บทที่ 163 โรงเรียนเก่าของฉัน

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 163
โรงเรียนเก่าของฉัน

ถึงแม้เขาจะรู้เธอไม่ได้ชอบเขามานานแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกแย่หลังจากที่ได้ยิน เขาก้มหัวต่ำและปิดสีหน้าที่แสนเศร้าด้วย ฝ่ามือ เขาไม่อยากให้ท่าทางเศร้าของเขาทำให้มู่หรงเสวี่ยต้องอาย เขาเสียใจอย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยเสียใจมากที่ปฏิเสธพี่ชู ในหัวใจเธอพี่ชูเป็นคนที่สำคัญราวกับครอบครัวของเธอเอง โดยเฉพาะตอนที่เธอเห็นเขาปิดบังหน้า หัวใจของเธอถึงกับกระตุก “พี่ชู…”

ชูอี้เสิ่นตอบด้วยเสียงต่ำ “ฉันไม่เป็นไร ฉันอยากอยู่คนเดียว…” ถ้าเธออยู่ด้วย เขาคงสงบใจไม่ได้ เขาคงอยากที่จะกอดเธอไว้ในอ้อมแขนและถึงขนาดที่อยากจะเอาเปรียบเธอที่ไม่ยอมรับเขา…แต่เขาจะทนบังคับเธอได้ยังไง…เขายอมเจ็บเองดีกว่า

มู่หรงเสวี่ยอ้าปากแต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไร เธอลุกขึ้นและมองไปที่ชูอี้เสิ่นอยู่สักครู่ก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป ถึงแม้เธอจะไม่ได้ยอมแพ้แต่เธอก็รู้เพียงแค่ว่าการปฏิเสธเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพี่ชู เธอไม่ได้มีความรู้สึกรักพี่ชูและหัวใจของเธอก็ไม่สามารถมอบความอบอุ่นให้เขาได้ พี่ชูคู่ควรกับผู้หญิงดีๆ เธอนี่โง่จริงๆเลย เธอน่าจะสังเกตความผิดปกติระหว่างพี่ชูกับเธอได้ตั้งแต่แรกๆ

นานมาแล้วเธอได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของความรัก เธอไม่เคยคิดว่าเธอจะเป็นคนนำความเจ็บปวดนี้มาให้พี่ชู เธอได้กลายเป็นคนที่เธอเกลียดที่สุด เธอไม่ได้คิดที่จะเป็นแบบนี้ เป็นเพราะเธอพึ่งพาพี่ชูมากเกินไปซึ่งนำมาสู่เหตุการณ์ในตอนนี้ มันเป็นความผิดของเธอเอง

มู่หรงเสวี่ยเดินกลับไปที่ห้องอย่างซึมๆจนลืมไปเลยว่าฮวงฟูอี้บอกว่าจะรอเธออยู่ในห้อง เธอเอนนอนลงบนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง นึกถึงเรื่องราวมากมายตั้งแต่ที่เธอกลับมาเกิดจนค่อยๆผล็อยหลับไป แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังเป็นชุดเดิมไม่ได้เปลี่ยน

ฮวงฟูอี้รออยู่นานแต่ก็ยังไม่เห็นมู่หรงเสวี่ยเข้ามาที่ห้องเขาซะที เขาเดินมาที่ห้องของมู่หรงเสวี่ยด้วยสีหน้าเย็นชาและเคาะที่ประตู อย่างไรก็ตามไม่มีการเคลื่อนไหว เขาค่อยๆเปิดประตูและเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยกำลังนอนหมดสภาพอยู่บนเตียง เธอไม่ได้ห่มผ้าด้วยซ้ำเพียงแค่นอนขดตัวอยู่

สีหน้าของเขาค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ คิ้วได้รูปราวใบมีดค่อยๆเลิกขึ้น เดินตรงเข้ามาช้าๆ และดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เธอ ตอนที่เขาสูญเสียความทรงจำเธอเองก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน มักจะคอยห่มผ้าให้เขาเสมอ จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังชินกับการตื่นขึ้นมากลางดึกและมองไปที่ด้านข้างแต่ว่าตอนนี้ไม่มีร่างของเธออยู่ที่อีกฝั่งของเตียงแล้ว

จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงแต่รู้แค่ว่าเธอเป็นคนพิเศษ เขาไม่ชอบให้คนมากอดหรือแตะต้องตัว…เขาแทบจะทนไม่ได้

ฮวงฟูอี้มองอย่างเงียบๆอยู่นาน แล้วก็ปิดประตูและเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง

คืนนี้พวกเขาทั้งสามต่างก็มีความคิดของตัวเอง พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะฝันอะไรและจะได้ในสิ่งที่ต้องการหรือเปล่า

เช้าวันต่อมา มู่หรงเสวี่ยลืมตาตื่นขึ้นมา หลังจากที่เธอลุกขึ้นอาบน้ำแล้วก็เดินลงไปข้างล่างด้วยความรู้สึกกังวล ยังคิดอยู่ว่าจะทำหน้ายังไงกับพี่ชูอยู่

“อรุณสวัสดิ์มู่หรงเสวี่ย!”
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ชูอี้เสิ่นที่ทักทายเธอด้วยรอยยิ้มกว้างอันสดใส สักพักเธอจึงโต้ตอบอย่างช้าๆและมองไปที่เขาอย่าง งี่เง่า

ชูอี้เสิ่นหยิกใบหน้าเธอด้วยสายตาหลงใหล “เป็นอะไรไปเหรอ? เช้านี้ถึงได้ดูงี่เง่าแบบนี้…”

“พี่สิงี่เง่า” มู่หรงเสวี่ยกัดฟันแต่ก็รู้สึกมีความสุขมาก เยี่ยมไปเลย ท่าทางของพี่ชูดูเหมือนไม่มีปัญหาอะไรเลย…พูดตามตรง เธอกังวลเรื่องของพี่ชูอย่างมาก

“ไปกันเถอะ ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว ฉันรอเธออยู่นะ” ชูอี้เสิ่นพูด หัวใจเขาเองก็ผ่อนคลายไปมากแล้วเหมือนกัน เขาคิดอย่างชัดเจนแล้ว เขาจะอยู่ตรงนี้เพื่อรอเธอเสมอนั่นคือแผนเดิมที่เขาเคยคิดไว้และจะไม่มีวันกลับตัวด้วยแต่ยิ่งได้ใกล้ชิดกันมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้เขาเห็นแก่ตัวและต้องการเธอมากขึ้นไปอีก

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่โต๊ะอาหารและเห็นว่าทุกคนมานั่งที่เรียบร้อยแล้ว เธอแลบลิ้นแล้วเดินไปข้างหน้า

ถึงแม้เธอจะคุ้นเคยกับการทานอาหารแบบเป็นทางการของครอบครัว แต่ก็ยังรู้สึกว่าการทานอาหารของฮวงฟูอี้ดูสง่าราวกับจักรพรรดิ ตอนที่เขาอายุเพียงห้าขวบ เขาไม่ได้ดูน่ามองมากเท่านี้ นอกจากเธอแล้วก็มีคนอื่นบนโต๊ะอาหารอีกที่อดไม่ได้ที่จะมองไปที่มารยาทในการรับประทานอาหารที่ไม่ธรรมดาของเขา

ฮวงฟูอี้ดูเหมือนราวกับล้อมรอบไปด้วยแสงไฟตามธรรมชาติซึ่งเปล่งประกายจริงๆ มีคนวิเศษมากมายในโลกนี้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าทำให้คนอื่นรู้สึกได้ถึงความพิเศษของเขา

ไม่ใช่ทุกคนที่พอใจกับเรื่องนี้ ชูอี้เสิ่นจ้องไปที่ฮวงฟูอี้อย่างโกรธเกรี้ยว ถึงแม้เขาจะตกใจแต่ก็ยังรู้สึกว่าฮวงฟูอี้กำลังเสแสร้ง อย่างไรก็ตามในหัวใจเขาก็ยังมีเรื่องต้องกังวลอยู่บ้าง ผู้ชายคนนี้คือใครกัน? ในโลกนี้จะมีคนที่ไม่มีบันทึกอะไรเลยอยู่ได้ยังไง? มือเขาจับตะเกียบไว้แน่น ถ้ามีคนแบบนี้เป็นศัตรูก็จะเป็นเรื่องที่แย่มาก

โชคดีที่เสี่ยวเสวี่ยช่วยชีวิตเขาไว้ ฮวงฟูอี้คงไม่เป็นภัยกับเสี่ยวเสวี่ย แต่เขาก็ยังอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ ดวงตาที่สวยงามของเขาสงบลงเรื่อยๆ เขามองไม่ออกว่าจิตใจแบบไหนที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้สายตาคู่นั้น

มู่หรงเสวี่ยเองก็รู้สึกแปลกๆและไม่เข้าใจด้วยเหมือนกัน ก่อนที่ฮวงฟูอี้จะจากไปโดยไม่มีคำลา เธอคิดว่าเขาไม่อยากที่จะมีความสัมพันธ์อะไรกับเธอแล้ว ดังนั้นเขาจึงจากไปเงียบๆโดยไม่แม้จะกล่าวลาแต่หลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ อยู่ดีๆเขาก็มาโผล่ที่บ้านของเธอ ในสายตาของทุกคนฮวงฟูอี้ดูเฉยเมย เขายังค่อยๆลิ้มรสอาหารแสนอร่อยที่อยู่บนโต๊ะ อันที่จริงๆในเวลาปกติไม่มีใครมองเขาแบบนี้เลย แต่ตั้งแต่ที่เขาเป็นคนสำคัญของมู่หรงเสวี่ย เลยไม่มีใครสนใจท่าทางนี้ของเขา
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็บอกว่าเธอจะกลับไปที่โรงเรียนมัธยม A ยังไงซะเหล่าอาจารย์และนักเรียนที่นั่นก็ช่วยเธอไว้มาก เธอควรจะไปขอบคุณพวกเขาที่ช่วยเธอไว้ นอกจากนี้เธอก็สัญญากับคุณฮวงไว้แล้วด้วยว่าจะกลับไปที่โรงเรียน หลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้แล้ว เธอก็โทรหาโม่อ้ายลี่และชวนให้เธอกลับไปที่โรงเรียนด้วย

แต่ข้างหลังเธอยังมีอีกสองคน ชูอี้เสิ่นและฮวงฟูอี้ พี่ชูพูดออกมาว่าเขาไม่มีธุระอะไรในจังหวัดงั้นเขาจะไปกับเธอที่โรงเรียนด้วย

ฮวงฟูอี้ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่จ้องไปที่เธอนิดหน่อยแล้วเข้าไปนั่งในรถเธอ เรื่องนี้ทำให้เธอไม่แม้จะต้องเอ่ยปากถามให้เปลืองแรง

มู่หรงgl;ujpและโม่อ้ายลี่นัดเจอกันที่หน้าประตูโรงเรียน พอจอดรถโม่อ้ายลี่ก็รีบวิ่งมา “เธอนี่มาช้าจังเลย ฉันรอเธออยู่ตั้งนาน!” นี่สิเรื่องที่คุ้นเคย

หลังจากที่บ่นอยู่นาน โม่อ้ายลี่ก็เห็นผู้ชายสองคนที่อยู่ข้างหลังมู่หรงเสวี่ย หลังจากที่เห็นฮวงฟูอี้ ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง “เสี่ยวเสวี่ย หนุ่มหล่อคนนี้เป็นใครกันเหรอ?”

มู่หรงยิ้มอ่อน “ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ นี่คือฮวงฟูอี้ และนี่โม่อ้ายลี่!”

“สวัสดีค่ะพี่ฮวงฟูอี้!” โม่อ้ายลี่กล่าวทักทายโดยไม่สนใจชูอี้เสิ่น

บรรยากาศเงียบสงบ…มีเพียงเสียงลมพัดผ่าน
โม่อ้ายลี่เหล่ตามอง ทำไมเพื่อนของเสี่ยวเสวี่ย…ฮวงฟูอี้คนนี้ดูไม่ธรรมดาและไม่สนใจเธอเลยสักนิด ราวกับว่าต้นบอนไซที่อยู่ข้างประตูดรงเรียนน่าสนใจมากกว่าเธอ อย่างไรก็ตามนี่มันน่ารำคาญจริงๆ ภาระทั้งหมดของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาควรที่จะเป็นแบบนี้ ถ้าเขาเพียงแค่เหลียวมองใครก็ถือว่าคนนั้นได้รับเกียรติแต่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ปกติ

“อย่าไปสนใจเลยนะ เขาไม่ค่อยชินกับคนแปลกหน้าน่ะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม ฮ่าฮ่า เธอพูดไม่ออก ในเมื่อความทรงจำของเขาฟื้นกลับมาแล้วก็ยิ่งทำให้คนอื่นรู้สึกเข้าถึงไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น

เป็นข้ออ้างแบบไหนกันเนี่ย?! โม่อ้ายลี่มองไปที่ มู่หรงเสวี่ยที่พูดอะไรไม่ออก “เสี่ยวเสวี่ย พวกเขาไม่ใช่นักเรียนของโรงเรียนนี้นี้แล้วมาทำไมงั้นเหรอ?! ถึงแม้เธอจะรักกันแต่ก็ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันแบบนี้…” เธอพูดถึงบทสนทนาระหว่าง มู่หรงเสวี่ยและชูอี้เสิ่น เธอไม่รู้เลยว่าเมื่อคืนมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นกับเสี่ยวเสวี่ย เพราะนี่เพิ่งจะเริ่มต้นเทอมใหม่ มีหลายเรื่องที่เธอไม่เข้าใจ เธอมัวแต่ยุ่งเรื่องเข้าชมรมแล้วก็ไปฝึกทหารอีก เธอเลยไม่ได้สนใจเรื่องข่าวในอินเทอร์เน็ต เธอไม่พอใจเล็กน้อย ถ้าเธอรู้เรื่องเร็วกว่านี้เธอก็คงจะเข้ามาช่วยเสี่ยวเสวี่ยตั้งแต่แรก ถึงแม้เธอจะจัดการได้อย่างดี เธอรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรที่มหาลัยกับเสี่ยวเสวี่ย เธอคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องคล้ายๆกับตอนที่เธออยู่มัธยม

หลังจากที่คนทั้งสี่เดินเรียงกันเข้าไปในโรงเรียน รูปร่างของมู่หรงเสวี่ยก็สร้างเสียงฮือฮาได้อย่างมากมาย

“นั่นมู่หรงเสวี่ย!”
“จริงเหรอ? พระเจ้า มู่หรงเสวี่ยกลับมาแล้วเหรอ?!”
“อยู่ไหนล่ะ? อยู่ที่ไหน?”
“คนที่อยู่ข้างๆมู่หรงเสวี่ยเป็นใครอ่ะ? พระเจ้า หล่อมากเลย…”

“ใช่อยู่แล้ว เทพธิดาก็ต้องล้อมรอบไปด้วยเหล่าเทพบุตรสิ…”

“ฉันน่าจะมาบอกเธอเร็วกว่านี้ว่าเทพธิดากลับมาแล้ว…”
“…”
ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องเจอสถานการณ์แบบนี้แต่ มู่หรงเสวี่ยก็ยังรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไรอยู่ดีและถึงขนาดรู้สึกอายอยู่หน่อยๆด้วย เธอไม่ค่อยได้ช่วยอะไรทางโรงเรียนเท่าไรยกเว้นก็แต่การเข้าร่วมการแข่งขันทางวิชาการ ตอนนี้เธอรู้สึกได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทุกคนที่โรงเรียนจริงๆ เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรเลย

ชูอี้เสิ่นไม่คิดว่ามู่หรงเสวี่ยจะดังขนาดนี้ ถึงแม้สีหน้าเขาจะไม่แสดงอาการแต่จริงๆแล้วเขาตกใจมาก มันไม่ใช่ทุกคนที่จะทำให้ทั้งโรงเรียนคลั่งไคล้ได้มากขนาดนี้ อีกอย่างเมื่อมองสายตาที่เปล่งประกายของเหล่านักเรียน ก็ดูราวกับว่าพวกฝูงหมาป่าที่เห็นเนื้อแสนอร่อย…ฮ่าฮ่า ช่างเป็นการเปรียบเทียบอะไรกันเนี่ย