาหนีไปแล้วกลับไม่พาตนไปด้วย ก็รู้แล้วว่าขันทีที่ติดตามฮ่องเต้มาตั้งแต่เล็กจนโตเหล่านี้ล้วนไม่มีตัวดี

ในสายตาไทเฮาความชิงชังแล่นผ่าน

ครั้งนี้กลับมา จะไม่ให้เขามีชีวิตออกไปแน่

“ไทเฮา”

หยวนเป่าก้าวเร็วไวเข้าตำหนัก เข้าประตูปุบก็ร้องไห้คุกเข่าลงกับพื้น

“รีบช่วยฝ่าบาทด้วยเถิด”

ไทเฮาตกใจสะดุ้งโหยงลุกขึ้นยืน

“ฝ่าบาทเป็นอะไรไป?” นางรีบร้อนเอ่ยถาม

แม้นางโกรธแค้นลูกชายคนนี้ แต่อย่างไรก็เป็นลูกชาย

ขุนนางด้านข้างก็ตกใจสะดุ้งโหยงด้วย

หยวนเป่าร่ำไห้น้ำตาไหลพรากเงยศีรษะขึ้น

“ฝ่าบาทลงโทษพระองค์เองอยู่ที่สุสานหลวง ไม่กินไม่ดื่มเลย ทนไม่ไหวแล้ว” เขาร่ำไห้เอ่ย “พวกบ่าวไม่กล้าปิดบังแล้วจริงๆ”

ได้ยินคำนี้ไทเฮาพลันนั่งกลับไป

ไม่กินไม่ดื่มจะตายแล้วอะไร คนที่ชาวจินยังไม่ทันบุกมาก็หนีไปได้ จะสละตนเองแสวงหาความตายได้รึ?

ลงโทษพระองค์เองที่สุสานหลวง

เขายังอุตส่าห์กล้าเอ่ยปากออกมาได้จริงๆ!

แต่ข้ออ้างนี้แม้น่าขายหน้ายิ่งก็นับว่าพอนับเป็นเหตุผลหนึ่งได้

ในพระทัยไทเฮาชิงชัง

“เขาลงโทษตนเองทำอะไร” นางเอ่ย “ข้าส่งเขาไปสุสานหลวงเอง นี่เขาจะบอกว่าข้าควรลงโทษตนเองหรือ?”

ใต้เท้าหนิงคนนั้นพูดถูกต้องจริงๆ ไทเฮาจะต้องเอาเรื่องที่ฮ่องเต้หนีออกไปโยนมาให้ตัวเอง

เรื่องนั้นก็ยิ่งทำง่ายแล้ว

หยวนเป่าในใจเบิกบานยินดี บนหน้าน้ำตายิ่งไหลมาก

“ไทเฮา ฝ่าบาทไม่ได้เจตนาเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” เขาโขกศีรษะเอ่ย “ชาวจินกำเริบสร้างความทุกข์ยากให้ประชาชน ฝ่าบาทคิดว่าเบื้องบนทำให้บรรพบุรุษเหน็ดเหนื่อย เบื้องล่างผิดต่อประชาชน หัวใจเจ็บปวดจึงโทษตัวเอง”

ไทเฮาในใจหัวเราะหยัน

“นี่เป็นความผิดของเขาจริงๆ” นางเอ่ยอย่างชิงชัง “ก็เพราะความผิดของเขา เขายิ่งสมควรเรียนรู้จากความเจ็บปวดขยันทำราชกิจ ล้างความอัปยศวันนี้ จะเป็นจะตายนับเป็นอะไร?”

หยวนเป่าก้มศีรษะค้อมกายสะอื้นไม่กล้าเอ่ยวาจาอีก

ใต้เท้าน้อยหนิงบอกว่าพูดสิ่งที่ควรพูดแล้ว ที่เหลือก็เพียงฟังไม่ต้องพูด

“ที่แท้ฝ่าบาทอยู่ที่สุสานหลวงนี่เอง” ขุนนางที่อยู่ด้านข้างฟังเข้าใจก็เอ่ยขึ้น สีหน้าสับสนแต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรอีก มองไปหาไทเฮา “ไทเฮา อย่างไรก็เชิญฝ่าบาทกลับมาก่อนเถิด ไม่กินไม่ดื่มเช่นนี้ หากเกิดอะไรขึ้นมา…”

ไทเฮาแค่นเสียงทีหนี่ง

“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าไปรับเขากลับมาเถอะ” นางเอ่ย

ขุนนางราชสำนักขานรับ

เรื่องฮ่องเต้อยู่ที่สุดสานหลวงแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วยิ่ง

“ที่แท้ฮ่องเต้ก็หนีไปหลบอยู่ที่สุสานหลวงรึ”

“เหมือนจะไม่ได้บอกว่าหลบ แต่ไปลงโทษตัวเองสำนึกผิด”

“มีการลงโทษตัวเองสำนึกผิดเช่นนี้ด้วยหรือ? ข้าคิดว่ายังจริงใจสู้เสียนอ๋องกับไหวอ๋องที่ประจันหน้าศัตรูเช่นนั้นไม่ได้”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ฝ่าบาทต้องการเสด็จเอง ถูกไทเฮาส่งไป”

ชาวบ้านบนถนนก็พากันวิพากษ์วิจารย์ แต่ฮ่องเต้ไม่ได้กลับมาทันที ขุนนางใหญ่หลายคนไปก็กล่อมฮ่องเต้กลับมาไม่ได้ ต่อมาจึงมีขุนนางกลุ่มใหญ่เดินทางไปเกลี้ยกล่อมอีก ฮ่องเต้ก็ยังไม่ยอมเผยพักตร์ เพียงให้คนส่งหนังสือประกาศโทษตนเองฉบับหนึ่งออกมา

ขุนนางทั้งหลายเห็นหนังสือประกาศโทษตนเองส่งมาพลันสีหน้าซับซ้อน

“นี่หากประกาศแก่ใต้หล้า หน้าของฝ่าบาทก็จะไม่น่าดูนักแล้ว” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา

นั่นก็คือยอมรับต่อหน้าคนทั้งใต้กล้วว่าตนเองบริหารราชสำนักอย่างไม่ฉลาดผิดพลาด สำหรับฮ่องเต้ โอรสสวรรค์ผู้วาจาดั่งทองคำผู้หนึ่งแล้ว ยอมรับว่าตนเองมีความผิดก็คือสูญบารมีของโอรสสวรรค์อย่างยิ่ง

“ไม่เช่นนั้นแล้วยังไง?” ขุนนางอีกคนหนึ่งยิ้มเฝื่อน “ไม่ประกาศโทษตนเอง หน้ายังน่าดูอยู่หรือ?”

แทนที่จะถูกชาวบ้านชี้นิ้วสงสัยว่าทิ้งเมืองหลบหนี ยังไม่สู้ประกาศความผิดตนเองเช่นนี้ แม้สูญบารมีโอรสสวรรค์ แต่บารมีโอรสสวรรค์วันนี้เสียหายไปแล้ว ไม่สู้เป็นฝ่ายยึดกุมปลอบประโลมหัวใจประชาชน

ขุนนางทั้งหลายที่เฝ้าอยู่นอกสุสานหลวงหารือพักหนึ่งก็เห็นด้วย ประกาศหนังสือประกาศโทษตนเองแก่ใต้หล้า

“ประกาศโทษตนเองก่อน รอหลังกลับราชสำนักพระราชทานรางวัลขุนนางที่มีความชอบ ปฏิรูปความเลวร้ายในระบบปกครองต่างๆ ทำให้คนเบิกบานใจ”

หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย

“เช่นนี้ เจตนาฟ้ากลับคืน ฝ่าบาทก็บารมีฟ้ายิ่งเพิ่มพูนได้เช่นกัน”

ฮ่องเต้ที่อับอายไม่พอใจเพราะเขียนหนังสือประกาศโทษตนเองได้ยินพลันพยักหน้า

“ภารกิจเร่งเด่วนคือกลับเมืองหลวง” พระองค์ตรัส

หนังสือประกาศโทษตนเองแล้วอย่างไรเล่า?

คนลืมง่ายทั้งนั้น ผ่านไปไม่นานนักก็ไม่มีคนเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว

หากมีคนความจำดีจะจดจำเอ่ยถึงให้จงได้ก็ทำให้เขาหุบปากไปตลอดกาลก็ได้แล้ว

ขอเพียงเขายังเป็นฮ่องเต้ ใครจะทำอันใดเขาได้อีก?

“ถ้าเช่นนั้นรอพวกเขาขอร้องให้ข้ากลับไปอีกหน” ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืนเอ่ย

อยู่ที่สุสานหลวงแห่งนี้มืดหนาวไม่สบายอย่างที่สุด ยืนออยู่หน้าประตูมองทีเดียวก็เห็นสุสานของอดีตองค์รัชทายาท

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยแล้วเงยหน้าขึ้นอีก “ฝ่าบาท ไม่สู้พระราชทานรางวัขุนนางที่มีความชอบที่นี่แล้วค่อยกลับไป”

ฮ่องเต้ขมวดพระขนง

“ตอนนี้จะพระราชทานรางวัลเลยหรือ?” พระองค์ตรัสถาม

“วันนี้เมืองหลวงยังไม่สงบ ทหารจินหมื่นกว่ายังเร่อยู่ในมณฑลจิงตง ทหารกำลังประจันหน้าโจมตีล้อมสังหารอยู่” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น “เวลานี้พระราชทานรางวัลแก่ผู้มีความชอบปกป้องเมือง ทั้งปลอบประโลมหัวใจประชาชนได้แล้วก็ส่งเสริมกำลังใจทหารได้ด้วย”

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์

“ได้” พระองค์ตรัส “เรียกหนิงเหยียนกับองค์หญิงซานหยางเข้าเฝ้า”

……………………………………….

……………………………………….

“เจ้าทำเช่นนี้คิดอะไรยู่?”

หลังหนิงอวิ๋นเจาไปด้านนอกส่งต่อโองการของฮ่องเต้แก่ขุนนางใหญ่ที่รออยู่แล้วกลับมา ก็พบลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ตรงทางเดิน เขาไม่ได้เงียบงันไร้วาจาเช่นนั้นอย่างเช่นปกติ แต่เป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม

หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว

“ที่จริงเป็นความเห็นแก่ตัวเท่านั้น” เขากดเสียงเบาเอ่ย “เพื่อท่านอาของข้า เพื่อนาง พิสูจน์ชื่อได้ในเร็ววัน”

เช่นนี้หรือ?

ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยวาจาอีก

นางจะมาหรือ?

นางเคยมาที่นี่ครั้งเดียวเท่านั้น

ที่นี่สำหรับนางแล้วไม่ใช่สถานที่มีความสุขอันใด

สายตาของลู่อวิ๋นฉีจับอยู่เบื้องหน้า สุสานแห่งหนึ่งเห็นอยู่ไกลๆ

ข่าวฮ่องเต้เรียกขุนนางผู้มีความชอบปกป้องเมืองหลวงเช่นหนิงเหยียนกับคุณหนูจวินเข้าเฝ้าพระราชทานรางวัลแพร่ไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็วยิ่ง ก็เหมือนที่หนิงอวิ๋นเจาว่า มุมมองที่ชาวบ้านมีต่อฮ่องเต้ดีกว่าเดิมแล้ว

อย่างไร นั่นก็คือฮ่องเต้ คือโอรสสวรรค์

ในโรงหมอจิ่วหลิงบรรยากาศก็สุขสันต์อยู่บ้างเช่นกัน

หลักๆ คือความสุขสันต์ของหลิ่วเอ๋อร์กับเฉินชี

“ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้คุณหนูของพวกเราจะได้กลายเป็นองค์หญิงยศจวิ้นจู่คนหนึ่งแล้วกระมัง?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย

องค์หญิงยศจวิ้นจู่?

คุณหนูจวินมองนาง ยิ้มไม่เอ่ยวาจา

……………………………………….

……………………………………….

สุสานหลวงด้านนี้อย่างไรก็ไม่ใช่ท้องพระโรง หลังหนิงเหยียนกับคุณหนูจวินมาก็เหมือนเช่นขุนนางที่รออยู่คนอื่นล้วนยืนอยู่ด้านนอก

ฮ่องเต้ตอนนี้ยังไม่ตกลงกลับเมืองหลวง ดังนั้นจึงไม่พบพวกเขา เพียงให้ขันทีคนหนึ่งออกมา ส่งต่อคำชมที่มีต่อเรื่องที่พวกเขาทำ หลังประกาศให้หนิงเหยียนคืนตำแหน่งเดิมรวมถึงพระราชทานเงินทองผ้าแพรไหมให้คุณหนูจวินแล้ว คุณหนูจวินกลับไม่ได้คำนับขอบคุณพระกรุณาธิคุณของฮ่องเต้

“หม่อมฉันไม่ต้องการรางวัลเหล่านี้” นางเอ่ยขึ้น

ขุนนางที่นั่นรวมถึงหนิงเหยียนล้วนประหลาดใจอยู่บ้าง

นี่คือจะขอรางวัล? ทำเช่นนี้แลดูกำเริบเสิบสาน ความชอบมากรังแกนายอยู่บ้าง

แต่ครั้งนี้นางความชอบใหญ่หลวงจริงๆ เรียกร้องสิ่งที่ตนเองต้องการบ้างก็เอ่ยปากได้เช่นกัน

ขุนนางทั้งหลายสีหน้าสับสนชั่วครู่ ใครก็ไม่ได้เอ่ยปากกล่าวตำหนิ

เรื่องไม่คาดคิดนี่ทำให้ขันทีก็คิดไม่ถึงยิ่ง

“ถ้าเช่นนั้นคุณหนูจวินต้องการสิ่งใด?” เขาขมวดคิ้วเอ่ย

คุณหนูจวินมองเขา

“หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาท สนับสนุนสายเลือดอันชอบธรรม” นางเอ่ยขึ้น “แต่งตั้งไหวอ๋องเป็นองค์รัชทายาท”

คำนี้ออกมาปุบ รอบด้านเงียบกริบไปหมด จากนั้นเสียงสูดลมหายใจนับไม่ถ้วนพลันดังขึ้น

สายตาของคนทั้งหมดล้วนรวมอยู่บนร่างสตรีผู้นี้

นางกำลังพูดอะไร?

นางกำลังพูดอะไร?