บทที่ 162 ความหวังที่ล่มสลาย

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 162
ความหวังที่ล่มสลาย

“เสี่ยวเสวี่ย เธอบอกว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่มีวันทิ้งฉันไม่ใช่เหรอ?” ฮวงฟูอี้เองก็พูดขึ้นมาเหมือนกัน ถ้าเขาไม่พูดอะไรเลย เขาก็คงจะถูกเสี่ยวเสวี่ยจูงจมูกไปได้ เขามองไปที่ชูอี้เสิ่นด้วยสายตาเย็นชา ไม่คิดว่าเขาเป็นคนเดียวที่จะพูดอะไรแบบนี้ได้

“อ่า?! เสี่ยวอี้…พี่ชู…” มู่หรงเสวี่ยรู้สึกอายจนไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้ว ไม่รู้ว่าอยู่ดีๆสองคนนี้เกิดเป็นอะไรกันขึ้นมา มันดูเหมือนกับเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่มีหัวใจ ทั้งๆที่ความจริงเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับทั้งสองคนนี้เลย โอเคไหม?

“มู่หรงเสวี่ย ตามแม่มานี่!” จางเข่อเหรินปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ เธอพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจไปทางมู่หรงเสวี่ย แล้วเธอก็หันไปหามู่หรงเฟิงหัวแล้วพูดออกมาว่า “คุณคุยกับสองหนุ่มนี่ไปก่อนนะคะ ฉันมีเรื่องที่ต้องถามเสี่ยวเสวี่ย”

มู่หรงเสวี่ยเดินตามจางเข่อเหรินขึ้นไปที่ห้องทำงาน หลังจากที่ปิดประตู จางเข่อเหรินก็ขมวดคิ้วและถามออกมา “กับผู้ชายสองคนนั้นมันมีเรื่องอะไรกัน? ลูกมีแฟนแล้วงั้นเหรอ?! ลูกอายุเท่าไรกัน?! อีกอย่าง ลูกจับปลาสองมืองั้นเหรอ?!”

มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างช่วยไม่ได้ “แม่ค่ะ มันไม่ใช่แบบนั้น!!! หนูไม่รู้เลยว่าทำไมผู้ชายสองคนข้างล่างถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมากัน?!!”

“ถ้าลูกไม่รู้แล้วใครจะรู้ล่ะ?” จางเข่อเหรินพูดโดยไม่ได้โกรธอะไร

มู่หรงเสวี่ยจับผมตัวเองและถามออกมา “แม่คะ ทำไมเสี่ยวอี้ถึงมาอยู่ที่บ้านได้?”

“ลูกถามแม่งั้นเหรอ?! แม่ยังไม่ได้ถามลูกเลยด้วยซ้ำนะ?! เขามาที่นี่เมื่อวานและบอกว่าเป็นสามีในอนาคตของลูก” จางเข่อเหรินพูดจบและมองไปที่ลูกสาว

งงไปหมดแล้ว! พระเจ้ากำลังเล่นตลกอะไรกันเนี่ย!!! “แม่คะ เสี่ยวอี้เป็นน้องชายของหนู…”

จางเข่อเหรินมองไปที่มู่หรงเสวี่ยด้วยท่าทางไม่พอใจมากขึ้นไปอีก “น้องชายงั้นเหรอ?! ทำไมแม่จำไม่เห็นได้เลยว่ามีลูกชายด้วย?”

มู่หรงเสวี่ยรีบอธิบายเพื่อให้เข้าใจเรื่องของฮวงฟูอี้อีกครั้ง แน่นอนข้ามความจริงที่ว่าพวกเขานอนเตียงเดียวกันออกไป

“งั้นลูกคือคนที่ช่วยเขา ไม่ได้เดตกับเขางั้นเหรอ?!! แล้วเรื่องที่เขาบอกว่าลูกจะไม่ทิ้งเขาไปตลอดชีวิตล่ะ?” จางเข่อเหรินไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้

“ในตอนนั้น เขามีความทรงจำของเด็กห้าขวบเท่านั้นแล้วเขาก็ดูหวาดกลัวตลอดเวลาด้วย หนูเลยต้องคอยปลอบเขา…” มู่หรงเสวี่ยก้มหัวลงและพูดอย่างรู้สึกผิด

เมื่อได้ยินคำตอบ จางเข่อเหรินก็ถึงกับพูดไม่ออก
หลังจากที่เงียบไปนานจางเข่อเหรินก็ถามออกมาอีกครั้ง “แล้วชูอี้เสิ่นล่ะ?”

ส่วนเรื่องพี่ชู เขามาช่วยหนู มีเรื่องเกิดขึ้นที่มหาลัย หนูเลยขอให้เขามาช่วยแกล้งแสดงเป็นแฟน หนูอยากที่จะกลับมากับเขาเพื่อที่เราจะได้มาอธิบายด้วยกัน หนูไม่รู้ว่าทำไมมันถึงออกมาเป็นแบบนี้…”

จางเข่อเหรินมองไปที่ลูกสาวแสนโง่ที่อยู่ตรงหน้า มีคนมาชอบเธอมากมายแต่เสี่ยวเสวี่ยยังตามไม่ทันและสับสนอยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาใช้ข้ออ้างนี้เพื่อที่จะมาเจอกับพ่อแม่ของเธอ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเธอยืนยันความสัมพันธ์ได้

พูดง่ายๆคือเธอเข้าใจสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว บางทีหนุ่มสองคนข้างล่างอาจจะกำลังไล่ตามเสี่ยวเสวี่ย จางเข่อเหรินมองมาที่เสี่ยวเสวี่ยซ้ำไปซ้ำมาแล้วจึงได้ข้อสรุปออกมาว่าสองหนุ่มคุณสมบัติดีคงจะคลั่งรักลูกสาวแสนซื่อบื้อของเธอแน่ๆ ไม่ใช่ว่าเธอจะดูแคลนลูกสาวของตัวเองหรอก ผู้ชายดั่งเทพบุตรแบบนั้นอยากจะได้ผู้หญิงคนไหนก็ได้แต่กลับมาสนใจเด็กสาวธรรมดาแบบลูกสาวของเธอ มันน่าเหลือเชื่อจริงๆที่เธอไม่สามารถที่จะตอบรับความใจดีของพวกเขาได้

อันที่จริงเธอไม่อยากให้เสี่ยวเสวี่ยแต่งงานเร็ว ตรงกันข้ามเลยเธอหวังว่าลูกสาวจะแต่งงานในช่วงอายุเดียวกับเธอ ถ้าเธอได้แต่งเข้าไปในตระกูลใหญ่แล้วตระกูลมู่หรงปกป้องอะไรเธอไม่ได้ ถ้าเธอถูกรังแกล่ะ แล้วเธอจะทำยังไง? ลูกสาวเธอเพียงจะ 16 เองนะ เธอต้องคิดเรื่องพวกนี้ด้วย แต่ดูเหมือนว่าสองหนุ่มที่อยู่ข้างล่างจะไม่ยอมไปง่ายๆด้วย โชคดีที่เสี่ยวเสวี่ยไม่ได้คล้อยตาม

“ตอนนี้จัดการปัญหาของตัวเองซะก่อนด้วย!” จางเข่อเหรินมองมาที่เธออีกครั้ง

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยดูสับสนไปหมด “แม่คะ แม่กำลังพูดถึงเรื่องปัญหาอะไร?! เรื่องยุ่งอะไร…”

จางเข่อเหรินสะอึกและอยู่ดีๆก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เธอพยายามห้ามใจไม่ตีก้นลูกสาวตัวเอง หลังจากที่คุยกันอยู่นานแต่เธอกลับไม่เข้าใจอะไรเลย
“ช่างมันเถอะ ลงไปข้างล่างกัน!” จางเข่อเหรินขี้เกียจจะอธิบายกับเธอแล้ว อันที่จริงเธอคิดว่าอาจจะดีกว่าถ้าเสี่ยวเสวี่ยจะไม่รู้อะไรเลยดังนั้นเธอจึงไม่ได้อธิบายอะไร

ไม่คิดเลยว่าข้างล่างจะมีแต่เสียงหัวเราะดังขึ้นมา มู่หรงเสวี่ยถาม พ่อหัวเราะอยู่จริงๆด้วย ทั้งสามคนคุยเรื่องอะไรกันนะ

“พ่อคะ คุยเรื่องอะไรกันอยู่เหรอถึงได้มีความสุขกันขนาดนี้?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ฮ่าฮ่า?! เสี่ยวเสวี่ยไม่มีอะไรหรอก แค่กำลังคุยกันเรื่องที่สนใจอยู่น่ะ พวกเราสนิทกันแล้ว” มู่หรงเฟิงหัวพูดออกมาอย่างพอใจ

จางเข่อเหรินนั่งลงข้างๆมู่หรงเฟิงหัวแล้วเหยียบลงไปเต็มๆที่เท้าของเขาเพื่อที่เขาจะได้สังเกตให้ดี เขาถึงขนาดหัวเราะและพูดชมพวกเขาอีกด้วย

สีหน้าของมู่หรงเฟิงหัวเปลี่ยนไปแต่ก็ไม่กล้าที่จะร้องออกมา เขาหันไปหาจางเข่อเหรินและอ้อนวอนด้วยสายตา

หลังจากนั้นจางเข่อเหรินก็ผ่อนคลายและคุยเรื่องไร้สาระ ตอนนี้เธอคือแม่ภรรยาที่กำลังเลือกลูกเขยแต่ยิ่งเธอมองเท่าไร เธอก็ยิ่งรู้สึกพอใจมากขึ้นเท่านั้น ดูเหมือนว่ามันน่าเสียดายจริงๆที่ต้องเลือกให้ลูกสาวเธอ

ในบทสนทนาสุดท้ายไม่มีใครพูดถึงเรื่องการขอเป็นลูกเขยเหมือนที่พูดในตอนแรกเลย เหตุผลหลักก็เพราะ จางเข่อเหรินไม่อนุญาตให้พวกเขาพูดถึงเรื่องนี้เลยตลอดเวลาแถมยังพูดเป็นนัยๆอีกว่าเสี่ยวเสวี่ยยังเด็กเกินไปที่จะมีความรัก

ในตอนเย็น จางเข่อเหรินเอ่ยปากถามเรื่องที่พักของทั้งสองหนุ่มอย่างสุภาพ

ฮวงฟูอี้พูดออกมาว่า “ตอนที่ผมอยู่ที่เมืองหลวง ผมอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย”

ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องจริงแต่สายตาของคนทั้งสามต่างก็มองจ้องมาที่เธอจนเธอแทบจะเลี่ยงไม่ได้ มู่หรงเสวี่ยปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ นี่มันอะไรกันเนี่ย?! อีกอย่างเสี่ยวอี้ก็ไม่เหมือนเสี่ยวอี้เลยสักนิดตอนนี้เขาดูสูงส่งและดูถูกไปซะทุกอย่าง เขาเย็นชาราวกับพระราชา ทำให้เป็นเรื่องสำหรับเธอที่จะมองเขาเป็นน้องชายที่ชอบออดอ้อนเธอเสมอ

ชูอี้เสิ่นแน่นอนว่าไม่พอใจเท่าไร ผู้หญิงที่เขารักมีแต่ผู้ชายที่อันตรายมาล้อมรอบ แล้วเขาจะมั่นใจได้ยังไงจึงพูดออกไปว่า “คุณฮวงฟู ผมบังเอิญมีบ้านอยู่ในจังหวัด A ด้วย ถ้าคุณไม่รังเกียจก็ไปพักที่บ้านผมได้ มันคงไม่เหมาะกับคุณเท่าไรที่จะพักในบ้านพ่อแม่แฟนผมแบบนี้ใช่ไหม?!!” ไอ้สาระเลวนี่ นี่เขายังอยากที่จะนอนกับเสี่ยวเสวี่ยอยู่อีกงั้นเหรอ?! ข้ามศพฉันไปก่อนเถอะ!

“แต่ฉันรังเกียจ!” ช่างเป็นคำตอบที่น่าเกลียดจริงๆ แต่เขาแค่คิดว่าไม่รู้ว่าบ้านที่พูดถึงจะเป็นยังไง

ชูอี้เสิ่นมองไปที่เขาอย่างเย็นชา ไอ้หมอนี่ไม่สนใจเรื่องมารยาทเลยสักนิด เขากล้าที่จะพูดแบบนี้ต่อหน้าพ่อแม่ มู่หรงเสวี่ย อีกอย่างเขาไม่อภัยให้ไอ้หมอนี่แน่ ไอ้หมอนี่คิดว่าเขาเป็นใครกันแน่

มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาเหลือบมองไปที่เสี่ยวเสวี่ยแต่เด็กสาวก็ยังสับสนเหมือนกัน สุดท้ายก็เป็นจางเข่อเหรินที่ถามสองหนุ่มอย่างสุภาพเพื่อให้ค้างที่บ้านมู่หรงและปล่อยให้พวกเขาได้ทำความสนิทสนมกับคนในบ้านก่อนที่จะยอมแพ้

จางเข่อเหรินรู้ว่าชูอี้เสิ่นและเสี่ยวเสวี่ยคงไม่ว่าอะไร ปล่อยให้เรื่องอื่นๆพัฒนาไปอย่างเป็นธรรมชาติ เด็กๆจะได้เติบโตอย่างเป็นธรรมชาติและเธอจะไม่เข้าไปก่าวก่ายมากนัก แน่นอนว่าเธอจะไม่ปล่อยเธอไปคนเดียว เมื่อลูกสาวเธอเดินไปข้างหน้าเธอก็จะอยู่เคียงข้างเธอไปด้วยและเมื่อไรที่เสี่ยวเสวี่ยล้มเธอก็จะยื่นมือเข้าไปช่วย นี่เป็นความรับผิดชอบของพ่อแม่

“เสี่ยวเสวี่ย พูดกับฉันสิ!”
“เสี่ยวเสวี่ย พูดกับฉันสิ!”
หลังจากที่คู่สามีภรรยาเดินออกไป ชูอี้เสิ่นและฮวงฟูอี้ก็พูดออกมาพร้อมกัน

มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “พูดขึ้นมาก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องที่จะถามพวกนาย…”

“เสี่ยวเสวี่ยฉันอยากที่จะคุยกับเธอตามลำพัง!” ชูอี้เสิ่นจ้องไปที่ฮวงฟูอี้และพูดออกมา

มู่หรงเสวี่ยเองก็มองไปที่ฮวงฟูอี้เช่นกัน เธอเองก็อยากที่จะถามอะไรพี่ชูนิดหน่อยด้วยเหมือนกัน ตอนนี้ฮวงฟูอี้ไม่ใช่เด็กแล้ว “เสี่ยวอี้ ทำไมนายไม่ไปพักผ่อนก่อนล่ะ?”

ฮวงฟูอี้ไม่ได้พูดอะไร ดวงตาที่แสนสวยของเขาจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ยอยู่นานก่อนที่จะลุกขึ้นและพูดออกมาว่า “ฉันจะรอเธออยู่ในห้อง…” แล้วเขาก็เดินออกไป มีเพียงเธอที่พูดกับเขาแบบนี้ได้

มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปากและเงยหน้ามองไปที่ชูอี้เสิ่น “พี่ชู ก่อนหน้านี้ฉันพูดชัดแล้วนิ พี่จะต้องกลับบ้านมากับฉันเพื่อนอธิบาย แล้วทำไมวันนี้พี่ถึงพูดแบบนั้น…”

ชูอี้เสิ่นจับมือเธอแล้วพูดออกมาว่า “เสี่ยวเสวี่ย ฉันไม่ดีเหรอไง?”

“พี่ชู แน่นอนสิ! แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ฉันถาม…” มู่หรงเสวี่ยพูดต่อ “แล้วเราสองคนก็แกล้งทำเป็นแฟนกัน…”

หลังจากนั้นชูอี้เสิ่นก็มองไปที่เธออย่างหลงใหล “เสี่ยวเสวี่ย เธอไม่รู้เลยเหรอว่าฉันหมายความว่ายังไง?! ฉันคิดว่าเธอรู้อยู่แล้ว…ฉันชอบเธอ…”

ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็เบิกตากว้างแต่ในใจกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเท่าไร บางทีเธออาจจะรู้เรื่องนี้มาก่อนบ้างแล้วแต่ก็สะกดจิตตัวเองไว้ว่าพี่ชูเพียงแค่รักเธอแบบน้องสาวเท่านั้นและรู้ว่าสักวันเธอก็จะเชื่อแบบนั้นด้วยเหมือนกัน

เธอดึงมือตัวเองกลับ ท่าทางดูลุกลี้ลุกลนและสับสนนิดหน่อย “ชู…พี่ชู…ฉัน…”

“ไม่ต้องรีบปฏิเสธฉันหรอก เธอไม่ได้รังเกียจฉันใช่ไหม?!! ทำไมเธอไม่ลองคบกับฉันดูล่ะ? ฉันจะเทิดทูนเธอไปตลอดชีวิตของฉัน…” ชูอี้เสิ่นพูดขัดเธอ

มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว มองย้อนไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา พี่ชูดีกับเธอมากจริงๆ แม้แต่ตอนที่เธอเลิกกับชางกวนโม่ในตอนนั้น เขาก็อยู่กับเธอด้วย บางทีพี่ชูอาจจะเป็นผู้ชายที่ปฏิบัติกับเธอดีที่สุดในโลกรองจากพ่อของเธอแต่เธอจะทำยังไงดีล่ะ?! เธอมองเขาเป็นเพียงพี่ชายเท่านั้นและไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะพัฒนาไปเป็นอย่างอื่นได้

“พี่ชูฉันขอโทษนะคะ ฉันรับคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว…และฉันจะเทิดทูนพี่ชูในฐานะเพื่อนสนิทของฉันเสมอ…ฉันหวังที่จะมีความสัมพันธ์กับพี่ชูไปตลอดชีวิตของฉัน…แบบนี้มันไม่โอเคงั้นเหรอคะ?” มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าพร้อมความรู้สึกผิดในสายตา