บทที่ 1399 ขายอสูรปี

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

“กระไรนะ!?”

 

บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงโกรธจัดเมื่อได้ยินเรื่องนี้

 

แม้เขาจะมีภรรยาและนางสนมมากมายแต่เขาให้ความสำคัญกับนางสนมลำดับที่สามซุ้ยป๋อมากที่สุด

 

การสร้างปัญหาให้กับซุ้ยป๋อก็คือการดูถูกบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง

 

มีความเป็นไปได้สองอย่าง

 

หนึ่งคนร้ายมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งเทียบเท่าผู้อมตะระดับแปด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กลัวบรรพชนพันเปลี่ยนแปลง

 

สองมรดกของกองกำลังพันธมิตรผีดิบของทะเลทรายตะวันตกล้ำค่าเกินไป มันจึงดึงดูดความโลภของผู้คนและทำให้พวกเขายอมรับความเสี่ยง

 

“ข้าจะจัดการพวกเขา!” บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงสูดหายใจลึกและพยายามระงับความโกรธ

 

เขาไม่สามารถออกไปได้ในเวลานี้

 

ยังมีเนื้องอกปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขาและผลิตอสูรปีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

 

เขาต้องรักษาตัวเองเป็นอันดับแรก

 

หากออกไปเวลานี้จุดอ่อนของเขาจะถูกเปิดเผย

 

‘ข้าครอบครองทะเลทรายหมื่นรูปปั้นมานาน ทุกคนรู้ว่าข้าได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่ง หากสถานะของข้าถูกเปิดเผย ทุกคนจะพุ่งเข้ามาโจมตีข้า ตอนนี้ข้าไม่สามารถเคลื่อนไหว ข้าจะปล่อยให้หงหยุนจัดการเรื่องนี้’

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ บรรพชนหมื่นเปลี่ยนแปลงจึงออกคำสั่ง “หงหยุน ออกเดินทางเดี๋ยวนี้ ตามหาซุ้ยป๋อและช่วยนาง”

 

ผู้อมตะหญิงที่อยู่ด้านนอกกล่าวด้วยความหวาดกลัว “สามี พลังการต่อสู้ของข้าค่อนข้างต่ำ ความปลอดภัยของข้าเป็นเรื่องรอง แต่หากข้าล้มเหลวในภารกิจนี้ นั่นจะเลวร้ายกว่า”

 

“อย่ากังวล ข้าจะให้เจ้ายืมวิญญาณอมตะระดับแปดพร้อมกับเจตจำนงและพลังงานอมตะของข้า ไปเถอะ” บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงกล่าวก่อนส่งก้อนเนื้อที่บรรจุวิญญาณอมตะและพลังงานอมตะของเขาออกไป

 

ผู้อมตะหญิงหงหยุนดีใจมาก นางเร่งโค้งคำนับ “นางสนมผู้นี้รับบัญชา”

 

บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงขอให้หงหยุนออกไปขณะที่เขากลับมาคิดถึงปัญหาของตนเอง

 

‘อสูรปีเหล่านี้เป็นสัตว์อสูรเดียวดายและสัตว์อสูรบรรพกาล’

 

‘แต่พวกมันเต็มไปด้วยเจตจำนงสวรรค์และเป็นศัตรูของข้า ข้าจะใช้พวกมันไม่ได้!’

 

‘แทนที่จะสังหารพวกมัน ข้าอาจขายพวกมันในสวรรค์สีเหลือง’

 

บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงไม่มีทางเลือก

 

หมื่นภัยพิบัติทำลายรากฐานเกือบทั้งหมดของเขา มิติช่องว่างของเขากำลังปั่นป่วน ร่างกายของเขาก็เช่นกัน ตอนนี้พลังการต่อสู้ของเขาตกลงถึงจุดต่ำสุด

 

‘การบ่มเพาะของผู้อมตะยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ’

 

‘แม้ข้าจะได้รับมรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจคลั่งแต่ข้ายังต้องเผชิญหน้ากับอันตรายเช่นหมื่นภัยพิบัติ’

 

‘ไม่แปลกใจเลยที่ผู้อมตะระดับเก้ามีน้อยมากในประวัติศาสตร์ เห้อ…’

 

บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงถอนหายใจยาวขณะที่เขายัดอสูรปีเดียวดายเข้าไปในมิติช่องว่างของตน

 

โดยใช้มิติช่องว่างเป็นทางผ่าน เขาส่งอสูรปีตัวนี้ไปยังสวรรค์สีเหลือง

 

สิ่งที่เข้าสู่สวรรค์สีเหลืองจะถูกประเมินคุณค่าโดยแสงสมบัติ

 

แม้อสูรปีตัวนี้จะไม่ใช่อสูรปีที่แท้จริงแต่มันก็ถูกสร้างขึ้นจากเนื้อหนังของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงที่เต็มไปด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งกาลเวลาและร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง หลังจากเข้าสู่สวรรค์สีเหลือง แสงสมบัติปลดปล่อยแสงสว่างออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ

 

แสงสมบัติดึงดูดความสนใจของผู้อมตะจำนวนมาก

 

บางส่วนเป็นเจตจำนงขณะที่บางส่วนเป็นสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของผู้อมตะที่เข้ามาทำธุรกรรม

 

“ท่านขายอสูรปีตัวนี้อย่างไร?” ในไม่ช้าผู้อมตะบางคนก็เข้ามาถาม

 

บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่รีบ ไม่รีบ”

 

ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ส่งอสูรปีเข้าไปในสวรรค์สีเหลืองอย่างต่อเนื่อง

 

อสูรปีเป็นสัตว์อสูรหายาก พวกมันอาศัยอยู่ในสายธารแห่งกาลเวลาและหาได้ยากในห้าภูมิภาคหรือสวรรค์ทั้งสอง การเข้าสู่สายธารแห่งกาลเวลายากกว่าการเข้าสู่สวรรค์สีขาวและสวรรค์สีดำ มีเพียงผู้อมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาเท่านั้นที่สามารถเข้าออกสถานที่แห่งนี้ได้อย่างอิสระ

 

อสูรปีเดียวดายและอสูรปีบรรพกาลทำให้สวรรค์สีเหลืองเกิดความโกลาหล

 

“มีผู้อมตะบางคนขายอสูรปีจำนวนมาก ไปดู!”

 

“อสูรปีเหล่านี้มีคุณภาพสูงมาก พวกมันน่าประทับใจ”

 

“มันยากที่จะจินตนาการว่ามีคนเลี้ยงอสูรปีมากมายเช่นนี้ คนผู้นี้ต้องเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งกาลเวลาที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน!”

 

เหล่าผู้อมตะพูดคุยและคาดเดา

 

บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงค่อนข้างพอใจ ความโกลาหลดึงดูดผู้อมตะมากมายเข้ามา

 

“อสูรปีเหล่านี้สะอาดหมดจด ข้าไม่ได้ใช้วิธีการบนเส้นทางแห่งทาสกับพวกมัน พวกเจ้าสามารถดูด้วยตาของตนเอง” บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงอธิบาย

 

ผู้อมตะเหล่านั้นพบว่ามันเป็นเรื่องจริงและรีบถามราคา

 

“ไม่รีบ ไม่รีบ” บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงกำลังรอ

 

อสูรปีเหล่านี้ไม่ใช่สัตว์อสูรที่แท้จริง มีความแตกต่างระหว่างพวกมันกับอสูรปีตามธรรมชาติ

 

อสูรปีทั่วไปสามารถตกเป็นทาส แต่อสูรปีเหล่านี้เต็มไปด้วยเจตจำนงสวรรค์ ผู้อมตะไม่สามารถสะกดข่มพวกมันได้ด้วยวิธีทั่วไป

 

ดังนั้นบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงจึงต้องขายพวกมันทั้งหมดในเวลาอันสั้นที่สุด

 

นี่ไม่ใช่การค้าที่ยั่งยืน

 

เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนจะพบปัญหานี้และทำให้ธุรกิจของเขาไม่สามารถดำเนินการต่อ

 

‘หวังว่าบางคนจะเสนอราคาสูงและซื้อพวกมันไปในครั้งเดียว!’ บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงคิดถึงสถานการณ์ที่ดีที่สุด

 

เขาต้องการขายมันให้กับกองกำลังใหญ่หรือผู้อมตะระดับแปด

 

อสูรปีของบรรพชนพันเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

กลุ่มผู้อมตะอ้าปากค้างกับธุรกรรมครั้งใหญ่ครั้งนี้

 

เมื่อเห็นคนมาเพิ่มขึ้น บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงจึงประกาศ “ข้าไม่ชอบปัญหา ผู้ใดให้ราคามากที่สุด ข้าจะขายให้คนผู้นั้น สำหรับราคาของมันข้าจะขายตามแสงสมบัติ นี่เป็นการค้าที่ยุติธรรม”

 

เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ แน่นอนว่ากลุ่มผู้บ่มเพาะสันโดษรู้สึกไม่พอใจ

 

แต่ยังมีบางคนถามราคาของพวกมัน

 

พวกเขาล้วนเป็นผู้อมตะระดับแปดหรือตัวแทนจากกองกำลังใหญ่

 

บรรพชนพันเปลี่ยนแปลงเจรจากับคนเหล่านี้อย่างใกล้ชิด หลังจากขายอสูรปีทั้งหมด เขาจะได้รับกำไรไม่น้อย

 

มันจะชดเชยความสูญเสียของเขาได้บางส่วน

 

…..

 

ฟงจิวเก้อบินอยู่บนท้องฟ้า

 

มันเป็นท้องฟ้าที่แจ่มใสและไร้เมฆ

 

เมื่อมองลงไป เขาเห็นเนินทรายเคลื่อนตัวไปมาอย่างช้าๆ มีต้นกระบองเพชรรูปร่างเหมือนมือมนุษย์ในลักษณะต่างๆอยู่ที่นี่

 

มันเป็นทิวทัศน์ของทะเลทรายตะวันตกที่ทำให้ฟงจิวเก้อรู้สึกเพลิดเพลิน

 

แต่ความสนใจส่วนใหญ่ของเขาอยู่ด้านหน้า

 

‘ข้าเข้าใกล้ฟางหยวนแล้ว’ ฟงจิวเก้อบินลงไป

 

ในไม่ช้าเขาก็ลงจอดบนพื้นทรายที่ร้อนระอุ

 

ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ทำให้เกิดความโกลาหลและไม่มีแม้แต่ลมพัด

 

ฟงจิวเก้อมองไปรอบๆด้วยดวงตาส่องประกาย

 

‘มีภาพลวงตาอยู่ที่นี่!’

 

ฟงจิวเก้อค้นพบสิ่งนี้ก่อนจะยื่นแขนออกและใช้มือบีบอากาศ

 

ต่อมาท่าไม้ตายอมตะก็ถูกกระตุ้นใช้งานอย่างลับๆ กลิ่นอายของมันถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างสมบูรณ์

 

ในที่สุดฟงจิวเก้อก็เปิดฝ่ามือขณะที่ลมที่อยู่ในกำมือลอยอยู่กลางหน้าอกของเขา

 

“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว…”

 

ลมเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและทะลวงผ่านภาพมายาไปยังแกนกลางของค่ายกลวิญญาณ

 

วิสัยทัศน์ของเขาเปลี่ยนไปทันที

 

ทรายดูดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในมุมมองสายตาของฟงจิวเก้อ

 

เสียงของมันเหมือนเสียงน้ำตก

 

ควันที่ลอยอยู่รอบๆเหมือนไอน้ำ

 

มันดูยิ่งใหญ่มาก

 

ฟงจิวเก้อมองไปรอบๆแต่ไม่พบฟางหยวนและคนอื่นๆ

 

เขามองไปที่จุดศูนย์กลางของวังวนทราย

 

มีหลุมดำอยู่ที่นั่น

 

หลังจากตรวจสอบ ฟงจิวเก้อไม่ลังเลที่จะกระโดดลงไปในหลุมดังกล่าว

 

ฟงจิวเก้อบินลงไปในหลุมทรายและพบว่าตนเองอยู่ในความมืด

 

เขามองไม่เห็นสิ่งใดเลยแต่นั่นไม่สำคัญ วิธีการตรวจสอบของเขามีไม่มากแต่มันยังมีประโยชน์

 

ความมืดไม่สามารถหยุดเขา

 

‘กลิ่นอายของกาลเวลา!’ หัวใจของฟงจิวก้อเต้นแรง เขารู้ว่าตนเองมาถูกที่แล้ว

 

นี่อาจเป็นสาขาของสายธารแห่งกาลเวลา มีความเป็นไปได้ที่ฟางหยวนจะพยายามเข้าไปในสายธารแห่งกาลเวลาเพื่อค้นหามรดกที่แท้จริงของเทพปีศาจบัวแดง!